ตอนที่ 936 โหมกลิ้งซัดสาด
รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่หนึ่ง เดือนสอง
วันนี้มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้นทั่วหล้า
ผืนปฐพีของแคว้นหลิวถูกยึดไปเกือบครึ่งจากผู้บุกรุกอีกฟากฝั่งของทะเล เมื่อผู้บุกรุกเข้าใกล้เมืองหลวงหลินซี บรรดาราชวงศ์ของแคว้นหลิวก็ได้ละทิ้งเมืองแล้วอพยพไปยังเมืองจิงซาน
ฟู่เสี่ยวกวนจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ขึ้นเรือรบที่ท่าเรือเจียงเฉิง เรือรบ 6 ลำพร้อมกองนาวิกโยธิน 50,000 นายแล่นออกจากท่าเรือและมุ่งหน้าไปยังปากแม่น้ำแยงซี
ยิงฮวาองค์หญิงแห่งแคว้นหลิวยืนมองเรือที่ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไปจากท่าเรือ นางร้องไห้ซาบซึ้งใจในสัจจะของฟู่เสี่ยวกวน โดยนางยังมิรู้ว่าแคว้นหลิวได้สูญเสียเอกราชแล้ว และเรือรบของฟู่เสี่ยวกวนมิได้ไปปรากฏในน่านน้ำของแคว้นหลิวแต่อย่างใด
ในวันนี้เยียนหานยวี่เดินทางไปถึงว่อเฟิงเต้าแล้ว ทว่ามิได้บังเกิดการประชุมไตรภาคีตามที่กำหนดแต่อย่างใด ยามที่เขากำลังเดือดดาลอยู่นั้นก็ได้รับจดหมายจากหยูเวิ่นเต้าหนึ่งฉบับ
หลังจากอ่านจดหมายฉบับนี้เสร็จแล้ว เขาก็รีบกลับไปยังแคว้นอี๋ทันที
ในวันนี้ จัวตงหลายเดินทางไปยังรัฐลู่ฉีแห่งชื่อเล่อชวนจนตามหาชนเผ่าหวานเหยียนพบ หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับเผิงยวี๋เยี่ยนหัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันเสร็จแล้ว เขาก็ได้ยื่นจดหมายหนึ่งฉบับจากฟู่เสี่ยวกวนให้กับนาง
จากนั้นเผิงยวี๋เยี่ยนก็ถือดาบยักษ์แล้วควบอาชาออกไปจากชนเผ่าหวานเหยียนอย่างรวดเร็วโดยทิ้งบุตรทั้งสามคนเอาไว้ที่ชนเผ่านี้ นางรีบมุ่งหน้าไปยังราชวงศ์หยูท่ามกลางหิมะ
บัดนี้จินหลิงกำลังเผชิญกับสภาพอากาศหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิในเดือนสอง
หทัยของหยูซูหรงเยือกเย็นยิ่งกว่าอากาศในฤดูใบไม้ผลิเสียอีก
ซั่งรั่วซุ่ยหายตัวไป !
ราชองครักษ์หลวงอีกทั้งทหารรักษาเมืองทั้งฝ่ายเหนือและใต้รวมกำลังตามหาตัวนางทั่วทั้งเมืองจินหลิงไปแล้ว 3 รอบ ทว่ามิพบเบาะแสใดเลย
นางไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ?
คนทั้งคนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยและไร้เหตุผลได้เยี่ยงไร
ทว่าก็ยังมีอีกเรื่องที่ทำให้หยูซูหรงปวดศีรษะยิ่งกว่าเรื่องการหายตัวไปของซั่งรุ่ยซุ่ย…ซึ่งนั่นก็คือในช่วงเวลาเพียงเดือนกว่า หุ้นหลักทั้งสามของธนาคารซื่อทงก็เกิดการผันผวนอย่างรวดเร็ว !
บางทีหุ้นเหล่านี้ก็ค่อย ๆ ราคาเพิ่มขึ้น ทำให้ดึงดูดผู้คนจำนวนมากมาซื้อหุ้น บางคราก็ค่อย ๆ ลดลงอย่างเงียบ ๆ ทว่าผู้คนมิได้สนใจเท่าใดนักเนื่องจากมองว่าเป็นเรื่องปกติ
จนกระทั่งเมื่อห้าวันก่อน ฉางหยูหลงจู๊แห่งธนาคารซื่อทงมายืนอยู่เบื้องหน้าของนางด้วยใบหน้าซีดเซียว นางเพิ่งทราบว่าหุ้นหลักทั้งสามนั้นร่วงลงมา ทั้งยังต่ำกว่าราคาที่ออกขาย บัดนี้…เหลือเพียง 10 อีแปะเท่านั้น !
เงิน 50 ล้านตำลึงที่ทุกคนลงทุนจึงกลายเป็นสูญเปล่า ส่งผลให้ราษฎรโกรธแค้นธนาคารซื่อทงเป็นอย่างมาก
นี่เป็นฝีมือของผู้ใด ?
บัดนี้หยูซูหรงมิมีเวลาไปคิดว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำหรอก เพราะหุ้นทั้งสามตัวกำลังทำให้ราษฎรหลายแสนคนเดือดร้อน !
ฮ่องเต้มิได้อยู่ในวังหลวง องค์พระเจ้าหลวงและไทเฮาซั่งก็มิได้อยู่ในวังเช่นกัน
ในพระราชวังจึงมีเพียงฮองเฮาเยี่ยนชิงอีเพียงอยู่ผู้เดียว… นางจะคลอดในอีกสองหรือสามเดือนนี้แล้ว มิอาจทนต่อแรงกระตุ้นเหล่านี้ได้
องค์หญิงใหญ่จึงจำใจเรียกตัวจัวหลิวหวินและฉางฮวนเข้าพบ
“กระหม่อมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการปราบปรามราษฎรให้สงบ ! ราษฎรหลายแสนคนและฝ่าบาทก็มิได้ประทับอยู่ในวังหลวง หากราษฎรเหล่านี้ก่อความวุ่นวายเฉกเช่นเดียวกันกับแคว้นอี๋ขึ้นมา…ผลที่ตามมาจะเลวร้ายจนคาดมิถึงเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ จัวหลิวหวินก็ได้วางแผนรับมืออย่างรวดเร็ว ส่วนฉางฮวนส่ายหน้าไปมา “ในตลาดหุ้นได้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่ามีความเสี่ยงมิใช่หรือ ? ในเมื่อพวกเขาซื้อมันแล้วก็ต้องยอมรับความเสี่ยงนี้ นอกจากนี้…ใต้เท้าจัว กรมคลังจะไปหาเงิน 50 ล้านตำลึงจากที่ใด เพื่อมาซื้อหุ้นเหล่านี้คืนเล่า ? ”
“หัวหน้าตระกูลใหญ่ทั้งสามกลับเมืองหลวงแล้ว กระหม่อมคิดว่าจะเชิญหัวหน้าตระกูลทั้งสามในนามขององค์หญิงใหญ่เข้าวัง จากนั้นก็ให้พวกเขาซื้อหุ้นของตนเองกลับคืนพ่ะย่ะค่ะ ! ”
แววตาของหยูซูหรงเปล่งประกาย นางมิสังเกตเห็นสีหน้ากลืนมิเข้าคายมิออกของฉางฮวนเลยสักนิด “เรื่องนี้ก็จัดการตามนี้เถิด ใต้เท้าจัว ท่านให้คนนำเทียบเชิญของข้าไปเชิญหัวหน้าตระกูลใหญ่ทั้งสามเข้าวัง ข้าจะลองเจรจากับพวกเขาดู”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ทั้งสองออกจากตำหนักขององค์หญิงใหญ่ ฉางฮวนบังเกิดความลังเลอยู่ครู่ใหญ่ จึงดึงตัวจัวหลิวหวินเอาไว้
“ท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าตระกูลใหญ่ทั้งสามทุ่มเงิน 40 ล้านตำลึงเพื่อสนับสนุนฝ่าบาทในการทำสงครามคราใหญ่นี้ หรือท่านคิดว่าพวกเขายังสามารถออกเงิน 50 ล้านตำลึงได้อีกกัน ? พวกเขายังต้องใช้เงินในการดำเนินธุรกิจอีกมากมิใช่หรือ ? หรือท่านจะบอกว่าเกลือมิต้องผลิตแล้ว ? เหล็กก็มิต้องหลอมแล้ว ? เรือก็มิต้องสร้างแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ใต้เท้าจัว ท่านคิดอันใดอยู่กันแน่ ? ”
จัวหลิวหวินมองไปยังฉางฮวน “เช่นนั้นข้าขอย้อนถามใต้เท้าฉางว่ากรมคลังของท่านสามารถทำให้เงิน 50 ล้านตำลึงนี้งอกขึ้นมาได้หรือไม่ ? ”
“หากผลิตออกมามิได้…”
ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ ขันทีน้อยผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “เรียนใต้เท้าจัว ราษฎรกำลังก่อความวุ่นวายที่ธนาคารซื่อทงขอรับ ! ”
จัวหลิวหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็จ้องมองไปยังฉางฮวนอีกครา “ใต้เท้าฉางส่งคนไปปราบปรามราษฎรที่ก่อจลาจลได้หรือไม่ ? ”
ฉางฮวนเป็นเสนาบดีกรมคลัง เขาจะมีสิทธิระดมราชองครักษ์ได้เยี่ยงไร ในขณะนั้นเขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด คาดว่าฝ่าบาทกำลังจะทำสงครามกับฟู่เสี่ยวกวนในแนวหน้า หากมีเหตุวุ่นวายเกิดขึ้นในแนวหลัง…แล้วผู้ใดจะเป็นผู้รับผิดชอบเล่า ?
“ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับว่าใต้เท้าจัวจะจัดการเยี่ยงไร”
จัวหลิวหวินเงยหน้าขึ้น ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในราชวงศ์หยู เวลาสองสามปีเขาได้กระทำเรื่องราวมากมาย แท้ที่จริงเมื่อสืบสาวราวเรื่องถึงแก่นแท้แล้ว จะพบว่าเขาได้ทำเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ! ”
ฉางฮวนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เรื่องใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เขาได้คลายกรงที่ครอบศีรษะของราษฎรออก… แม้ว่ายังเปิดมิหมดหรือแม้แต่คลายเกลียวเพียงเล็กน้อย ทว่าช่องที่เปิดแง้มออกนี้ก็ทำให้ราษฎรสามารถเงยหน้าแล้วมองเห็นท้องนภาที่กว้างใหญ่ไพศาลได้ ! ”
“เขาเอ่ยว่า…ทุกคนในใต้หล้าสามารถเป็นมหาบุรุษผู้อัจฉริยะได้ สามารถพยุงเรือและคว่ำเรือให้จมได้ เขายังเอ่ยอีกว่าฮ่องเต้และขุนนางต้องมีเมตตามิใช่หรือ ? ”
“จะก่อให้เกิดกบฏได้หรือไม่ ? ”
“สุดท้ายก็เป็นเพียงคำหลอกลวงผู้คนมิใช่หรือ ? ”
“แท้จริงแล้วเขายังเคยเอ่ยอีกว่า…ความยุ่งเหยิงเล็กน้อยสามารถพัฒนาไปสู่หายนะคราใหญ่ได้ ! ”
จากนั้นจัวหลิวหวินก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ฉางฮวนตกตะลึงอยู่ท่ามกลางสายฝนอันหนาวเหน็บ
……
……
ธนาคารซื่อทงสาขาเมืองจินหลิงกำลังลุกเป็นไฟ
จัวหลิวหวินให้คนไปส่งเทียบเชิญขององค์หญิงใหญ่ถึงหัวหน้าตระกูลใหญ่ทั้งสาม จากนั้นเขาก็ไปยังถนนสายยาวเพียงผู้เดียว
ในปีนั้นฟู่เสี่ยวกวนและซูซูร่วมต่อสู้กันบนถนนสายยาวเส้นนี้ ส่งผลให้ถนนเส้นนี้อาบไปด้วยโลหิตและมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง
ในวันนี้จัวหลิวหวินก็ได้ยืนอยู่บนถนนสายยาวแห่งนี้ เขากำลังเผชิญหน้ากับราษฎรที่พุ่งเข้ามาด้วยความโกรธแค้น
เขายื่นมือออกไปแล้วตะโกนว่า “หยุดประเดี๋ยวนี้ ! ”
จากนั้นเหตุการณ์วุ่นวายก็หยุดลงและไร้ซึ่งสุ้มเสียงใด ผู้ที่พุ่งเข้ามาอยู่ห่างจากเขาเพียงสามก้าวเท่านั้น
“ข้าคือจัวหลิวหวิน ! ”
“หลังจากนี้อีกสามวัน โปรดนำหนังสือซื้อขายหุ้นมายังที่ว่าการเมืองจินหลิง เพื่อแลกเปลี่ยนหุ้นเป็นเงินในราคาเดิมตามที่ระบุเอาไว้ในหนังสือสัญญาซื้อขาย บัดนี้จงถอยกลับไปให้หมด ! ”
“เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้าด้วยเล่า ? ”
“เพราะข้าคือลูกน้องของฟู่เสี่ยวกวน ! ”
ส่งผลให้สถานการณ์เงียบงันขึ้นมาทันใด
จัวหลิวหวินก็อยู่ในสถานการณ์เงียบงันเช่นกัน เพราะภายในใจรู้สึกตื่นตกใจมากยิ่งนัก เขามิรู้ว่าวิธีการเยี่ยงนี้จะสามารถควบคุมผู้ก่อจลาจลเหล่านี้ได้หรือไม่
หากควบคุมมิได้ เขาจะถูกกระแสน้ำนี้ฉีกออกเป็นชิ้น ๆ
เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างเงียบ ๆ ฝูงชนกระซิบกระซาบกันอยู่เนิ่นนาน ประโยคที่เขาเอ่ยออกมานี้กำลังแพร่กระจายปากต่อปากไปเรื่อย ๆ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จินฮ่าวจือก็ได้มาที่ถนนสายยาวพร้อมกับทหารรักษาการณ์จากเหนือและใต้ จังหวะนั้นก็บังเอิญได้ยินประโยคที่ว่า “พวกเราเชื่อในตัวของเจิ้นกั๋วกง หากเจ้าใช้ชื่อเสียงของเจิ้นกั๋วกงแล้วมิดำเนินการให้เป็นจริงดั่งคำมั่นสัญญา…พวกเราจะทำให้เมืองจินหลิงแห่งนี้เกิดความวุ่นวายชนิดพลิกฟ้าพลิกดินอย่างแน่นอน ! ”
ช่างเป็นผู้นำที่บังอาจมากยิ่งนัก !
แต่แล้วจินฮ่าวจือก็ได้เห็นคลื่นมนุษย์พากันหลั่งไหลออกไป
จัวหลิวหวินสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็หันไปมองจินฮ่าวจือแล้วเอ่ยว่า
“ใต้เท้าจิน สามวันหลังจากนี้พวกเขาจะนำหนังสือซื้อขายหุ้นไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินยังที่ว่าการของท่าน เมื่อถึงเวลานั้น…ขอให้ใต้เท้าจินรักษาความสงบให้เรียบร้อยด้วย”
จินฮ่าวจือตกตะลึงขึ้นมาทันใด เขาทำความเคารพแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ใต้เท้าจัว ท่านเป็น…คนของเจิ้นกั๋วกงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เรื่องนี้สำคัญด้วยหรือ ? ข้าขอตัว ! ”
จินฮ่าวจือเกาศีรษะพลางมองตามแผ่นหลังของจัวหลิวหวินที่เดินจากไป เรื่องนี้สำคัญด้วยหรือ ?
ก็เรื่องนี้สำคัญมากเยี่ยงไรเล่า !
“พวกเจ้าทุกคน…ออกตามหาองค์ไทเฮาต่อไป ! ”