ตอนที่ 932 กักบริเวณ
สถานการณ์ในวันที่สิบแปดของเดือนหนึ่ง วันเดียวกันนั้นมีพระภิกษุลึกลับรูปหนึ่งสิ้นลมในเมืองฉางจินและหนิงชินอ๋องก็ได้มาถึงเมืองฉางจินในวันเดียวกันนี้
ฝานเทียนหนิงมิรู้ว่าพระอาจารย์ปิ้งเฉินกลายเป็นเซียนไปเสียแล้ว เขามาถึงเมืองฉางจินในเวลาพลบค่ำ จากนั้นก็บุ่มบ่ามไปที่ประตูวังหลวงโดยไร้พระราชโองการ
“ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ! ”
“ทูลองค์ชาย พระองค์มีพระราชโองการหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ข้ามีเรื่องด่วน ! ”
ทหารยามขวางรถม้าของเขาเอาไว้ เว่ยจีผู้บัญชาการทหารยามทำความเคารพ ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ทูลองค์ชาย ทรงอย่าทำให้กระหม่อมลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ หรือว่า…ให้กระหม่อมไปกราบทูลฝ่าบาทก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฝานเทียนหนิงพยักหน้า เว่ยจีจึงทำความเคารพแล้วจากไป
ผ่านไปราว 1 เค่อ ในที่สุดฝานเทียนหนิงก็เห็นเว่ยจีกลับมาในสภาพตึงเครียด หากเสด็จพ่อมิยอมพบเขา…เช่นนั้นควรทำเยี่ยงไรดี ?
เว่ยจีทำความเคารพแล้วทูลสิ่งที่มิคาดคิดว่า “ทูลองค์ชาย ฝ่าบาทเชิญพระองค์ที่ห้องทรงพระอักษรพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจมาก ! ”
เว่ยจีทำความเคารพ “พระองค์ทรงทำให้กระหม่อมมิอาจนิ่งเฉยได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฝานเทียนหนิงก้าวไปข้างหน้าสามก้าว จากนั้นก็หันกลับมาเอ่ยกับเว่ยจีว่า “ข้าต้องรบกวนแม่ทัพเว่ยอีกเรื่องหนึ่ง ช่วยส่งข่าวให้องค์หญิงสิบเอ็ดทีว่าข้ากลับมาแล้ว”
เว่ยจีมิเข้าใจในความหมายนี้ ทว่าเขาก็มิได้เอ่ยขัดอันใดเพียงทำความเคารพเท่านั้น ฝานเทียนหนิงจึงเดินเข้าไปยังห้องทรงพระอักษร
เขาหยุดเดินแล้วยืนอยู่เบื้องหน้าประตูห้องทรงพระอักษรเพราะว่าด้านในนอกจากเสด็จพ่อแล้วยังมีอีกคนที่นึกมิถึงนั่งอยู่ด้วย…คนผู้นั้นคือองค์พระเจ้าหลวงแห่งราชวงศ์หยู !
หยูไป๋ไป๋ชี้มาที่เขาแล้วยกยิ้มอย่างอ่อนโยน “มิได้พบองค์ชายสิบสามมานานถึง 15 ปีแล้ว บัดนี้เพิ่งทราบว่าเจ้าแต่งงานและได้เป็นหนิงชินอ๋องแล้ว ! ”
เขาเอ่ยทักทายฝานเทียนหนิง จากนั้นก็หันไปสนทนากับฝานจื่อกุยว่า “นึกถึงอดีตที่ผ่านมาตอนเราพบกันที่เมืองจินหลิง ตอนนั้นอายุก็ใกล้เคียงกับองค์ชายสิบสาม…”
“เฮ้อ ! ”
หยูไป๋ไป๋ส่ายศีรษะ “กาลเวลาทำให้มนุษย์แก่ชรา การเป็นเยาวชนนั้นดีกว่า ! ”
ฝานเทียนหนิงสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้เพื่อทำความเคารพ “ถวายพระพรท่านลุงหยู ถวายพระพรเสด็จพ่อ ลูกมีเรื่องด่วนมากราบทูล…”
“เจ้านั่งลงเถิด ชงชาและตั้งใจฟังแล้วคิดให้ดีก่อนจะเอ่ยอันใดออกมา”
ฝานจื่อกุยขัดจังหวะฝานเทียนหนิง ฝานเทียนหนิงจึงนั่งลงตามคำสั่งแล้วต้มชา พลางได้ยินท่านลุงหยูไป๋ไป๋เอ่ยว่า “ตั้งแต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับไปยังราชวงศ์อู๋ ชีวิตความเป็นอยู่ของราชวงศ์หยูก็แย่ลง ส่วนแคว้นอี๋แย่ยิ่งกว่า”
“หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป น้องจื่อกุย ปีที่แล้วมีสงครามการเมืองสิบสามคราในแคว้นอี๋ หากมิใช่เพราะกองทัพอาฆาตของแคว้นอี๋คอยกำราบปราบปราบทุกหนทุกแห่ง แคว้นอี๋ก็คงถูกทำลายไปแล้ว เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนจงใจให้มันเกิดขึ้น โดยที่เขามิจำเป็นต้องใช้ทหารก็สามารถทำให้แคว้นอี๋ตกอยู่ในกำมือได้”
“เมื่อใดที่แคว้นอี๋กลายเป็นผืนปฐพีของราชวงศ์อู๋โดยสมบูรณ์ การโอบล้อมทั้งสามด้านจากราชวงศ์อู๋ก็จะทำให้ราชวงศ์หยูตกอยู่ในกำมือนั้นเช่นกัน”
หยูไป๋ไป๋ถอนหายใจยาว หยิบถ้วยชาที่ฝานเทียนหนิงยื่นมาให้ เคาะไปที่ฝาถ้วย ทำให้เกิดเสียงดังขึ้นมา
“ลูกเขยผู้นี้ของข้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก ข้ายอมรับว่ามิได้วางแผนให้ดีในการลงมือกับเขา ตอนนั้นจึงเป็นการปล่อยเสือคืนถ้ำ ส่งผลให้บังเกิดความกังวลในจิตใจเยี่ยงบัดนี้ ! ”
“ข้ามิจำเป็นต้องปิดบังสิ่งใดต่อเจ้า เชื่อว่าเจ้าได้อ่านจดหมายก่อนหน้านี้แล้ว ต่อไปดาบของราชวงศ์อู๋ต้องพุ่งเป้าไปยังราชวงศ์หยู ส่วนราชวงศ์หยู…ย่อมมิอาจต้านทานดาบนี้ได้ ! ”
“หากราชวงศ์หยูตกอยู่ในมือของฟู่เสี่ยวกวนแล้วล่ะก็…”
หยูไป๋ไป๋จ้องมองฝานจื่อกุยแล้วยิ้มให้ฝานเทียนหนิงที่มองมาด้วยความกรุ่นโกรธ “หนิงชินอ๋อง เจ้าคงคิดว่าท่านลุงกำลังแสร้งปล่อยข่าวอยู่สินะ เมื่อฟู่เสี่ยวกวนปกครองทั้งสามแคว้นได้แล้ว เจ้าลองคิดดูเถิดว่าความทะเยอทะยานที่โฉดชั่วของเขาจะปล่อยแคว้นฝานของพวกเจ้าไว้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ลุงรู้ว่าเจ้ามีมิตรภาพที่ดีกับฟู่เสี่ยวกวน แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่ามิตรภาพระหว่างหยูเวิ่นเต้าบุตรชายของลุงกับเขาลึกซึ้งมากเพียงใด ? ”
หยูไป๋ไป๋เคาะฝาถ้วยชาอีกครา แววตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ในตอนนั้นยามที่อยู่จินหลิง เพื่อช่วยฟู่เสี่ยวกวนจัดการกับฮุ่ยชินอ๋องน้องชายของลุง เวิ่นเต้าก็ได้ต่อสู้จนโลหิตเจิ่งนองเพื่อเขา นั่นเป็นมิตรภาพที่ต้องใช้ชีวิตเข้าแลก ! ”
“แล้วบัดนี้เล่า ? เขากดดันให้บุตรชายของลุงจนตรอก พวกเราจึงต้องยอมเสี่ยงเพื่อจัดการกับฟู่เสี่ยวกวน ! ”
“สำหรับเขา…มิตรภาพส่วนตัวมิสำคัญเท่าผลประโยชน์ของแคว้น” หยูไป๋ไป๋เปิดฝาถ้วยชาออกพลางหัวเราะเยาะตนเอง “มิตรภาพเช่นนี้มิมีจะดีกว่า ! ”
ฝานเทียนหนิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พลางจ้องมองไปยังหยูไป๋ไป๋แล้วเอ่ยถามว่า “หากท่านมิใช้วิธีสกปรกกับฟู่เสี่ยวกวนในตอนนั้น เขาจะทำเยี่ยงนี้กับราชวงศ์หยูหรือ ? ”
“ข้าได้ยินมาว่าเดิมทีหากเขายึดแคว้นฮวงได้ก็จะยกให้ราชวงศ์หยู เพื่อเป็นการตอบแทนราชวงศ์หยูที่เลี้ยงเขาจนเติบใหญ่มิใช่หรือ ? ”
“บัดนี้ราชวงศ์หยูของท่านเห็นว่ากำลังจะถูกฟู่เสี่ยวกวนเหยียบจนจมดินโดยใช้นโยบายทางเศรษฐกิจ ทว่าท่านกำลังลากแคว้นฝานให้จมลงไปด้วย ข้าจะบอกท่านให้รู้ไว้ว่า ท่านมิรู้อันใดเกี่ยวกับราชวงศ์อู๋…และฟู่เสี่ยวกวนเลย ! ”
“บังอาจ ! ”
ฝานจื่อกุยตวาดออกมาทันที ทว่าฝานเทียนหนิงยังคงเอ่ยต่อว่า “พวกท่านมิรู้ถึงกำลังอันยิ่งใหญ่ของราชวงศ์อู๋และมิรู้ว่าความสามัคคีของคนในแคว้นที่ฟู่เสี่ยวกวนสร้างขึ้นมานั้นเหนียวแน่นมากเพียงใด พวกท่านจะพ่ายแพ้ต่อเขาอย่างแน่นอน ! ”
“เสด็จพ่อ ที่ลูกรีบกลับมาก็เพราะกลัวว่าพระองค์จะหลงอุบายจากพวกเขา ! เมื่อถึงเวลานั้น…”
“หุบปากประเดี๋ยวนี้ ! ”
ฝานจื่อกุยตวาดออกมาด้วยความเดือดดาล “เจ้ารู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนเก่งกาจ…ทว่าเจ้ามิรู้อันใดเกี่ยวกับแผนการของพวกเราเลย ! ”
“ทหาร…”
“นำตัวหนิงชินอ๋องไปขังไว้ในตำหนักเดิมของเขาแล้วเฝ้าดูอย่างเข้มงวด ห้ามให้เขาออกจากตำหนักแม้เพียงก้าวเดียว ! ”
“เสด็จพ่อ ทรงฟังที่ลูกเอ่ยด้วยเถิด ! ”
“นำตัวออกไป… ! ”
ฝานเทียนหนิงเย็นชาขึ้นมาทันใด เขาลุกขึ้นยืนแล้วปัดแขนเสื้อเบา ๆ “ข้าจะเดินไปเอง มิต้องให้ผู้ใดมาเฝ้า ! ข้าจะมิออกจากตำหนักแม้เพียงครึ่งก้าว ข้าจะคอยดูจุดจบที่โง่เขลาและเบาปัญญาของพวกท่าน ! ”
“เจ้าลูกบ้าคนนี้นี่ ! ”
จากนั้นฝานเทียนหนิงก็เดินจากไป ส่วนฝานจื่อกุยหน้าซีดเผือดเนื่องจากความเดือดดาล เขาหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าลึกเพื่อทำให้อารมณ์ของตนเองค่อย ๆ สงบ
“พี่หยู แม้ว่าบุตรชายข้าจะเอ่ยวาจามิสุภาพไปบ้าง ทว่ามันก็สมเหตุสมผล แล้วผลประโยชน์หลังจากเรื่องนี้…”
หยูไป๋ไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “น้องฝาน พวกเรายังมิรู้จักกันดีอีกหรือ ? เรื่องนี้เจ้ามิต้องเอ่ยปากหรอกเพราะเวิ่นเต้ากำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้ ข้าจะเอ่ยถึงความประสงค์ของเจ้าให้เวิ่นเต้ารับทราบ พรมแดนระหว่างราชวงศ์หยูและราชวงศ์อู๋…นอกจากทวงคืนเมืองเปียนเฉิงและเมืองซินโจว พวกเราก็มิต้องการอันใดอีก”
“แน่ใจหรือ ? ”
“คำไหนคำนั้น…ทว่าอู๋ฉางเฟิงเป็นผู้ที่เคยสิ้นลมแล้วคราหนึ่ง ครานี้เขาสิ้นลมจริงหรือแสร้งทำกันแน่ ? ”
“หัวหน้านิกายเป็นผู้ลงมือเอง จึงมิเหลือร่องรอยอย่างแน่นอน สวี่หยุนชิงก็ยังมิได้เปิดฝาโลงดูศพเลยสักครา นางคงยังมีความโกรธต่อเขาอยู่ในใจ ! ”
หยูไป๋ไป๋ตื่นตกใจขึ้นมาทันใด “นางมิแม้แต่จะดูเลยหรือ ? ”
ฝานจื่อกุยพยักหน้า “นี่เป็นจุดน่ากลัวที่สุดเพราะหากนางเปิดโลงศพ จิตใจของข้าอาจจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ทว่านางมิได้เปิดดูก็เชื่ออย่างสนิทใจแล้ว ทั้งยังเผากระดาษทองให้อีก มิหนำซ้ำยังอยู่ค้างคืนในกุฏิที่อู๋ฉางเฟิงเคยอาศัยอยู่”
“แล้ว…นางจะมีผลกระทบต่อแผนการของพวกเราหรือไม่ ? ”
“แคว้นฝานเองก็มีปรมาจารย์อยู่หลายคน รอให้เวิ่นเต้ามาถึงแล้ว พวกเราค่อยจัดการเรื่องนี้ในวันที่ยี่สิบเจ็ดของเดือนแรกเถิด ในวันนั้นราชครูโหยวจะนำขบวนพระสงฆ์และทหารพาศพของจักรพรรดิเหวินกลับไปยังเมืองกวนหยุน”
“หากเรื่องนี้สำเร็จจะส่งกองทัพไปเมื่อใด ? ”
“ส่งไปทันที ! ”