ตอนที่ 979 คลี่ชุดแพรบาง
ราตรีนี้จันทราสว่างดวงดาราลับหาย
ในตำหนักหยางซิน สายลมยามราตรีพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง กระทบเปลวเทียนสีแดงจนปลิวไสว
ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างลายฉลุ สายลมยามราตรีพัดเส้นผมของหยูเวิ่นหวินให้ลากไล้แผ่วเบาบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน จนทำให้จิตใจของเขากวัดแกว่งดั่งเปลวเทียน
หยูเวิ่นหวินรู้สึกมิสบายใจ ถึงแม้ว่าจะแต่งงานกันมา 5 ปีแล้ว ถึงแม้ว่าบุตรจะสามารถวิ่งเล่นได้แล้ว ทว่าการมิได้พบหน้าฟู่เสี่ยวกวนนานถึงเพียงนี้ก็ทำให้จิตใจของนางอยู่มิสุขเลยทีเดียว
ราวกับเด็กสาววัยแรกแย้มก็มิปาน
ท่าทางเยี่ยงนี้ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวนช่างน่ารักน่าชังมากยิ่งนัก เขากุมมือของหยูเวิ่นหวินพลางลูบไล้อย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ผู้คนมักจะเอ่ยกันว่ายิ่งห่างไกลยิ่งทำให้รักกัน… เจ้ายังจำเมื่อปีนั้นที่พวกเราพบกันคราแรกในหลินเจียงได้หรือไม่ ? ”
หยูเวิ่นหวินย่อมจำได้ ในยามนั้นนางได้ฟังต่งชูหลานเล่าถึงฟู่เสี่ยวกวนทุกคราที่กลับมายังเมืองหลวง
ต่งชูหลานเอ่ยว่าคนผู้นี้น่าทึ่งมากยิ่งนัก เขาเคยเป็นพวกเสเพลมาก่อน แม้แต่ตำแหน่งซิ่วไฉที่มีก็ได้มาเพราะจ่ายเงินซื้อ ทว่าบทกวีที่คนผู้นี้ประพันธ์ออกมาช่างยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก ทั้งยังสร้างสุราที่เข้มข้นเยี่ยงซีซานเทียนฉุนขึ้นมาอีกด้วย
เมื่อเกิดความสงสัยขึ้นมา นางจึงเดินทางไปยังหลินเจียงและได้ไปเยือนจวนฟู่พร้อมกับลูกพี่ลูกน้องอย่างหยูหงอี้ นั่นเป็นคราแรกที่ได้พบกับฟู่เสี่ยวกวน นางรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้รูปงามและดูดีมากยิ่งนัก
พบเจอกันอีกคราที่ซ่างหลินโจวเป็นเสด็จแม่ที่นัดพบเขา และเขาได้ประพันธ์กลอนตุ้ยเหลียนที่มิเหมือนผู้ใดขึ้นมา
เมื่อนึกถึงเสด็จแม่ สีหน้าของนางก็หม่นหมองขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าทราบถึงความทุกข์ในใจของเจ้าดี ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องเอ่ยขอโทษต่อเจ้า”
“ไม่… ! ” หยูเวิ่นหวินเงยหน้าขึ้นมา ทว่าฟู่เสี่ยวกวนยังคงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “นั่นมิใช่ผลลัพธ์ที่ข้าต้องการอย่างแท้จริง เกรงว่าเจ้าคงมิทราบเพราะเดิมทีที่ด่านชีผาน เผิงยวี๋เยี่ยนเคยเอ่ยว่าข้ามิเหมาะที่จะคุมทหาร เนื่องจากใจของข้ามีกลิ่นอายสังหารมิมากพอ”
“ข้าวางแผนยึดครองราชวงศ์หยูจริง เพราะข้าอยากกลับไปยังสถานที่แห่งนั้นมากยิ่งนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนมองออกไปนอกหน้าต่าง “ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของข้าและเป็นสถานที่ที่ข้าเติบใหญ่ขึ้นมา อาจจะเรียกได้ว่าข้าอยู่ที่ราชวงศ์หยูได้เพียง 2 ปี เดิมทีคิดอยากอยู่ตลอดไป ทว่าเรื่องราวกลับดำเนินไปอีกแบบหนึ่ง… ข้าจึงมิสามารถอยู่ต่อไปได้ เพราะอันตรายได้มาเยือนแล้ว”
“แท้จริงแล้วข้าเองก็เข้าใจถึงวิธีการของท่านพ่อตา เพราะท่านมิทราบถึงความสำคัญของราชวงศ์หยูที่มีต่อใจของข้า ท่านจึงเป็นกังวลอย่างมาก นานวันก็ยิ่งเป็นกังวล อีกทั้งเบื้องหลังยังมีเสด็จพ่อของข้าคอยผสมโรงจึงทำให้ท่านพ่อตาเกิดความแคลงใจต่อข้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ”
“เมื่อความแคลงใจเกิดการสะสมไปนานวัน จิตใจของท่านพ่อตาจึงต่อต้านข้าหนักขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นจากเดิมทีที่ข้าตั้งใจจะอยู่ที่ว่อเฟิงเต้าอย่างน้อยหนึ่งปีเพื่อให้ทุกอย่างในว่อเฟิงเต้าเป็นไปในทิศทางที่ควร แต่แล้วข้าก็ต้องจากมาโดยอยู่ที่นั่นได้เพียงครึ่งปี”
ดวงตาของหยูเวิ่นหวินเบิกโพลง นางมิทราบมาก่อนเลยว่าพระสวามีของนางต้องพบเจอเรื่องอันใดมาบ้าง เพราะเขามิเคยเล่าให้พวกนางฟังมาก่อน
นางคิดเพียงแค่ว่าพระสวามีคือองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋มาตั้งแต่กำเนิด การกลับมาครองบัลลังก์ในราชวงศ์อู๋คือเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้
บัดนี้นางเพิ่งทราบว่าพระสวามีถูกเสด็จพ่อบีบบังคับให้จากมา หากเขายังอยู่ที่ว่อเฟิงเต้า…เกรงว่าจะเกิดหายนะคราใหญ่ขึ้นมาได้
หรือต่อให้พระสวามีจากมาแล้ว สุดท้ายนางก็ได้ทราบว่าเสด็จพ่อยังวางแผนลงมือกับพระสวามีในสงครามแคว้นฮวงอยู่อีก
นางโกรธมากยิ่งนัก และนางก็ไปทูลถามเสด็จพ่อมาแล้ว พระองค์มิได้หลบเลี่ยง ทั้งยังตรัสกับนางตามตรงว่าการคงอยู่ของฟู่เสี่ยวกวนถือเป็นภัยอันใหญ่หลวงของราชวงศ์หยู
เขาจึงจากไป…จากมายังราชวงศ์อู๋ จากนั้นเสด็จพ่อก็ได้สละราชบัลลังก์ให้พระเชษฐาได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อ เดิมทีนางคิดว่าความขัดแย้งจะสามารถคลี่คลายลงได้เพราะเคยเขียนจดหมายถึงเสด็จพี่อยู่หลายครา ในจดหมายเสด็จพี่มิเคยแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อฟู่เสี่ยวกวนแม้แต่น้อย
ท้ายที่สุดก็เป็นนางเองที่คิดเรื่องการปกครองประเทศง่ายดายจนเกินไป
พระเชษฐาเริ่มลงมือก่อน ส่งผลให้ราชวงศ์หยูล่มสลาย ลุกลามไปถึงเสด็จพ่อ เสด็จแม่รวมไปถึงตัวของเสด็จพี่ต่างก็สิ้นใจด้วยกันทั้งสิ้น
จะสามารถโทษฟู่เสี่ยวกวนเพียงผู้เดียวได้หรือ ?
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ด้วยคำเอ่ยโน้มน้าวของต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลว อีกทั้งหลังจากได้สนทนากับเสด็จป้าหยูซูหรงตลอดทั้งคืน บัดนี้นางได้ปลงตกแล้ว
คนตายลาจาก คนเป็นก็ต้องดำเนินชีวิตต่อ
ตัวนางยังมีสามีที่รักใคร่เอ็นดูนางอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งยังมีบุตรชายที่น่ารัก เฉลียวฉลาดและรู้ความอยู่ผู้หนึ่ง
สิ่งเหล่านี้คือทุกอย่างที่ตัวนางมีและต้องทะนุถนอมให้มากยิ่งขึ้น
“ท่านพี่… บัดนี้ข้าเข้าใจแล้ว ส่วนท่านก็มิต้องคิดมากเช่นกัน ข้าในตอนนี้มิใช่องค์หญิงเก้าแห่งราชวงศ์หยูแล้ว ทว่าเป็นภรรยาของท่านและเป็นมารดาของโอรสของท่านเพคะ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นมา ในที่สุดปมในใจก็คลายออกเสียที
“ข้ากังวลมากยิ่งนักว่าจะเกิดช่องว่างระหว่างสองเราขึ้นมาอีกครา หากเป็นเช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใดที่ข้ารวบรวมประเทศนี้ไว้ ? ”
“มา ๆ ๆ ภรรยาที่รัก มาฝนหมึกให้สามีสักหน่อยเถิด ! ”
หยูเวิ่นหวินหัวเราะขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้มิได้ต่างจากยามที่อยู่บนหอวั่งเจียงโหลว ณ ซ่างหลินโจวเลยสักนิด
“ได้เจ้าค่ะ ภรรยาผู้นี้จะฝนหมึกให้กับสามีเอง ! ”
หยูเวิ่นหวินรู้สึกว่านี่คือความหมายของชีวิต การมีสามีและบุตรชาย เอ่ยโดยคร่าว ๆ ก็คงจะเป็นเฉกเช่นในตอนนี้
นางพับแขนเสื้อขึ้น จากนั้นก็ฝนจนได้น้ำหมึกสีดำ เฝ้ามองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง นักวรรณกรรมอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าผู้นี้… เป็นเวลานานมากแล้วที่เขามิได้ประพันธ์บทกวี
นางรู้สึกสนใจขึ้นมาในทันใด เขาจะประพันธ์บทกวีแบบใดออกมากัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนยกพู่กันจุ่มลงไปในน้ำหมึก จากนั้นก็เขียนตัวอักษรอันเป็นเอกลักษณ์ของตนลงบนกระดาษ
เหมยหนึ่งกิ่ง ฤดูสารท กรุ่นกลิ่นรากบัวแดงเหี่ยวเฉา เสื่อไผ่เรียบลื่นเย็น
คลี่ชุดแพรบาง ล่องนาวาเพียงลำพัง
มีไหมผู้ใดส่งสารจากฟ้า ผ่านเมฆาลงมาถึง ?
ห่านป่าบินเรียงแถวกลับรวงรัง ยามแสงจันทราอาบทั่วหอตะวันตก
บุปผาปลิดปลิว ธาราหลั่งไหล
หนึ่งความคะนึงหาระหว่างสองคนที่ห่างไกล
ความหมองหม่นนี้ไร้หนทางเยียวยา
เลือนหายจากมุ่นคิ้ว ไปปรากฏ ณ กลางใจ
ฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันลง จากนั้นก็ตวัดตัวหยูเวิ่นหวินที่กำลังลุ่มหลงไปกับบทกวีนี้มาไว้ในอ้อมกอด
“ในช่วงเวลาที่ข้าออกทะเลไปยังแคว้นหลิว… ข้าเพิ่งได้ทราบว่าตนเองมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อพวกเจ้ามากมายเพียงใด ข้าเพิ่งได้ทราบว่ามิสามารถสูญเสียพวกเจ้าไปได้แม้แต่คนเดียว”
“ข้าเคยเอ่ยกับชุนซิ่วแล้วว่า มิว่าอาณาเขตของประเทศต้าเซี่ยจะกว้างใหญ่เพียงใด มิว่าความสำเร็จของข้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ทว่าในใจของข้านั้นพวกเจ้าต่างหากที่สำคัญที่สุด… หากในใจของพวกเจ้าไร้ความสุข ข้าก็จะขอปล่อยมือออกจากบ้านเมืองนี้ไปเสีย ขอเพียงให้พวกเจ้ามีความสุขก็พอ”
หยูเวิ่นหวินหันหน้ากลับมา ในแววตาเปี่ยมความรักใคร่ทอประกายเจ้าเล่ห์
“ท่านพี่…ข้าชอบบทกวีนี้มากยิ่งนัก เพียงแต่ตรงท่อนที่ว่าล่องนาวาเพียงลำพัง… เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าตัว ‘หลาน’ นั้นหมายถึงชูหลาน ? หรือว่าท่านต้องการขึ้นเรือของชูหลาน ? ส่วนเรือของข้าผู้นี้…จะไร้ประโยชน์แล้วเยี่ยงนั้นหรือเพคะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักงัน คาดมิถึงว่าความคิดของสตรีผู้นี้จะอ่อนไหวมากถึงเพียงนี้
“คิดอันใดของเจ้าอยู่กัน เรือของเจ้า…สามีก็ชื่นชอบเช่นกัน แล้วอีกอย่างเหตุใดเจ้ามิทำความเข้าใจตรงท่อนคลี่ชุดแพรบางหน่อยเล่า บัดนี้ก็ค่ำมืดแล้ว แสงจันทราอาบชโลมทั่วทั้งหอตะวันตก ภรรยาที่รักจะช่วยคลายความกังวลของข้าได้หรือไม่ ? ให้พวกเราได้ใช้เวลาอันงดงามไปบนเรือนี้ด้วยกัน ! ”
หยูเวิ่นหวินกัดริมฝีปากเบา ๆ ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย
นางลุกขึ้นยืนโดยมิทราบว่าด้านนอกหน้าต่างได้มีคนผู้หนึ่งจากไปด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
นางปลดชุดผ้าแพรและปล่อยวางทุกอย่างในอดีตจนสิ้น
จากนี้ไปนางจะเป็นเพียงภรรยาของเขาเท่านั้น สิ่งที่นางต้องการคือให้กำเนิดบุตรให้แก่เขาอีกสักสองสามคน
เปลวเทียนยังคงปลิวไสวท่ามกลางสายลมยามราตรี ค่ำคืนปลายฤดูใบไม้ร่วง ในกระโจมสีแดงกลับมีแสงของฤดูใบไม้ผลิฉายชัดมิรู้จบ
ชายอ้วนที่ผละจากหลังคาตำหนักฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้ามืดครึ้มก็ได้มาเยือนจายซิงถายเพียงลำพัง “เจ้าเด็กคนนี้ ! เกี้ยวสาวเก่งกว่าข้าเสียอีก ! ”
“เพียงแต่วรยุทธของเจ้าเด็กนี่… คงต้องเร่งให้เขาฝึกฝนหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นกระดูกในร่างคงรับไว้มิไหว ! ”