ตอนที่ 174 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (23)
วันนี้มีงานเฉลิมฉลองวันกลางสารทฤดู เนื่องจากเป็นวันที่พลังปราณอุดมสมบูรณ์ที่สุด บรรดาสำนักเซียนจึงให้ความสำคัญกับวันนี้อย่างยิ่ง
แสงสายัณห์บรรจบสี่ทิศ พระจันทร์เริ่มปรากฏให้เห็นเค้าทว่ายังไม่แจ่มชัดนัก บนโต๊ะจัดวางถาดผลไม้เอาไว้ ตันหวายเท้าคางมองผลกล้วยตรงหน้าพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่
(ท่านเจ้าของร่างสติดีอยู่หรือเปล่า นี่ก็วันสุดท้ายเข้าไปแล้ว ท่านยังมัวแต่คิดถึงเรื่องกินอีกหรือ?)
ตันหวายได้ยินเช่นนั้น แววตาก็พลันหมองหม่น “เหลือแค่วันเดียว ระบบยังประเมินว่าภารกิจไม่สำเร็จอยู่เลย ผมจะไปทำอะไรได้ ช่างเถอะ วันฉลองใหญ่อย่างนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฟิงสือหลี่จะกลับมาหรือเปล่า”
สิ้นเสียงกล่าวของตันหวาย เจ้ากระรอกน้อยก็วิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามาหา แทบจะอุ้มลูกสนในอ้อมแขนไว้ไม่อยู่
“ท่านเจ้าสำนัก ท่าไม่ดีแล้ว มีคนบุกมาหน้าประตูเต็มไปหมดเลย!”
ตันหวายลุกพรวดขึ้นยืนอย่างตกใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
เจ้ากระรอกน้อยอยู่ในร่างของเด็กสาวอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี เพราะวิ่งมาเร็วเกินไป จึงพูดจากระท่อนกระแท่นอย่างเหนื่อยหอบ สองแขนยันหัวเข่าเอาไว้พลางกล่าว “วันนี้มิใช่วันกลางสารทฤดูหรอกหรือ…ทีแรกข้าตั้งใจจะลงเขาไป…ไปดูโคมไฟ ไม่นึกว่าเมื่อครู่จะออกไปเจอพวกนักเลงหัวไม้หลายสำนักกรูกันขึ้นมาบนเขา ข้าเห็นพวกเขาไม่ได้มาดี ก็เลยรีบกลับมาแจ้งให้ท่านทราบ”
“เจ้ากลับรังของเจ้าไปก่อน”
“อะไรกัน?” กระรอกน้อยนึกว่าตนฟังผิดไป
ตันหวายขมวดคิ้ว กล่าวซ้ำอีกรอบอย่างใจเย็นว่า “เจ้ากลับรังของเจ้าไปก่อน อย่าออกมาวุ่นวายข้างนอก”
กระรอกน้อยเม้มริมฝีปากอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนหยัดกายยืนตรง กระโดดโหยงเหยงมาอยู่ตรงหน้าตันหวายพลางกล่าวเสียงอู้อี้ “ข้า…ข้าฝึกฝนจนแปลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้ว ข้าสามารถปกป้องฉีเฟิงซานได้แล้ว”
ตันหวายคลายปมที่หัวคิ้ว ก่อนจะส่ายศีรษะ “ยามนี้เจ้ายังไม่จำเป็นต้องปกป้อง หากข้าประคองสถานการณ์ไม่ไหวเมื่อไหร่ เจ้าค่อยมาปกป้องแล้วกัน”
กระรอกน้อยตะลึงงัน ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ในถ้อยคำของตันหวาย
ตันหวายคลี่ยิ้มโดยไม่กล่าวอะไรต่อ ก่อนจะร่ายคาถาไปปรากฏตัวอยู่หน้าประตูสำนัก
ฝูงชนจากแต่ละสำนักมาเยือนถึงหน้าประตูสำนักแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นตันหวายก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ราวกับตั้งใจมาเฝ้ารอพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
หลายคนเริ่มส่งเสียงกระซิบกระซาบกัน คิดว่าอาจเป็นอุบายหลอกลวง จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไป
ลี่ซูเอ่ยปากทักทายตันหวายเป็นคนแรก บัดนี้ตันหวายคือประมุขของสำนักจู๋กวง ว่ากันตามลำดับอาวุโสย่อมสูงกว่าลี่ซู ดังนั้นหากเขาแสดงความเคารพต่อตันหวายก็นับว่าสมเหตุสมผล
ลี่ซู “ท่านเจ้าสำนัก พวกเรามาเยือนครานี้มิได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่—”
“ไม่มีเจตนาร้าย?” ตันหวายตัดบทเขาพลางยิ้มเยาะกล่าว “อยู่ๆ บุกมาเยือนสำนักจู๋กวงของข้าโดยไม่มีเจตนาร้ายงั้นรึ?”
มาเยือนในวันกลางสารทฤดูอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังเอาแต่ทำหน้าเ**้ยมเกรียมน่ากลัว บอกว่าไม่มีเจตนาร้ายแล้วใครเขาจะเชื่อ
ลี่ซูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขากับตันหวายเคยมีเรื่องมีราวกันมาก่อน อย่างเช่นตอนแรกเขาคิดว่าตันหวายช่วยชีวิตตนเอาไว้ แต่ภายหลังพบว่าแท้จริงแล้วคนที่ลอบสังหารตนกลับเป็นสหายของเขา ช่างน่ากระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก
ลี่ซูคิดว่าตันหวายผู้นี้ฝีมือเก่งกาจทีเดียว หากไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคมาร ย่อมจะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน
หากตันหวายรับรู้ว่าตอนนี้ลี่ซูคิดอะไรในใจคงต้องหลุดหัวเราะเป็นแน่ ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ ตอนนี้เขาเพียงต้องการมุ่งมั่นฝึกฝนให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นเพื่อกลับสู่โลกความเป็นจริงเท่านั้น
สายตากวาดมองไปยังบรรดาผู้คนจากทุกสำนัก ตันหวายเอามือปัดเสื้อคลุมยาวสีเทา ทำใจดีสู้เสือถามขึ้นว่า “ว่ามาสิ ยกโขยงกันมาที่นี่เพื่อสิ่งใด?”
ผู้นำจากแต่ละสำนักต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สุดท้ายยังคงเป็นลี่ซูที่ก้าวออกมาข้างหน้า พอจะเอ่ยวาจาก็ถูกตันหวายยกมือห้ามไว้ก่อน
ตันหวาย “พวกท่านมีกันอยู่ห้าสำนัก จะให้สำนักฉี่หมิงออกหน้าผู้เดียวหรืออย่างไร?”
ลี่ซู “…”
จะว่าไปแล้วก็จริงอยู่เหมือนกัน
บรรดาสำนักที่เหลือชำเลืองมองกันไปมา ก่อนชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งจะก้าวออกมาข้างหน้าในที่สุด ชายฉกรรจ์ไม่ได้สวมเสื้อคลุมยาวดุจเทพเซียนผู้สง่างามเช่นเดียวกับคนอื่นๆ กลับสวมเพียงชุดลำลองอย่างเรียบง่าย ผมเผ้าปล่อยสยายปรกลงด้านหลัง
“ข้าน้อยหยางต้าไห่ศิษย์สำนักหมิงหยาง มาเยือนสำนักท่านเพื่อขอจับกุมตัวคนผู้หนึ่ง” ชายฉกรรจ์กล่าว น้ำเสียงฟังดูสุภาพ
ตันหวายหว่างคิ้วยกสูง พอจะเดาออกแล้วว่าพวกเขาต้องการจับกุมตัวใคร ตลอดหลายปีมานี้ศิษย์ในสำนักล้วนประพฤติตนเป็นที่น่าไว้วางใจ คนเดียวที่ไม่น่าไว้วางใจก็คือเฟิงสือหลี่
ทุกสำนักต่างยกพวกกันมาไม่น้อย ทั้งยังฮึกเหิมคึกคะนองเต็มที่ ไม่ทันเอ่ยชื่อว่าเป็นใคร ตันหวายก็แค่นหัวเราะออกมา
“พวกท่านไม่ต้องบอกข้าหรอกว่าเป็นใคร ข้าไม่ส่งตัวผู้ใดให้พวกท่านทั้งนั้น ขออำลาตรงนี้ล่ะ ฉีเฟิงซานกลางคืนลมแรง รีบกลับลงไปเสียก่อนจะดีกว่า”
ชายฉกรรจ์พลันเปลี่ยนสีหน้า จ้องมองตันหวายด้วยสายตาตำหนิความไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอย่างชัดเจน
เห็นพวกเขาไม่เคลื่อนไหว สีหน้าของตันหวายก็เยือกเย็นลงเช่นกัน “อะไรกัน อยากให้ข้าไปส่งหรือ แต่วันมงคลเช่นนี้ ข้าต้องอยู่เฉลิมฉลองพร้อมหน้ากับศิษย์ทั้งหลายน่ะสิ”
“ถุย เจ้าอย่ามาแกล้งโง่ รีบส่งตัวไอ้ปีศาจร้ายเฟิงสือหลี่มาซะ มิเช่นนั้นสำนักจู๋กวงของเจ้าได้พังราบเป็นหน้ากลองแน่” ใครคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหว ขู่ตะคอกใส่ตันหวายในทันที
“บังอาจ!” ตันหวายถลึงตามองคนผู้นั้น
แววตาของตันหวายช่างเยียบเย็นยิ่งนัก คนผู้นั้นจึงหวาดผวาพลางกระถดเท้าถอยหนีโดยไม่รู้ตัว
คนพรรค์นี้ยังมีหน้ามาขึ้นเสียงใส่เขาอีกหรือ? หน้าไม่อาย!
ตันหวายเบือนสายตากลับมา แม้ในใจจะเต้นระส่ำเมื่อได้ยินคนอื่นเรียกเฟิงสือหลี่ว่าปีศาจร้าย แต่ภายนอกกลับยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม
ตอนที่ 175 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (24)
ความสงบนิ่งของตันหวายไม่อาจหยุดยั้งเหล่าผู้ที่ได้ชื่อว่า ‘กองทัพสวรรค์’ ซึ่งตั้งตนเป็นศาลเตี้ยออกปราบอธรรม พวกเขากลับพากันแข็งข้ออย่างกำเริบเสิบสาน
“สำนักแสวงธรรม[1]อะไร ข้าว่าเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักแสวงมารเสียดีกว่า”
“นั่นน่ะสิๆ ข้าว่าคงสอนวิชานอกรีตมาตั้งแต่ต้นแล้ว”
“เจ้าตันหวายผู้นี้ไม่ใช่คนดีอะไรนักหนาหรอก มิเช่นนั้นจะไปคบค้าสมาคมกับพรรคมารทำไมกัน”
คนกลุ่มนั้นพูดพล่ามไม่หยุดจนชักรำคาญเต็มทน ตันหวายไม่อยากฟังต่อ จึงใช้วิชาปิดปากพวกเขาไว้ทันที
ลี่ซูขมวดคิ้ว เหลือบมองพวกพ้องที่ถูกอัดจนกระอักเลือดไปหลายคน ไม่อยากเชื่อสายตาว่าตันหวายจะลอบจู่โจมผู้อื่น
ตันหวายรู้ทันความคิดของลี่ซูพลางยิ้มเยาะ “ช่างกล้าพูดว่าผดุงคุณธรรม เฟิงหลิวหลีตายอย่างไรพวกท่านลืมกันหมดแล้วรึ?”
ทุกคนพลันหน้าเปลี่ยนสี ไม่อาจโต้ตอบกลับไป
ตันหวายกล่าวต่อว่า “บอกว่าเขาอยู่ฝ่ายมาร มิใช่ว่าพวกท่านบีบบังคับเอาหรอกหรือ พรรคมารอะไรกัน เขาเคยทำร้ายใครสักคนในหมู่พวกท่านหรืออย่างไร?”
………
บังเกิดความเงียบงันอยู่เนิ่นนาน ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วว่า “ต่อให้ไม่เคยทำร้าย พรรคมารหน้าไหนก็สมควรตายทั้งนั้น”
ตันหวายได้ยินเข้าก็เดือดดาลจนแทบคลั่ง ความงมงายอันต่ำทรามเช่นนี้ยังมีอยู่บนโลกอีกหรือนี่ ตันหวายรู้สึกเหมือนเปิดโลกทัศน์ใหม่จริงๆ
“ฝ่ายมารอะไร หากข้าไม่ถูกพรรคมารหมายหัว พวกเจ้าจะบังอาจมาล่วงล้ำฉีเฟิงซานรึ!”
ไม่รู้ว่าเฟิงสือหลี่มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ เขายืนอยู่ด้านหลังคนกลุ่มนั้น สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า เส้นผมกลับกลายเป็นสีขาวทั้งศีรษะ
เพียงเขาเปล่งเสียงพูดก็ทำเอาคนพวกนี้อกสั่นขวัญกระเจิง จู่ๆ มาปรากฏตัวข้างหลังโดยไร้สุ้มเสียงว่าน่ากลัวแล้ว แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือพวกเขาไม่รับรู้ถึงผู้มาเยือนใหม่ข้างหลังตนแม้แต่น้อย
หากเฟิงสือหลี่ไม่ได้ส่งเสียง แต่ลงมือสังหารพวกเขาในทันที เกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงได้ลงไปเยี่ยมประตูนรกเป็นที่เรียบร้อย
พอคิดเช่นนี้แล้ว ทุกคนต่างก็ขนลุกขนชันไปทั้งตัว คนพรรค์นี้ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ ปล่อยเอาไว้รังแต่จะสร้างความหายนะ
ตันหวายกลับสับสนงุนงง เขาจ้องมองเฟิงสือหลี่ที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อม ไม่กล้ายอมรับความจริงขึ้นมากะทันหัน
นี่คือเฟิงสือหลี่จริงๆ หรือ คือเด็กหนุ่มผู้ทรนงองอาจคนนั้นจริงๆ น่ะหรือ?
เฟิงสือหลี่เดินเข้ามาหาตันหวาย “ท่านต้องการให้ข้าออกจากพรรคมารมิใช่หรือ? บัดนี้ข้าไม่ใช่คนของพรรคมารอีกแล้ว”
ตันหวายพูดไม่ออก ถามว่า “นี่คือค่าตอบแทนหรือ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็คงได้” เฟิงสือหลี่ยิ้มตอบ น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความโล่งอก
(ท่านเจ้าของร่าง เนื่องจากเฟิงสือหลี่ตกอยู่ในสภาวะคับขัน ภารกิจมีการเปลี่ยนแปลง จึงขยายกำหนดเวลาภารกิจออกไปอีกหนึ่งปี เป้าหมายภารกิจคืออะไรล้วนขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของท่านเอง)
(ท่านเจ้าของร่าง ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง?)
(ท่านเจ้าของร่าง…)
ตันหวายไม่สนใจระบบที่เอาแต่พูดพล่ามไม่หยุด ก่อนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เอื้อมมือไปหมายจะถอดหน้ากากของเฟิงสือหลี่
เฟิงสือหลี่ยกแขนขึ้นป้องมือของเขาเอาไว้ พลางก้าวถอยออกไปด้วยท่าทีสุขุม
ตันหวายตัวแข็งทื่อ คลี่ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อนโดยไม่รบเร้าอะไรอีก
เฟิงสือหลี่เบนสายตาไปยังกลุ่มคนข้างหลัง น้ำเสียงเยียบเย็นลงขณะเอ่ยอย่างช้าๆ “วันนี้วันมงคล ข้าไม่อยากมีเรื่องกับพวกเจ้า รีบลงเขาไปเสียดีกว่าไหม?”
ทุกคนสบตากันครู่หนึ่ง ในใจเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ ไม่ใช่ว่าเฟิงสือหลี่ออกจากพรรคมารแล้วถูกไล่ล่าสังหาร บัดนี้ต้องแบกรับภาระอันหนักหนาสาหัสหรอกหรือ เหตุใดยามนี้จึงแลดูแข็งแรงดีเล่า
หรือว่าข่าวลือผิดพลาด?
สีหน้าของทุกคนไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก พวกเขาได้ยินข่าวนี้จึงพากันมุ่งหน้ามา หวังจะชุบมือเปิบกำจัดเฟิงสือหลี่ทิ้งเสีย ตอนนี้ชักเริ่มจัดการยากแล้ว
ไอสังหารฉายวาบในดวงตาของเฟิงสือหลี่ ฝ่ามือสะบัดวูบหนึ่ง ไม่ทันรอให้ทุกคนเห็นถนัด ลี่ซูก็ลอยกระเด็นไปปะทะกับต้นไม้ใหญ่ด้านหลังอย่างแรงจนกระอักเลือด
ทุกคนหวาดกลัวแทบขาดใจ ลี่ซูนับว่าเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ แต่กลับสู้เฟิงสือหลี่ไม่ได้แม้เพียงกระบวนท่าเดียว
“ยังไม่ไปอีก?” เฟิงสือหลี่ยิ้มหยัน “หรือต้องสังเวยเพิ่มสักกี่ชีวิต?”
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนทันใด แม้กระทั่งคำขู่ทิ้งท้ายก็ลืมกล่าว ก่อนจะวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนจากไปทันที
ฉีเฟิงซานกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ท้องฟ้ามืดสนิทลงแล้ว จันทร์เพ็ญลอยเด่นอยู่เหนือยอดไม้ ทอแสงนวลอ่อนอาบไล้คนทั้งสองที่ทอดมองกันและกัน
“ซือจุน” อาจเป็นเพราะทนสายตาพินิจพิจารณาของตันหวายไม่ไหว เฟิงสือหลี่จึงกล่าวอย่างลำบากใจว่า “เข้าไปกันเถิดขอรับ”
ตันหวายไม่ได้ปฏิเสธ ก้าวเดินเคียงข้างกันไปตามถนนสายเล็กๆ ในภูเขา ก่อนถามโพล่งขึ้นว่า “นี่เป็นสาเหตุที่นานๆ ทีท่านถึงจะกลับมาสักหน เป็นสาเหตุที่ท่านคอยหลบหน้าข้าตลอดทุกเย็นอย่างนั้นหรือ?”
เฟิงสือหลี่แย้มยิ้มโดยไม่เอ่ยตอบ ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง
แม้ท้องฟ้าจะมืดสลัว แต่ตันหวายยังคงมองออกว่าเฟิงสือหลี่มีอาการผิดปกติ จึงรีบคว้ามือเขามาจับไว้พลางถามอย่างร้อนรน “ท่านไม่สบายตรงไหน บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
“ข้า…อั่ก!”
ตันหวายพลันตะลึงค้าง ภาพตรงหน้าราวกับถูกฉาบย้อมด้วยโลหิต โลหิตปริมาณมหาศาล โลหิตอาบท่วมเสื้อคลุมสีเทาของเขา หลั่งไหลทะลักมาจากร่างเฟิงสือหลี่
ตันหวายรู้สึกว่าตนต้องกลั้นหายใจแล้ว เบื้องหน้ามองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น หลงเหลือเพียงรัศมีจันทร์กับคนใต้แสงจันทร์เท่านั้น
งานเฉลิมฉลองกลางสารทฤดูปีนี้ล่มไม่เป็นท่า ตันหวายใช้ผ้าเช็ดหน้าซับใบหน้าให้กับเฟิงสือหลี่ ทะนุถนอมเขาดั่งอัญมณีล้ำค่าอันแสนเปราะบาง เกรงว่าหากพลั้งมือเพียงเล็กน้อย อัญมณีชิ้นนี้ก็อาจแตกสลาย
(ขอแสดงความยินดีกับท่านเจ้าของร่าง ท่านมีเวลาคงเหลืออีกหนึ่งปี)
ตันหวายแววตาทอประกายวูบไหว อยากจะโยนไอ้สิ่งที่เรียกว่าภารกิจนี่ทิ้งไปให้พ้น แล้วจดจ่อกับคนตรงหน้าเพียงเท่านั้น
คนคนนี้เปรียบเหมือนกับสนามแม่เหล็ก ไม่ดึงดูดเข้าหาใครยกเว้นเขาคนเดียว ไม่เช่นนั้นแล้วทำไมในทุกๆ โลกเขาจึงรักใคร่ห่วงใยตนอย่างลึกซึ้งและแน่นแฟ้นมากขึ้นทุกที
——
[1] ในที่นี้หมายถึงสำนักจู๋กวง (逐光)