ตอนที่ 170 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (19)
สามปีต่อมา
ตันหวายนั่งอยู่ริมหน้าผาบนฉีเฟิงซานพลางทอดมองหุบเหวลึกหมื่นจั้ง[1]เบื้องล่าง จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย
ผ่านมาตั้งสามปีแล้ว ตันหวายทอดถอนใจอย่างหดหู่
ตลอดสามปีมานี้ เฟิงสือหลี่ยังคงเป็นปรมาจารย์มารผู้เลื่องชื่อในยุทธภพ แต่กระนั้นเขาก็ปักหลักอยู่บนฉีเฟิงซานเพื่อช่วยบูรณะฟื้นฟูสำนักจู๋กวงขึ้นใหม่อีกครั้ง
“ระบบ เหลืออีกแค่สองปี ผมคิดว่าผมคงทำภารกิจไม่สำเร็จจะต้องทำอย่างไร?” ตันหวายกลัดกลุ้มกังวล
ระบบไม่ตอบโต้ ตันหวายเอะอะก็ถามประโยคนี้จนติดปากมาตลอดหลายปี ตอนแรกมันยังคอยกล่าวปลอบใจ แต่ตอนนี้ชักจะเริ่มชินชาเต็มที
“พูดพึมพำคนเดียวอีกแล้วรึ?”
เสียงของเฟิงสือหลี่ดังมาจากด้านหลัง ตันหวายไม่ได้หันกลับไปมอง ยกมือขึ้นเท้าคางถาม “กลับมาแล้วหรือ?”
“กลับมาแล้ว”
ทุกครั้งยามเฟิงสือหลี่กลับมาจากข้างนอก พวกเขาจะต้องทักทายปราศรัยกันสักประโยค ราวกับว่าการทักทายกันเป็นพิธีเช่นนี้จะทำให้จิตใจสงบลงได้บ้าง
เฟิงสือหลี่เห็นตันหวายนั่งอยู่ริมหน้าผาก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางปรี่เข้าไปฉุดรั้งเขากลับมาโดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน
ตันหวายจนใจ รู้ดีว่าเฟิงสือหลีกลัวเขาจะร่วงตกหน้าผา แต่ใช่ว่าเขาไม่มีวิชาอาคมสักหน่อย หน้าผาธรรมดาเขาจะตกลงไปตายได้อย่างไร
เมื่อรู้ว่าเฟิงสือหลี่คงไม่ยอมฟังเขาอธิบาย ตันหวายจึงต้องยอมจำนนแต่โดยดี
ตันหวายชักมือออกจากการเกาะกุมของเฟิงสือหลี่ ก่อนจะไพล่ไว้ข้างหลังอย่างกระอักกระอ่วนใจ
เฟิงสือหลี่สังเกตเห็นการกระทำของเขา แววตาก็พลันทอประกายวูบไหว ความผิดหวังฉายวาบขึ้นในดวงตา
ตันหวายเม้มริมฝีปาก ถามว่า “จับได้แล้วหรือ?”
เฟิงสือหลี่ไปจับตัวการคนสุดท้ายที่มีส่วนพัวพันกับเรื่องนั้น คนผู้นั้นหลบซ่อนอยู่ในสำนักของตนอย่างมิดชิด หลายวันก่อนเฟิงสือหลี่เพิ่งพบเบาะแสของเขา จึงมุ่งหน้าไปจับกุมตัวมาทันที
“จับได้แล้ว” เฟิงสือหลี่พยักหน้า “ส่งไปขังในเรือนจำเรียบร้อย”
พวกเขาไม่ได้สังหารคนเหล่านั้นแต่อย่างใด ทว่ากลับปล่อยเข้าไปในค่ายกลชนิดพิเศษ
เรือนจำดังกล่าวโอบล้อมด้วยค่ายกล เปรียบเสมือนเกราะคุ้มกันที่พวกเขาไม่อาจทลายลงได้ชั่วกาลปาวสาน
ค่ายกลนั้นเฟิงสือหลี่เป็นคนสร้างขึ้นมา ผู้ที่เข้าสู่เขตค่ายกลมักหวนระลึกถึงความผิดที่ตนเคยก่อตลอดเวลา ไม่ว่าพวกเขาจะสำนักผิดจากใจจริงหรือไม่ พวกเขาก็ไม่มีวันได้กลับออกมา
“อื้ม”
ตันหวายผงกศีรษะ บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองค่อนข้างอึดอัดเล็กน้อย
“เอ่อ…ระหว่างทางประสบอันตรายใดบ้างหรือไม่?”
เฟิงสือหลี่สบมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน “ไม่มี แต่ข้ารู้สึกทรมานอย่างไรชอบกล?”
ตันหวายพลันตื่นตระหนก รีบปราดเข้าไปลูบคลำเนื้อตัวของเขาเป็นพัลวัน เอ่ยถามอย่างกังวลว่า “บาดเจ็บมาอย่างนั้นหรือ บาดเจ็บตรงไหน?”
เฟิงสือหลี่คว้ามือตันหวายมาจับไว้ โน้มกายลงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเขา “ทรมานเหลือเกิน เพียงเพราะไม่ได้พบหน้าคนที่เฝ้าคะนึงหา”
ตันหวายมือสั่นระริก เกือบจะถอยกรูดไปด้านหลังโดยสัญชาตญาณ
พวกเขาต่างเก็บงำความรู้สึกที่มีต่อกันเอาไว้ตลอดเวลาสามปี และรักษาระยะห่างจนเคยชินเสมอมา ทว่าครั้งนี้ จู่ๆ ตันหวายก็สังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย
“ข้าจับคนพวกนั้นมาได้ทั้งหมดแล้ว และให้พวกมันชดใช้กรรมอย่างสาสม ตอนนี้ ยังขาดอีกคนเดียว” เฟิงสือหลี่จ้องมองเขานิ่งพลางกล่าว “ก็คงเหลือแต่ข้าแล้ว แต่ว่า ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ไม่ได้บอกกับท่าน ข้ากลัว—”
“กลัวอะไรกัน?” ตันหวายเงยหน้าขวับขึ้นมา กล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “ท่านไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องรีบร้อนบอกความในใจของท่านออกมาเช่นนี้ด้วย”
เฟิงสือหลี่ตะลึงงันไปชั่วครู่ มองตาเขาด้วยความรู้สึกสับสน
ตันหวายใจอ่อนยวบ คิดว่าเมื่อครู่ตนโต้ตอบรุนแรงเกินไปหรือไม่ เรื่องระหว่างพวกเขาไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ
“ข้า…”
พอตันหวายตั้งใจจะเอ่ยปากกล่าวอธิบาย เฟิงสือหลี่ก็กุมมือของตันหวายเอาไว้โดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ
“ข้าจำเป็นต้องพูด!”
“พวกเราเป็นศิษย์อาจารย์กัน” ตันหวายชักจะปวดหัว
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างรักใคร่ชอบพอกัน ช่างน่าเสียดายที่เขากลับมาอยู่ในร่างอาจารย์ของเฟิงสือหลี่ ไม่ว่าจะด้วยตรรกะหรือด้วยปณิธานของเจ้าของร่างเดิม พวกเขาก็ไม่อาจฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ได้
แน่นอนว่าตันหวายไม่สนเรื่องศีลธรรมจรรยาเท่าไหร่นัก ศิษย์กับอาจารย์แล้วอย่างไร เขาสนใจความปรารถนาของเจ้าของร่างเดิมเสียมากกว่า
(ท่านเจ้าของร่างต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะ! ในตอนท้ายจะมีการประเมินคะแนนโดยเจ้าของร่างเดิม)
ตันหวายกลุ้มใจมากพออยู่แล้ว ระบบพูดซ้ำเติมกันเช่นนี้เขายิ่งปวดหัวหนักกว่าเก่า
เฟิงสือหลี่ราวกับถูกสยบด้วยคำว่าศิษย์อาจารย์ของตันหวาย ผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะเอ่ยขึ้นว่า “แต่พวกเขาไม่รู้ความจริงสักหน่อย ไม่มีใครรู้ว่าท่านคือเฟิงหลิวหลี พวกเขาคิดแค่ว่าท่านคือตันหวาย”
ตันหวายนิ่งงันไป ชักเริ่มไม่แน่ใจว่าเฟิงสือหลี่ชอบเฟิงหลิวหลีคนก่อน หรือเขาที่สวมร่างของเฟิงหลิวหลีอยู่ตอนนี้กันแน่?
“ท่าน…รู้สึกเช่นนี้กับข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ตันหวายเม้มปากแน่นก่อนจะถามขึ้น
หากเขาบังอาจพูดว่าตั้งแต่สามปีก่อน เขาได้ตบกะโหลกเข้าให้แน่ ใช่แล้ว บ้าอำนาจอย่างนี้แหละ ไร้เหตุผลอย่างนี้แหละ
เฟิงสือหลี่ขมวดคิ้วครุ่นคิด จนแล้วจนรอดก็ยังคิดไม่ออก จึงจำใจตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ คงจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวระหว่างสามปีมานี้กระมัง”
เฟิงสือหลี่ประคบประหงมตันหวายเป็นพิเศษ แม้ยามอยู่ข้างนอกจะโหดเ**้ยมอำมหิตเพียงใด แต่พอกลับมาถึงฉีเฟิงซานก็มักจะสงวนกิริยาท่าทีและความอ่อนโยนของตนไว้เสมอ
ตันหวายผ่อนลมหายใจเงียบๆ ทว่าใบหน้ายังคงฉายแววเคร่งขรึม เขาจ้องมองเฟิงสือหลี่ ถ้อยคำราวกับคมมีดที่กรีดแทงเฟิงสือหลี่ลงกลางอก
“ท่านไม่ใส่ใจ ย่อมได้ แต่ว่าข้าใส่ใจ ข้าคืออาจารย์ของท่าน เลี้ยงดูท่านเสมือนเป็นลูกชายข้าตลอดมา ท่านคิดว่าบิดาจะสานสัมพันธ์เช่นนี้กับลูกชายของตนได้หรือ?”
——
[1] 1 จั้ง (丈) เท่ากับ 3.33 เมตร
ตอนที่ 171 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (20)
สิ้นเสียงกล่าวของตันหวาย เฟิงสือหลี่ก็พลันหน้าถอดสี ไม่อาจกลบเกลื่อนความรู้สึกได้อีกต่อไป สายตาราวกับแฝงด้วยแววอ้อนวอน ขอร้องให้เขาถอนคำพูดเสีย บอกเขาว่า เขาเพียงแค่หยอกล้อกันเล่นเท่านั้น
ตันหวายหลับตาลง หักใจกล่าวว่า “ท่านเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?”
ฉับพลันที่สิ้นเสียงกล่าว เฟิงสือหลี่ก็สีหน้าซีดเผือดในบัดดล ก่อนจะหันหลังหนีหายลับไป
เฟิงสือหลี่หนีหายไปครั้งนี้กินเวลาถึงครึ่งเดือน จนกระทั่งเมื่อสำนักจู๋กวงรับศิษย์รุ่นแรกนับตั้งแต่บูรณะฟื้นฟูเสร็จสิ้น เฟิงสือหลี่ก็ยังไม่ปรากฏตัว
เฟิงสือหลี่ตีตนออกห่างจากสำนักจู๋กวง เอาความแค้นส่วนตัวไประบายกับบรรดาสำนักใหญ่ ลากคอคนชั่วที่พวกมันคุ้มกะลาหัวไว้มาลงทัณฑ์ทีละคน
สำนักใหญ่ไม่กล้าแตะต้องพรรคมาร ยิ่งไม่กล้าแตะต้องประมุขมารผู้ระบือนามทั่วหล้า จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนยอมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ฝ่ายสำนักเจียงจิ่นหวายปลดประกาศจับเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าต่อให้ไม่ปลดออกก็ไม่เป็นผล วาดห่วยแตกเหมือนกองขี้หมาอย่างนั้น คงมีแต่เจ้าศิษย์จอมยืดยาดของสำนักฉี่หมิงนั่นแหละที่แยกแยะออกได้
เฟิงสือหลี่ต้านรับการโจมตีจากบรรดาสำนักใหญ่ตามลำพังทำให้ตันหวายชักใจคอไม่ดี แต่เพราะมีเรื่องหมางใจกับเฟิงสือหลี่ จึงทำได้เพียงแสดงออกว่าสนิทสนมกับเขาเท่านั้น
คนในยุทธภพต่างคิดว่าตันหวายเป็นลูกนอกสมรสที่พลัดพรากจากเฟิงหลิวหลี ถึงอย่างไรพวกเขาก็ช่างละม้ายคล้ายคลึงกันเหลือเกิน แม้ยามนี้เขาต้องการฟื้นฟูสำนักจู๋กวง แต่ตราบใดที่ยังถูกพรรคมารกดขี่ข่มเหงก็ไม่กล้าออกความเห็นมากนัก
“ท่านเซียน ท่านเซียน?” ลูกมือที่ทำหน้าที่รับศิษย์เอ่ยเรียกตันหวายอย่างลนลาน “ท่านเซียน ได้เวลาคัดเลือกแล้วขอรับ”
ตันหวายเพิ่งพบว่าตนเหม่อลอยไปไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หลายวันมานี้เฟิงสือหลี่ไม่อยู่ และเขาเองก็ตามหาไม่พบ จึงพาลร้อนรุ่มใจจนไม่อาจข่มตาหลับลง
เห็นคนตรงหน้ายืนตัวสั่นงันงกมองตน ตันหวายก็ผลิยิ้มโบกมือให้เขากลับไป ก่อนจะเริ่มต้นพิธีรับศิษย์รุ่นแรกอย่างเป็นทางการ
ศิษย์ผู้สืบทอดวิชาของเฟิงหลิวหลีล้วนดูจากพลังฝีมือ หากฝีมือดีก็รับเข้าสำนัก ทว่าไม่เคยใส่ใจความประพฤติของเหล่าศิษย์ทั้งหลาย คราวนี้ตันหวายตัดสินใจจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ความสามารถก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่คุณธรรมย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
เฉพาะด้านพลังฝีมือก็คัดคนออกไปได้ตั้งครึ่งหนึ่ง ตันหวายถึงกับอึ้งงันไป ร้องเรียกอย่างไรก็ไม่ได้สติ
จนกระทั่งใครคนหนึ่งตบหลังของเขาเบาๆ ตันหวายจึงค่อยหมุนตัวขวับกลับมา
มึนตึ้บหนักกว่าเดิม
เฟิงสือหลี่กำลังอมยิ้มมองเขา กล่าวว่า “ท่านคัดคนเช่นนี้ไม่ได้หรอกนะ”
ห๊ะ?
ตันหวายนิ่งจังงัง
เฟิงสือหลี่คลี่ยิ้มพลางกดตันหวายกลับลงไปนั่งที่ แล้วเริ่มต้นทดสอบผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นเหล่านี้อย่างเข้มงวด
การคัดเลือกกินเวลาทั้งหมดสามวัน รับศิษย์เข้าสำนักจำนวนสิบคน แม้ฝีมืออาจไม่นับว่าล้ำเลิศที่สุด แต่ล้วนมีคุณธรรมอันประเสริฐสูงส่ง
เฟิงสือหลี่ยืนอยู่เบื้องหน้าตันหวาย เอ่ยช้าๆ ว่า “เมื่อก่อนนี้ซือจุนใส่ใจเพียงความสามารถ แต่คนในสำนักมีทั้งดีชั่วปะปนกัน ตั้งแต่เล็กศิษย์จึงไม่เคยเข้าพวกกับพวกเขา”
เฟิงสือหลี่อาศัยอยู่ในสำนักตั้งแต่ยังเล็ก ย่อมยากที่จะไม่ถูกบรรดาศิษย์พี่ชั้นต่ำพวกนั้นชักพาให้เสียคน
ตันหวายคอแหบแห้ง จ้องมองเฟิงสือหลี่โดยไม่ปริปากพูดสักคำ
เขาอยากถามว่าทำไมท่านถึงกลับมา อยากถามว่าตอนนี้เขาพูดคุยกับตนอย่างสนิทใจเพราะปล่อยวางได้แล้วหรือ อยากบอกว่าการปล่อยวางย่อมเป็นผลดี เมื่อปล่อยวางท่านก็จะสบายใจ ทว่าเขากลับนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เฟิงสือหลี่ยังคงอ่อนโยน รอคอยให้เขาตอบรับ ไม่มีท่าทีรำคาญแม้แต่น้อย
หากตันหวายเป็นพ่อของเฟิงสือหลี่ เขาจะต้องคิดว่าเจ้าลูกชายคนนี้ช่างว่านอนสอนง่ายจริงๆ แต่ตันหวายไม่ใช่ เขารู้สึกได้ว่าเฟิงสือหลี่ทำตัวผิดแปลกไปจากปกติ
“ท่านกลับมาทำไมกัน?” ตันหวายเม้มริมฝีปาก ในที่สุดก็เอ่ยถามออกมา
“ในเมื่อซือจุนต้องการศิษย์คนใหม่ ศิษย์ผู้นั้นย่อมต้องปกป้องสำนักเคียงข้างซือจุน จะผิดพลาดซ้ำรอยเดิมมิได้เด็ดขาด”
พอเขาเอ่ยปากพูด ตันหวายก็รู้ทันทีว่ามีอะไรผิดปกติ จริงจังเกินไป จริงจังอย่างที่เฟิงสือหลี่ไม่เคยเป็นมาก่อนตลอดสามปีที่ผ่านมา
ตันหวาย “เช่นนั้นท่าน…ปล่อยวางได้แล้วหรือ?”
“ไม่ขอรับ” เฟิงสือหลี่ตอบอย่างไม่ลังเล “ศิษย์ยังไม่อาจปล่อยวาง แต่ศิษย์ได้ขจัดแก่นจิตทิ้งไปแล้ว ต่อจากนี้จะไม่ทำให้ซือจุนต้องลำบากใจอีกเป็นอันขาด”
อันที่จริงเฟิงสือหลี่คิดว่า ต่อจากนี้คงจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วเช่นกัน เขาทำให้อาจารย์ต้องเผชิญเคราะห์กรรมสาหัส หากมิใช่เพราะสำนักจู๋กวงยังต้องการเขา เขาก็สมควรตายเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป
หากผู้ใดกระทำชั่ว ย่อมต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม นี่คือสิ่งที่ซือจุนสั่งสอนเขามาตั้งแต่เล็ก เขายึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดเสมอมา
ตันหวายนิ่งทื่อไป เสียงอื้ออึงดังก้องในหัวประหนึ่งมีบางอย่างระเบิดขึ้น ทำเอาเขามึนตื้อจนไม่รู้วันรู้คืน
เมื่อครู่นี้เฟิงสือหลี่พูดว่าอะไร? ตันหวายไม่ค่อยแน่ใจนัก เขาคิดว่าตนคงจะได้ยินผิดเพี้ยนไป
คนคนหนึ่งจะไร้ซึ่งแก่นจิตได้อย่างไร คนที่ไม่มีความรู้สึก ยังจะนับว่าเป็นคนอีกหรือ?
ราวกับมองออกว่าตันหวายครุ่นคิดอะไรอยู่ เฟิงสือหลี่ยิ้มกล่าว “ซือจุนวางใจเถิด ศิษย์ขจัดเพียงจิตเสน่หาเท่านั้น”
แก่นจิตจำแนกได้หลากหลายประเภท จิตเสน่หา จิตผูกพัน จิตกตัญญู จิตศรัทธา เฟิงสือหลี่เพียงแค่กำจัดจิตเสน่หาฉันคนรักทิ้งไป
ตันหวายพลันขอบตาแดงก่ำ เขาคว้าคอเสื้อของเฟิงสือหลี่เอาไว้อย่างดุดัน กล่าวลอดไรฟันว่า “ข้าตอบรับท่าน ตอบรับท่านแล้วตกลงไหม ข้าจะอยู่กับท่าน ท่านเอาแก่นจิตกลับมาซะ เอากลับมา…”
เฟิงสือหลี่หลุบตาลง ก้าวถอนไปด้านหลังอย่างแผ่วเบา ส่ายศีรษะกล่าว “ซือจุนไฉนต้องฝืนใจตนเอง”
กล่าวจบเฟิงสือหลี่ก็หันหลังเดินจากไป ลมกระโชกโหมพัดจนชายเสื้อของเขาปลิวสะบัด ราวกับว่าเขากำลังจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
ตันหวายสับสน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างบ้าบอคอแตกสิ้นดี