ตอนที่ 172 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (21)
ทุกสิ่งในสำนักจู๋กวงล้วนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ยกเว้นเฟิงสือหลี่ที่ไม่มีแก่นจิตอยู่กับตัว
(ท่านเจ้าของร่าง ท่านกลุ้มใจอะไรนักหนา? เขาไม่มีความรู้สึกน่ะดีจะตายไป)
ตันหวายอึกอัก เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นทุกข์ พูดโดยสรุปก็คือไม่สบายใจ ไม่สบายใจจนเขากระสับกระส่ายว้าวุ่น
ตันหวายไม่สนใจระบบ เขาเดินไต่เขาขึ้นมาบนฉีเฟิงซาน ชมทิวทัศน์ที่เคยเห็นหลายต่อหลายครั้งตลอดสามปีกว่ามานี้
บนฉีเฟิงซานมีน้ำตกแห่งหนึ่ง ธารน้ำตกแขวนอยู่บนหน้าผาสูงตระหง่าน กระแสน้ำเชี่ยวกราก บาดลึกถึงกระดูก เป็นสถานที่สำหรับลงโทษบรรดาศิษย์ที่กระทำความผิด
ตั้งแต่เฟิงหลิวหลีจากโลกนี้ไป ที่นี่ก็ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ทว่าค่อยๆ ฟื้นคืนชีวิตชีวากลับมาทีละน้อย ไม่เห็นเค้าลานลงทัณฑ์อันวิเวกวังเวงเช่นแต่ก่อน
ตันหวายยืนนิ่งอยู่หลังต้นไม้ห่างออกไปไม่ไกล จ้องมองคนที่นั่งฌานใต้น้ำตกอย่างตะลึงงัน
คนผู้นั้นหยัดกายนั่งอยู่ใต้กระแสน้ำ เส้นผมปรกลงแนบกับหน้าผากเพราะถูกน้ำสาดซัดจนเปียกโชก อาจเป็นเพราะสายน้ำจากน้ำตกหนาวเย็นเกินไป ริมฝีปากของเฟิงสือหลี่จึงกลายเป็นสีม่วงคล้ำเสียแล้ว
ตันหวายหยุดยืนตรงนั้น ขอบตาพลันร้อนผ่าวขึ้นมา เขาอยากเข้าไปฉุดคนใต้ธารน้ำตกออกมาเหลือเกิน แต่เขารู้ดีว่า หากเขาทำเช่นนั้นเฟิงสือหลี่ย่อมจะไม่พอใจ
กาลเวลาราวกับผ่านไปชั่วนิรันดร์ ตันหวายไม่รู้ว่าเล็บจิกฝังลงในเนื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ กลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดเดียว
เฟิงสือหลี่ที่แช่อยู่ในน้ำลืมตาโพลงทันใด พลางรีบดีดตัวลุกขึ้นจากน้ำ อาภรณ์แนบชิดติดกายของเขา ทว่าดูไม่ยับเยินหมดสภาพแม้แต่น้อย
ตันหวายเหม่อลอยไปชั่วขณะ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าไป๋เยว่ในปัจจุบันก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ไม่ว่าต้องเผชิญกับอะไรก็มักจะสงวนท่าทีของตนไว้เสมอ
เฟิงสือหลี่สาวเท้าเดินทีละก้าวมาอยู่ตรงหน้าตันหวาย ใบหน้าฉายแววไม่เข้าใจ “ซือจุนท่าน…”
เขาอยากถามว่าซือจุนมาได้อย่างไร แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่กล้าเอ่ยปากถาม
ตันหวายฝืนฉีกยิ้มกว้าง “เจ็บไหม?”
เฟิงสือหลี่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะ
สถานการณ์ของทั้งคู่ทำให้ตันหวายรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเป็นเช่นเมื่อก่อน ตอนที่ยังไม่มีใครก้าวล้ำเส้นกั้นระหว่างกัน เขาห่วงใยเฟิงสือหลี่ราวไข่ในหิน แต่เฟิงสือหลี่มักจะกลัวเขากังวลจนต้องคอยบอกว่าตนไม่เจ็บ
ตันหวายคว้าแขนเสื้อของเฟิงสือหลี่ไว้ทันที คราบน้ำที่ยังเปียกชุ่มบนแขนเสื้อไหลอาบเต็มมือของตันหวาย
“ท่าน…” ตันหวายอ้าปากค้าง กล่าวอ้ำอึ้งว่า “ท่านกลับมาเถิด ถอนตัวจากวิถีมาร สำนักจู๋กวงย่อมให้อภัยแก่ท่าน”
วิชาของพรรคมารชั่วร้ายเกินไป ยิ่งฝึกฝนยิ่งกระหายเลือด ทุกครั้งที่เฟิงสือหลี่เกิดความคิดเช่นนี้ก็จะมานั่งใต้น้ำตกเพื่อเรียกสติตนเอง
“กลับมาเถิด ออกจากพรรคมารเสีย” ตันหวายปวดใจยิ่งนัก “พรรคมารไม่คู่ควรกับท่าน”
เฟิงสือหลี่ชักแขนเสื้อของตนกลับมา ราวกับกลัวว่ามือของตันหวายจะเปียกโชก
“ศิษย์อยู่ที่นั่นสบายดี” เฟิงสือหลี่หลุบตาลง “ศิษย์ไม่ขอรบกวนซือจุนอีกแล้ว”
ตันหวายตกตะลึง กระทั่งเฟิงสือหลี่หายลับไปก็ยังไม่ได้สติคืนมา
ตันหวายขยับคอแข็งทื่อเป็นหุ่นยนต์ เอ่ยขึ้นทันควันว่า “สำนักจู๋กวงก็เข้าที่เข้าทางแล้ว เหลือแต่โน้มน้าวให้เฟิงสือหลี่กลับตัวสินะ?”
(ถูกต้อง)
ตันหวายพยักหน้า ดวงตาสะท้อนแววคลุมเครือ หลังจากใคร่ครวญอยู่สักครู่ ตันหวายก็คิดอะไรบางอย่างออก ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับลงไป
สายลมเย็นชื่นโชยพัดผ่าน ใครคนหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นที่นี่
เฟิงสือหลี่ยกมือขวาขึ้นกุมอก กล่าวพึมพำว่า “นี่คือภารกิจของคุณด้วยหรือเปล่า?”
“ถ้าหากใช่…ขอแค่คุณบอกมา ผมจะช่วยคุณจัดการเอง”
~
ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งปีก่อนสิ้นสุดภารกิจ ตันหวายสอนตำราแก่บรรดาศิษย์เสร็จแล้วก็ล้มฟุบอยู่บนโต๊ะ ร่างปวกเปียกประหนึ่งไร้กระดูก
“คิดไม่ถึงว่าท่องตำราจะเหนื่อยขนาดนี้” ตันหวายนอนพังพาบบนโต๊ะพลางถอนหายใจ
(ท่านเพิ่งท่องแค่ไม่กี่วันจะไปได้เรื่องอะไร เทพเซียนในตำนานยังท่องกันมาตั้งหลายพันปี)
ตันหวายขี้เกียจจะเถียงระบบเต็มทีว่าเขากับเทพเซียนอายุขัยห่างกันกี่ขุม ตอนนี้เขาคิดเพียงว่าต้องนอนพักเอาแรงสักตื่น
นอนไม่ทันหลับสนิท จู่ๆ ตันหวายก็คิดถึงเฟิงสือหลี่ที่หนีหายไปตามใจชอบจนพาลให้หลับไม่ลง
ภายในช่วงเวลาอันสั้น เฟิงสือหลี่เริ่มขยันออกจากสำนักบ่อยครั้ง พอกลับมาก็เอาแต่หลบหน้าหลบตาเขา ทำให้ตันหวายนึกหวาดหวั่นในใจมากขึ้นทุกที
เจ้ากระรอกน้อยในฉีเฟิงซานสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้ว ไม่ใช่เพราะมันมีพรสวรรค์ล้ำเลิศอะไร แต่เพราะตันหวายคอยเลื่อนขั้นพลังปราณให้มันเป็นประจำ
ลูกสนลูกหนึ่งพุ่งแหวกอากาศเข้ามา ตันหวายรับไว้โดยไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย ก่อนจะเลิกคิ้วสูงเมื่อรู้ว่าเฟิงสือหลี่กลับมาแล้ว
เพื่อที่จะดักทางเฟิงสือหลี่ ตันหวายจึงฝากฝังให้เจ้ากระรอกนำเหล่าสัตว์ป่าในภูเขาไปคอยเฝ้าสังเกตการณ์ หากเฟิงสือหลี่กลับมาฉีเฟิงซานเมื่อไหร่ก็จะรีบแจ้งข่าวให้เขารู้ทันที
ตันหวายคลี่ยิ้มเบาบาง จากนั้นค่อยวางลูกสนไว้บนโต๊ะ ประเดี๋ยวเจ้ากระรอกน้อยแวะเข้ามาจะได้มองหาเจอง่ายๆ
ตันหวายยืนอยู่หน้าห้องของเฟิงสือหลี่ รั้งรอข้างนอกอย่างสองจิตสองใจ ไม่รู้ว่าควรเข้าไปรบกวนเขาหรือเปล่า
ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ ตันหวายคิด เขาคงจะเหน็ดเหนื่อยกลับมา อย่าไปรบกวนเขาเลยดีกว่า
ตันหวายตัดสินใจจะเดินย้อนกลับไป แต่เดินไปได้ไม่ไกลก็กลัดกลุ้มขึ้นมาอีก ถ้าเขาตื่นแล้วหนีไปอีกครั้งจะทำอย่างไรล่ะ
ตันหวายขมวดคิ้วมุ่น หันกายเดินไปนั่งจมปุกหน้าประตูห้องของเฟิงสือหลี่ ก่อนเอามือกอดเข่าแล้วซุกหน้าลงหลับตานอน
เขาป้วนเปี้ยนอยู่ข้างนอกตั้งนานสองนาน เฟิงสือหลี่มีหรือจะไม่รับรู้ เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาไปพะว้าพะวงถึงตันหวายจริงๆ
แสงเทียนภายในห้องกะพริบวูบไหวตามแรงลม บนเชิงเทียนเกรอะกรังไปด้วยน้ำตาเทียนที่ยังไม่เหือดแห้ง เคียงข้างกับเฟิงสือหลี่ที่อยู่ในสภาพครึ่งผีครึ่งคนบนเตียงนอน
ตอนที่ 173 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (22)
แสงแรกแห่งยามอรุณรุ่งสาดส่องลงมาจากสรวงสวรรค์ อาบไล้ผิวกายของตันหวาย โอบอุ้มทั้งร่างของเขาด้วยแสงแดดอันอบอุ่น
กระรอกน้อยกอดลูกสนวิ่งผ่านทางมา เดิมทีตั้งใจว่าจะปลุกเขา แต่ยังไม่ทันเดินไปถึงตรงหน้าตันหวาย บานประตูข้างหลังตันหวายก็ถูกเปิดออกเสียก่อน
เฟิงสือหลี่ที่ยืนอยู่อีกฝั่งประตูยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก บอกเป็นนัยให้เจ้ากระรอกน้อยเงียบเสียง
กระรอกน้อยชะงักงันไปครู่หนึ่ง คิดว่ามนุษย์โหดเ**้ยมอำมหิตผู้นี้คล้ายผิดแผกจากแต่ก่อน แต่หากถามว่าผิดแผกกันตรงไหน มันก็นึกไม่ออกชั่วขณะเช่นกัน
เฟิงสือหลี่ยอบตัวลงช้าๆ กวาดสายตาพินิจมองตันหวายจนถ้วนทั่ว ก่อนเอื้อมมือไปช้อนร่างเขาขึ้นมาหมายจะอุ้มเข้าไปในห้อง
ตันหวายไม่ใช่หมู แรงฉุดมหาศาลถึงเพียงนี้ถ้ายังไม่ตื่นอีกก็ช่วยไม่ได้แล้วจริงๆ
ตันหวายสะลึมสะลือลืมตาขึ้น พอเงยหน้ามองก็สังเกตเห็นปลายคางอันคุ้นเคย ตันหวายที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวโอบรอบลำคอของเฟิงสือหลี่อย่างนุ่มนวล ซ้ำยังคลอเคลียไปมาบนอกเขา
เฟิงสือหลี่ตัวแข็งทื่อไปทันใด
ตันหวายเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าพลั้งเผลอทำอะไรลงไป ใบหน้ายังแนบชิดกับแผ่นอกของเขา สายตามองเลิ่กลั่กไปทั่วอย่างร้อนรน
เฟิงสือหลี่วางตันหวายลงบนเตียงแล้วรีบผละถอยไปข้างหลัง หลุบตากล่าว “ศิษย์ล่วงเกินแล้ว หวังว่าซือจุนจะไม่ถือโทษโกรธเคือง”
ตันหวายจุกอยู่ในลำคอ อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของเฟิงสือหลี่ก็พลันนิ่งตะลึง ความปีติยินดีอันท่วมท้นถาโถมเข้าใส่จนรู้สึกเวียนหัว
“ท่าน…ท่านสละวิถีมารแล้วหรือ?”
บนร่างของเฟิงสือหลี่ไร้ซึ่งอายปราณมารโดยสิ้นเชิง นอกจากเครื่องหน้าแลดูคมสันยิ่งขึ้น ก็แทบจะไม่แตกต่างจากยามเยาว์วัย
เฟิงสือหลี่อึ้งงันไป หลังจากตั้งสติสักครู่จึงค่อยคลี่ยิ้มฝืดเฝื่อน เป็นอันว่ายอมรับโดยดุษณี
เฟิงสือหลี่เมินท่าทางดีอกดีใจของตันหวาย กล่าวขออภัยตันหวายด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนรีบร้อนจากไป ตันหวายจึงไม่ทันแหนี่ยวรั้งไว้
ตันหวายผิดหวัง แต่ก็นับได้ว่าเป็นข่าวดี ฉะนั้นจึงทำจิตใจให้แจ่มใสพลางยิ้มกริ่มถามระบบว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมก็ทำภารกิจสำเร็จแล้วสิ?”
(ขออภัย ยังไม่สำเร็จ)
“ไม่สำเร็จ?” ตันหวายตกใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าผลการประเมินที่เขาได้รับจากระบบคือไม่สำเร็จ
(ท่านเจ้าของร่าง จากการตรวจสอบ ท่านยังทำภารกิจไม่สำเร็จจริงๆ)
ตันหวายชักเริ่มสีหน้าไม่สู้ดี ถามอย่างไม่พอใจว่า “มีเงื่อนไขแค่สองข้อ ข้อแรกคือฟื้นฟูสำนักจู๋กวง อีกข้อคือช่วยให้เฟิงสือหลี่หลุดพ้นจากวิถีมาร ไม่ใช่อย่างนี้หรอกหรือ?”
(สองข้อนี้ถูกต้องแล้ว) ระบบพยักหน้า
ตันหวายย่นคิ้วคิดทบทวนหลายตลบ มั่นใจว่าเฟิงสือหลี่หลุดพ้นจากวิถีมารอย่างแน่นอนแล้ว แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เฟิงสือหลี่ถึงปล่อยวางได้ แต่ถึงอย่างไรก็นับว่าลงเอยด้วยดี
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญหาก็ย่อมเกิดจากเงื่อนไขการฟื้นฟูสำนักจู๋กวง ตันหวายพลันตระหนักขึ้นได้ เขาไม่รู้เลยว่าเฟิงหลิวหลีต้องการให้ฟื้นฟูจนถึงระดับขั้นใด เพียงกอบกู้สำนักจู๋กวงให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง หรือผงาดขึ้นเป็นสำนักอันดับหนึ่งในยุทธภพ
ตันหวายใคร่ครวญอยู่สักครู่ ก่อนถามระบบว่า “เฟิงหลิวหลีกำหนดขอบเขตฟื้นฟูไว้ระดับไหนกัน?”
(ล้วนขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของท่านเจ้าของร่าง)
ตันหวายโมโหจนแทบอยากหัวเราะ นี่ต้องใช้วิจารณญาณส่วนตัวอะไรพรรค์นี้ด้วย?
เขามีทางเลือกอื่นด้วยหรือ ไม่มีเลยสักนิด จึงได้แต่กัดฟันทนทำต่อไป
ไม่ว่าจะกำหนดขอบเขตไว้ในระดับใด แต่ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น เขาจะทุ่มเทเวลาที่เหลือเพื่อปรับปรุงสำนักจู๋กวงอย่างสุดความสามารถ ส่วนผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่โชคชะตาฟ้าลิขิต
ระบบได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้ว มองเครื่องหมายกากบาทที่ขีดทับไว้เต็มช่อง ‘เฟิงสือหลี่หวนคืนสู่ฝ่ายธรรมะ’ ในรายงานการประเมินศูนย์บัญชาการพลางตกอยู่ในความเงียบงัน
ในโลกสุดท้ายไม่อนุญาตให้ระบบชี้นำทาง เรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไรดี
ระบบวิตกกังวล เจ้าของร่างผู้โง่เขลาของตนจะสามารถค้นพบต้นตอของปัญหาที่แท้จริงได้หรือไม่ กว่าจะลองผิดลองถูกมาถึงโลกสุดท้ายไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่าเพิ่งตกม้าตายที่นี่เลย
ว่ากันตามจริงแล้ว ระบบเห็นว่าทุกโลกที่ผ่านมาล้วนมีระดับความยากเทียบเท่ากับโลกสุดท้าย แต่ไม่รู้เพราะอะไร ศูนย์บัญชาการระบบเหมือนจะคอยเปิดทางให้แก่ตันหวายเพียงคนเดียว นอกจากภารกิจสำเร็จราบรื่นโดยตลอด ยังมักจะได้พบตัวช่วยสักคนหนึ่งอยู่เสมอ
ความคิดของระบบตันหวายไม่อาจรับรู้ เป้าหมายของเขาในตอนนี้คือทำนุบำรุงสำนักจู๋กวงอย่างดี ยกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้น แซงหน้าทุกสำนักในยุทธภพ
พักหลังๆ ตำแหน่งแหล่งที่ของเฟิงสือหลี่ชักน่าสงสัยขึ้นทุกที ตันหวายนึกคลางแคลงใจอยู่หลายครั้ง แต่กลับถูกเฟิงสือหลี่บ่ายเบี่ยงปฏิเสธไป
ภายหลังมีศิษย์ผู้หนึ่งพูดแกมหยอกล้อขึ้นว่า ขนาดเฟิงซือซู[1]ยังไม่เข้มงวดกับสหายบำเพ็ญเพียรเท่าซือฝูเลย
ใช่แล้ว เพราะความจริงเรื่องตันหวายคือเฟิงหลิวหลีไม่อาจเปิดเผยได้ ตันหวายกับเฟิงสือหลี่จึงเรียกกันว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องเสมอมา
หนังหน้าแก่ๆ ของตันหวายพลันแดงซ่าน พลางยิ้มแก้เก้อโดยไม่รู้จะพูดอะไร หากบริสุทธิ์ใจก็ว่าไปอย่าง แต่มันดันไม่บริสุทธิ์ใจนี่สิ ถ้าไม่ใช่เพราะฐานะของเฟิงหลิวหลี ตันหวายคิดว่าป่านนี้เขาคงตัวติดเฟิงสือหลี่เป็นตังเมแล้ว
ในโลกของผู้ฝึกวิชาเซียน กาลเวลาดุจเพียงชั่วลัดนิ้วมือ
เมื่อล่วงเลยเข้าสู่ปีที่ห้า ตันหวายนั่งอยู่ริมเตียงภายในห้อง จ้องมองคันฉ่องในมือของตน จู่ๆ ก็รู้สึกราวกับสังขารร่วงโรยไปตามกาลเวลา
เพิ่งจะผ่านไปปีเดียว ตันหวายกลับรู้สึกว่าซูบผอมลงกว่าแต่ก่อนมาก คนเราทำงานหนักเกินไปไม่ได้จริงๆ ยิ่งทำงานหนักก็ยิ่งแก่ไว
ตลอดหนึ่งปีมานี้สำนักจู๋กวงเจริญก้าวหน้าไปมากทีเดียว แต่ยังคงห่างไกลจากยุคสมัยที่เฟิงหลิวหลีมีชีวิตอยู่
ตันหวายรู้สึกทุกข์ร้อนอยู่ในใจ เขาคิดว่าภารกิจในโลกนี้อาจจะทำไม่สำเร็จ
——
[1] ซือซู (师叔) หมายถึง ท่านอาจารย์ลุง