ตันหวายยังคงอาศัยอยู่ในตำหนักเย็น ข้ออ้างว่าความจำเสื่อมแม้จะลดกำแพงทางใจของเหอจินหมิง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาได้รับการดูแลที่ดีขึ้นแต่อย่างใด
ตันหวายอุ้มแมวด้วยความคับแค้นใจ เขาไม่สมควรได้รับเตียงที่นุ่มกว่านี้กับห้องที่สะดวกสบายกว่านี้บ้างเลยหรือ?
(ท่านเจ้าของร่าง อย่าเพิ่งท้อใจ เหลือเวลาอีกไม่ถึงสามเดือนท่านก็จะสามารถจากโลกนี้ไปได้แล้ว)
ตันหวายไม่พูดไม่จา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากพูด แต่ตอนนี้เขาพูดอะไรไม่ได้เลย เหอจินหมิงกำแพงใจแข็งแกร่งเหลือเกิน คอยกังขาเรื่องที่เขาความจำเสื่อมอยู่ตลอดเวลา จึงส่งองครักษ์เงากลุ่มหนึ่งมาสอดแนมเขา
ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นเขาคิดวิธีปัญญาอ่อนแบบนี้ออกมาได้อย่างไร ตอนนี้จบเห่แล้ว เขาไม่ใช่แค่ติดต่อกับระบบไม่ได้เลย แต่ยังไม่เจอหน้าจวินเฉิงมาสองวันเต็มๆ แล้วด้วย แต่ละวันนอกจากอุ้มแมวแกล้งความจำเสื่อมก็ต้องอุ้มแมวแกล้งความจำเสื่อม จนตอนนี้เขาชักจะความจำเสื่อมเข้าแล้วจริงๆ
ประตูถูกกระแทกเปิดออกเสียงดังลั่นอีกครั้ง ตันหวายมองออกไปอย่างแข็งทื่อ คิดว่าตนโดนเสียงนี้หลอกหลอนจนฝังใจไปเสียแล้ว ขันทีอาวุโสข้างกายเหอจินหมิงเดินเข้ามาโยนห่อผ้าให้กับเขา ปรายตามองเขาอย่างมีเลศนัยแล้วค่อยจากไป
พอตันหวายทักทายขันทีอาวุโสในใจไปแล้วร้อยแปดสิบตลบ พลางเอื้อมมือไปคว้าห่อผ้ามาไว้ตรงหน้าตนเอง
“นี่มัน…ชุดทหารแขนแคบ” ตันหวายนิ่งตะลึง พลันนึกขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้คือชิวเลี่ย[1]ที่จัดขึ้นสามปีครั้งของต้าโจว นี่คือชิวเลี่ยครั้งแรกนับตั้งแต่เหอจินหมิงขึ้นครองราชย์ เพราะเหตุนี้จึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
ตันหวายกระทั่งขี่ม้ายังทำไม่เป็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการล่าสัตว์ อีกอย่างเจ้าของร่างเดิมก็ไม่เป็นเช่นกัน เขาเลยไม่เข้าใจเหอจินหมิงจริงๆ ว่าทำไมต้องให้ชุดทหารแขนแคบสำหรับขี่ม้ากับเขาด้วย
ข้อดีที่สุดของตันหวายคือไม่คิดเล็กคิดน้อยให้ปวดหัว เขาคิดว่าปัญหาที่แก้ไม่ออกหลับสักตื่นเดี๋ยวก็ดีเอง ไม่แน่ว่าระหว่างหลับอยู่อาจจะคิดออกในฝันก็เป็นได้
ตันหวายคว้าชุดทหารมายัดใส่ในห่อผ้า หลังจากเอาเจ้าไป๋เมาในมือยัดใส่ที่นอนแมวอย่างง่ายที่ตั้งไว้บนพื้นแล้วก็หลับปุ๋ยไปอย่างสงบเสงี่ยม
เจ้าไป๋เมาที่ถูกเขายัดใส่ที่นอนมองเจ้านายเข้าสู่ภวังค์ฝันด้วยสีหน้าตะลึงงัน ส่วนตัวมันกระทั่งย้ายจากอ้อมแขนอันอบอุ่นของเจ้านายมาถึงที่นอนได้อย่างไรมันเองก็ยังไม่รู้
หลังส่งเสียงเหมียวๆ เรียกคนบนเตียงแล้วไม่มีเสียงตอบรับ ไป๋เมาก็ยอมแพ้ในที่สุด
ก้มลงมองลวดลายสีขาวบนร่างกายสีส้มอันอวบอ้วนของตน ไป๋เมาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมเจ้านายถึงได้มองข้ามลำตัวสีส้มของมันราวกับมีตาหามีแววไม่ กลับตั้งชื่อให้มันว่าไป๋เมา[2]เสียนี่
ถูกต้อง ชื่อของมันเรียกว่าไป๋เมา ฟังเผินๆ ครั้งแรกเหมือนไม่ใส่ใจตั้ง พอมาคิดดูให้ดีรู้สึกว่าเป็นชื่อที่ใส่ใจอยู่บ้างเหมือนกัน
…….
ขณะตันหวายยืนอยู่ท่ามกลางกองกำลังพลที่จะเดินทางไปยังลานล่าสัตว์นั้นสมองยังไม่ตื่นดี เขาคิดว่าตนเองเกิดอาการประสาทหลอน ไม่เช่นนั้นทำไมตอนนี้ถึงมีม้าอวบท้วมล่ำสันสูงเท่าคอเขามายืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยล่ะ!
หันหน้าไปมองเหอจินหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ตันหวายถาม “ม้าตัวนี้ กินอร่อยไหม?”
จวินเฉิง “…”
เหอจินหมิง “!!!”
จู่ๆ ตันหวายก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศบริเวณนี้ผิดปกติไปเล็กน้อย ก่อนหันกายอย่างแข็งทื่อ พบว่าผู้คนรอบตัวล้วนจ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาดระคนตื่นตระหนก
“นี่คือม้าพันธุ์ดีที่สุดในต้าโจว” เหอจินหมิงขบกรามกล่าว “ส่งคนขนย้ายมาจากติ้งโจวโดยเฉพาะ กินไม่ได้!”
ตันหวายคิดว่าตอนที่เหอจินหมิงพูดว่ากินไม่ได้แฝงนัยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดูท่าหากเขากินม้าเข้าไป เหอจินหมิงคงได้จับเขาต้มแล้วโรยหน้าด้วยเครื่องเทศห้าชนิดเป็นแน่
ตันหวาย “ข้าก็แค่ล้อเล่นน่า ท่านดูสิม้าตัวนี้อ้วนท้วนปานนี้…ล่ำสันปานนี้ มองแล้วไม่เห็นเหมือนเนื้อม้า”
ระหว่างที่พูด ตันหวายก็กลืนน้ำลายเอื๊อก
…….
เขาสาบานว่าเขาเพียงแค่กลืนน้ำลายเพราะคอแห้ง ต่อให้เขากินเก่งแค่ไหนก็ไม่ได้กินไม่เลือกขนาดนั้น! อีกอย่างเขาไม่ได้กินเก่งแต่แรกแล้วด้วย!
เหอจินหมิงชำเลืองมองเขา คว้าบังเ**ยนม้าขึ้นมายัดใส่ในมือของตันหวาย
“ขึ้นม้าสิ”
“อะไรนะ?” ตันหวายฟังประโยคนี้ก็ตื่นตะลึง
——
[1] ชิวเลี่ย (秋猎) คือการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงของเหล่าราชวงศ์
[2] ไป๋เมา (白猫) หมายถึง แมวสีขาว