ชิวเลี่ยกินเวลายาวนานถึงสิบห้าวัน ระหว่างนั้นวันที่เข้าป่าล่าสัตว์ในเขาลึกจริงๆ คือเจ็ดวัน ที่เหลือล้วนเป็นการเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เซ่นไหว้บรรพบุรุษ เที่ยวเตร่และให้บำเหน็จตามความชอบ
ปฐมกษัตริย์ผู้บุกเบิกต้าโจวศรัทธาว่าใต้หล้าถือกำเนิดขึ้นจากหลังม้า เพราะเหตุนี้จึงมีการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับชุนเลี่ย[1]และชิวเลี่ยอย่างละเอียด
ต้าโจวแบ่งแยกชุนเลี่ยและชิวเลี่ย ชุนเลี่ยจัดขึ้นสองปีครั้ง ชิวเลี่ยจัดขึ้นสามปีครั้ง ในจำนวนนั้นชิวเลี่ยจัดอย่างยิ่งใหญ่มโหฬาร ไม่เพียงกินเวลานาน อีกทั้งบำเหน็จที่ให้ตามความดีความชอบก็ยิ่งล้ำค่า
ตันหวายชมดูพิธีบวงสรวงบนแท่นพิธีอย่างหมดอาลัยตายอยาก เหลียวมองจวินเฉิงฝั่งตรงข้ามเป็นครั้งคราว คิดในใจว่าพิธีบวงสรวงของคนโบราณยาวนานจริงแท้ บวงสรวงทีหนึ่งก็ปาเข้าไปเกือบหนึ่งวันแล้ว
ตะวันลับฟ้า บริเวณโดยรอบแท่นบวงสรวงจุดโคมไฟเรียบร้อยแล้ว พิธีบวงสรวงจึงค่อยเสร็จสิ้นลงในที่สุด
ตันหวายมองดูกระบอกติ้วเบื้องหน้าตกอยู่ในความเงียบงัน
รีบร้อนปานนี้เชียวหรือ ขณะนี้กำลังจะจับฉลากเข้าสู่หุบเขาป่าลึกแห่งนี้
ตันหวายลังเลเล็กน้อย ก่อนดึงติ้วหนึ่งออกมาจากกระบอกอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ไม่ง่ายกว่าจะมาถึงยุคโบราณสักครั้ง อย่างไรก็ต้องลองสัมผัสประเพณีล่าสัตว์ของราชวงศ์แท้ๆ กันสักหน่อย
หยิบได้ติ้วไผ่แล้วพลิกกลับมา ตันหวายมองตัวอักษรไฮ่[2]ขนาดใหญ่พลางเลิกคิ้ว จื่อคือชวด โฉ่วคือฉลู…นี่เขาต้องไปล่าหมูอย่างนั้นหรือ? ได้ยินว่าหมูในภูเขาจะดุร้ายเป็นพิเศษ ไม่รู้ด้วยว่าอุปกรณ์เพียงพอหรือเปล่า
เหอจินหมิงถือติ้วไผ่ในมือพลางมองอย่างครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็วางติ้วไผ่เปิดให้ทุกคนเห็น ด้านบนปรากฏตัวอักษรโฉ่วเด่นหราอยู่
ตันหวายเกือบหัวเราะออกเสียง ภาพนี้มองอย่างไรก็น่าตลกสิ้นดี ตัวอักษรโฉ่ว (อัปลักษณ์) ช่างเหมาะสมกับเหอจินหมิง สมบูรณ์แบบจริงๆ
ผู้ที่จับได้ตัวอักษรโฉ่วเหมือนกันคือแม่ทัพน้อยอีกสามคน พวกเขามองติ้วไผ่ในมือพลางจ้องหน้ากันไปมา ก่อนเดินไปยืนด้านหลังเหอจินหมิง
ตอนนี้ตันหวายพอจะนึกออกแล้ว ที่แท้ตัวอักษรเหล่านี้ใช้เพื่อแบ่งกลุ่มกันนั่นเอง
ถึงตาจวินเฉิงวางติ้วไผ่ลง ตันหวายเพ่งมองไปด้วยแววตาลุกโชน จวินเฉิงรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา จึงเงยหน้าขึ้นเหลือบมองเขาด้วยอาการนิ่งเฉย
ไฮ่! ต้องเป็นไฮ่แน่นอน! ตันหวายกะพริบตาปริบ สวดภาวนาเงียบๆ ในใจ
จวินเฉิงเลิกคิ้วขึ้น พลิกติ้วไผ่ไปอีกด้าน ที่แท้เป็นตัวอักษรเว่ย ตันหวายผิดหวังเล็กน้อย
ขั้นตอนจับฉลากนั้นง่ายดาย ฉะนั้นจึงเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ติ้วไผ่ทั้งสิบสองตัวอักษรนี้มีจำนวนแตกต่างกันไป แต่คนที่จับได้ตัวอักษรไฮ่มีเพียงแค่สองคน
ตันหวายเดินเข้าไปเอาแขนพาดบ่าของเหอหรูกู้ ยิ้มกล่าว “พรหมลิขิตโดยแท้ มีแค่สองอันยังให้เจ้ากับข้าจับได้”
เหอหรูกู้ทำหน้าไม่เป็นมิตรกับเขานัก ขมวดคิ้วหันมากล่าว “แค่เจ้าไม่ถ่วงแข้งถ่วงขาข้าเป็นพอ”
ถ่วงแข้งถ่วงขา? ตันหวายหรี่ตา ไอ้เด็กนี่พูดจาดีๆ เป็นไหมเนี่ย คนอื่นเขาจับมือเป็นคู่หูกันหมดแล้ว ไม่สามัคคีกันอย่างนี้เดี๋ยวก็ตายไม่รู้ตัวหรอกไอ้หนู
เหอหรูกู้พลิกตัวขึ้นม้า ก้มหน้าพลางเชิดคางใส่ตันหวายแล้วกล่าว “เจ้าแม้แต่ม้ายังขี่ไม่เป็น จะล่าสัตว์ได้อย่างไร?”
ตันหวายเอานิ้วเกี่ยวดึงหญ้าแห้งที่เริ่มออกเป็นสีเหลืองด้านข้าง เห็นว่าได้จังหวะก็เหยียบขึ้นโกลนม้า พลิกตัวนั่งลงข้างหลังเหอหรูกู้ทันที
ตันหวายตบศีรษะตัวเองเบาๆ “ถ้าไม่ห่วงว่าข้าตัวสูงเกินจนบังสายตาเจ้าล่ะก็ ข้าคงไปนั่งข้างหน้าแล้ว ตอนนี้ข้านั่งถนัดล่ะ ไปกันได้หรือยัง?”
เหอหรูกู้ “…”
ตันหวายพูดตามความจริง เขาห่วงว่าจะบังสายตาเหอหรูกู้จริงๆ นี่นา เหอหรูกู้จะโตเร็วแค่ไหนก็เป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีเท่านั้น ส่วนสูงของเขาวัดด้วยสายตาแบบคนปัจจุบันแล้วแค่ประมาณร้อยหกสิบเซนติเมตร ย่อมจะถูกบดบังสายตาอย่างแน่นอน
เหอหรูกู้เม้มปากไม่กล่าววาจา ก่อนสะบัดแส้หวดพาตันหวายขี่ม้าห้อตะบึงออกไป
จวินเฉิงกับเหอจินหมิงมองคนทั้งสองจากไปด้วยความคิดแตกต่างกัน ที่เหมือนกันคือสีหน้าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก
ทั้งสองคนสบตากันครู่หนึ่งราวกับใจสื่อถึงใจอย่างน่าประหลาด ต่างก็มองเห็นเปลวไฟโชติช่วงในดวงตาของอีกฝ่าย
——
[1] ชุนเลี่ย (春猎) คือการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิของเหล่าราชวงศ์
[2] ไฮ่ (亥) คือตัวอักษรแทนปีกุนตามระบบปีนักษัตรจีน