เหอจินหมิงสั่งให้เขาขึ้นม้า ตันหวายคิดว่าเหอจินหมิงอาจจะอยากสั่งให้เขาไปตาย
ตันหวายเหลือบมองม้าที่อยู่ตรงหน้า แล้วเหลือบมองเหอจินหมิงที่อยู่ด้านข้าง ก่อนเอียงคอกล่าวอย่างใสซื่อทันใด “ดูเหมือนข้าจะขี่ม้าไม่เป็น”
ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่เขาที่ขี่ไม่เป็น เจ้าของร่างเดิมก็ขี่ไม่เป็นเช่นกัน ยามเยาว์เจ้าของร่างเดิมเคยเกือบตกจากหลังม้า จากนั้นก็ไม่ได้เรียนขี่ม้าอีกเลย เรื่องนี้เหอจินหมิงก็รู้ดี ทว่าตอนนี้กลับสั่งให้เขาขึ้นม้า
เหอจินหมิงจิตใจสกปรกสักแค่ไหนกันเชียว ตันหวายก่นด่าในใจ
“เจ้าขี่ม้าเป็น” เหอจินหมิงยกยิ้มมุมปาก มองเขาด้วยสายตาเฉียบคม “แต่ก่อนเจ้าขี่ม้าชำนาญยิ่งนัก เจ้าเพียงแค่หลงลืมหลังจากความจำเสื่อมเท่านั้น ขอเพียงเจ้าขึ้นไปก็ย่อมจดจำได้แน่นอน ขึ้นม้าสิ”
เหอจินหมิงทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อให้เขาตายจริงๆ ตันหวายทอดถอนใจ เด็ดเดี่ยวแน่วแน่เสียขนาดนี้ ช่างหายากโดยแท้
ตันหวายฉีกยิ้มเหยเก รับบังเ**ยนม้ามาแล้วเหลือบมองจวินเฉิงโดยไม่กระโตกกระตาก
จวินเฉิงไม่ได้มองเขาเลย กลับก้มหน้าก้มตาคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
เหยียบโกลนพลิกตัวขึ้นม้า ระดับสายตาของตันหวายยกสูงขึ้นอีกเท่าตัวทันทีทันใด เขากลืนน้ำลายอึก รู้สึกถึงความหวาดกลัวของตนเองได้อย่างชัดเจน
ถ้าตายแล้วก็แล้วกันไป แต่ถ้าตกลงมาจากม้าแล้วพิกลพิการ แบบนั้นคงทุกข์ทรมานน่าดู
ม้าที่ตันหวายขึ้นขี่ราวกับไม่คุ้นเคยที่มีคนมาขึ้นหลังมัน จึงดีดขาหน้ายกขึ้นอย่างฉุนเฉียว
เหอจินหมิงอยู่ๆ ก็ยิ้มประหลาด ยกแส้ม้าในมือขวาขึ้น แล้วออกแรงหวดใส่ก้นม้าตัวที่ตันหวายขี่อยู่
ม้าที่ถูกจู่โจมกะทันหันยิ่งคลุ้มคลั่ง แบกร่างตันหวายห้อตะบึงออกไปจากฝูงชนทันที
เพราะว่าม้าเกิดพยศอาละวาดกะทันหัน ตันหวายจึงตั้งสติไม่ทันชั่วขณะ ร่างหงายตีลังกาไปข้างหลังทันที โชคดีว่าในมือกุมบังเ**ยนไว้มั่นเลยยังไม่ถูกเหวี่ยงออกไป
เกิดความวุ่นวายขึ้นท่ามกลางฝูงชน ม้าตัวนี้เห็นชัดว่าเป็นม้าพยศที่ไม่เคยผ่านการฝึกให้เชื่อง ไม่ควรปรากฏตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก
ไท่พู[1]เห็นภาพนี้เข้าก็สีหน้าเปลี่ยนทันใด ขาอ่อนแรงทรุดฮวบลงกับพื้น
“ฝ่า…ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ไท่พูพร่ำพูดไปพลางร้องขอชีวิตจากเหอจินหมิงไปพลาง
สายตาเหอจินหมิงจับจ้องผู้ที่ล้มทรุดลงกับพื้น เอ่ยปากกล่าว “ไท่พูกระทำการเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นนี้ สมควรต้องลงโทษให้หนัก ประหารซะ”
ผู้คนรอบข้างพากันสั่นสะท้าน แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร มองไท่พูถูกพาตัวไปพลางเบิกตาค้าง
ตันหวายถูกม้าที่พยศอาละวาดแบกร่างห้อตะบึงไปไกล ทั้งร่างกลับมั่นคงอย่างน่าแปลกใจ มือที่ดึงบังเ**ยนยิ่งกุมแน่นขึ้นอีก
เขาต้องคิดหาวิธีช่วยตัวเอง เขาไม่ได้นึกอยากตายอีกครั้งไวขนาดนี้เลย
ม้าข้างใต้ร่างเมื่อพบว่าคนข้างบนหลังสลัดไม่หลุดเสียทีก็คลุ้มคลั่งอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่วิ่งห้อไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ทว่ายังกระโดดดีตัวด้วยพละกำลังมหาศาลหมายให้คนข้างบนหลังร่วงตกลงไป
ตันหวายรู้ว่าตนไม่มีทางปราบม้าตัวนี้เชื่องลงได้ ม้าตัวนี้พยศเกินไป ผู้ชำนาญการฝึกม้าก็ไม่แน่ว่าจะฝึกให้เชื่องได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนขี่ม้าไม่เป็นเลยสักนิดอย่างเขา
เหลือบไปเห็นสนามหญ้าด้านข้าง ตันหวายจับบังเ**ยนในมือไว้แน่นกว่าเดิม หากกระโดดลงบนสนามหญ้าจากตรงนี้ได้ บางทีอาจจะยังมีโอกาสรอด
เขาไม่มีเวลาให้ลังเลมากนัก แทบจะคิดเพียงชั่ววูบ ก็ปล่อยมือเตรียมกระโดดลงไป แต่ว่าปล่อยมือออกไม่ทันไร ตันหวายก็ถูกใครบางคนจับมือเอาไว้
“ขี่ม้าพยศเช่นนี้ยังกล้าคลายมือ เจ้าใจเด็ดถึงเพียงนั้นเชียวรึ? อยากตายจนแทบอดใจรอไม่ไหว ช่างเปิดหูเปิดตาข้าเสียจริง” เสียงหนึ่งดังขึ้นแนบชิดกับใบหูของตันหวาย น้ำเสียงเจืออารมณ์ขุ่นเคืองเบาบาง แต่เสียงนี้เหมือนกับฝ่ามืออันอ่อนโยน ปลอบให้มือที่เหยียดเกร็งด้วยความตื่นตระหนกของเขาผ่อนคลายลงทีละน้อย
ตันหวายจิตใจสงบลงในทันใด เรี่ยวแรงทั้งกายเขาถูกสูบออกไปจนหมดในพริบตา แทบจะอ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขนของจวินเฉิง
จวินเฉิงมือหนึ่งคว้าบังเ**ยนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มืออีกข้างกอดตันหวายเอาไว้ สองเท้าออกแรงเหยียบโกลนทะยานลงมาจากหลังม้า
ตันหวายมือหนึ่งคว้าแขนเสื้อของจวินเฉิง อีกมือหนึ่งลูบหน้าอกทำท่าอาเจียน เขาเพิ่งจะถูกม้าคลั่งเหวี่ยงจนหัวเกือบหลุด ตอนนี้เขาแทบจะสำรอกตับไตไส้พุงตัวเองออกมาหมดแล้ว
จวินเฉิงมองมือที่ถูกบังเ**ยนบาดจนเลือดออกของตันหวายด้วยสายตาลึกซึ้ง
——
[1] ไท่พู (太仆) คือตำแหน่งขุนนางผู้รับผิดชอบม้าศึกและรถศึกของกษัตริย์และกองทัพ