เขากรีดแขนตัวเองไม่เข้าตั้งแต่แรกแล้วน่ะสิ!!!
ตันหวายแทบจะลมจับ! เจ็บซะขนาดนั้นทำไมยังกรีดไม่เข้าอีก! เขาอุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจทำร้ายตัวเองเลยเชียวนะ!
หยิบลูกศรขึ้นมาอย่างงกๆ เงิ่นๆ ตันหวายเห็นหัวลูกศรอันแหลมคมแล้วก็ใจหล่นวูบ พอคิดว่าเจ้าสิ่งนี้ยังต้องกรีดลงบนร่างของตนเองอีกที ตันหวายก็นึกอยากขุดหลุมฝังเหอหรูกู้เสียให้รู้แล้วรู้รอด
ตายไปซะก็ดี คนที่ชอบดูถูกเขาอย่างนี้ ไม่ควรค่าพอให้ตนลงมือกรีดอีกครั้ง
เหอหรูกู้ที่อยู่ข้างๆ ตกอยู่ในภวังค์แล้ว ขณะที่สะลึมสะลือคล้ายมองเห็นอะไรบางอย่าง หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันเป็นปม
“แม่…เสด็จแม่…”
ตันหวายตะลึงไปเล็กน้อย กัดริมฝีปากพลางกะพริบตาปริบอย่างทำตัวไม่ถูก
ตันหวายหยิกแก้มเหอหรูกู้ คิดในใจว่าตนเสียสละมากเกินไปแล้วจริงๆ เขากลัวเจ็บอ่ะเข้าใจกันบ้างไหม!
หยิบลูกศรที่ถูกตนโยนทิ้งไปด้านข้าง ตันหวายหลับตาลง แล้วออกแรงกรีดข้อมือของตนเอง
เหอหรูกู้ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น กลิ่นคาวนั้นก็ถูกกรอกเข้ามาเต็มปาก
เห็นเขาดื่มได้พอประมาณแล้ว ตันหวายก็จับคางเขาแล้วชักแขนของตนออกมา
เหลือบมองบาดแผลตัวเอง ตันหวายถลึงตาใส่เหอหรูกู้อย่างดุร้าย เอื้อมมือไปคว้าชายเสื้อของเขาเตรียมจะฉีกเศษผ้ามาพันแผลให้ตัวเอง
จับชายเสื้อไว้ทั้งสองฝั่ง ตันหวายออกแรงดึง สีหน้าก็เปลี่ยนทันที บาดแผลบนท่อนแขนปริแตกเล็กน้อยเพราะการเคลื่อนไหวของเขา
ตันหวายเข่าทรุด ไฟโทสะลุกโชติช่วงในแววตา
เขาถอดเสื้อผ้าของเหอหรูกู้มาพันแผลอย่างไม่แยแส ถึงอย่างไรก็เพิ่งจะเข้าฤดูใบไม้ร่วง อากาศยังไม่หนาวเท่าไหร่ เขาไม่แข็งตายหรอก
เอื้อมมือไปคว้าเสื้อคลุมของเหอหรูกู้เอาไว้ เพิ่งจะถอดออกมาจากบ่าเหอหรูกู้ได้ข้างหนึ่ง เสียงหนึ่งก็ดังแว่วมาจากเหนือศีรษะของตันหวาย
“พวกเจ้าทำอะไรกัน?” จวินเฉิงเห็นคนทั้งสองที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อยอีกทั้งมือไม้ที่ทำมิดีมิร้ายของตันหวายก็ตกอยู่ในอาการเงียบงัน
ตันหวาย “…”
“ข้าคิดว่าข้าอธิบายได้ ท่านคิดอย่างไรล่ะ?”
ตันหวายกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าเล็กแสนมอมแมมช่างเข้ากับแววตาไร้เดียงสา ทำเอาจวินเฉิงหัวใจกระตุกวาบ
จวินเฉิงไม่กล่าววาจา กระโดดลงมาแล้วใช้วิชาตัวเบาพาคนทั้งคู่ขึ้นไปอย่างต่อเนื่องกันทันที
พอเห็นบาดแผลบนแขนของตันหวาย จวินเฉิงก็ชักกระบี่ออกจากเอวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พลางหยิบผ้าผืนใหญ่ออกมาจากข้างในเสื้อของเหอหรูกู้แล้วพันแผลให้ตันหวายอย่างคล่องแคล่ว
ตันหวายมองดูแผลตัวเองถูกห่อเป็นก้อนเบ้อเริ่มน่าเกลียด ด้านบนยังผูกปมเป็นรูปผีเสื้อก็นิ่งเงียบไป
คิดในใจเงียบๆ ถอดไม่ได้ถอดไม่ได้ นี่จวินเฉิงพันแผลให้เขาเองเชียวนะ!
เขาตัดสินใจใช้การพูดคุยเบี่ยงเบนความสนใจของตนเอง ไม่เช่นนั้นตนคงได้กระชากของเด็กเล่นนี่ออกมาอย่างอดไม่ไหวจริงๆ
ตันหวาย “ฮ่ะๆ ท่านมาได้อย่างไร? รีบพูดสิว่าข้ามารับเจ้า”
พอสิ้นเสียงกล่าว ตันหวายก็นึกอยากตีตัวเองให้ตาย นี่เป็นบทสนทนาที่น่าอึดอัดที่สุดในชีวิตตั้งแต่เขาเกิดมายี่สิบกว่าปี
จวินเฉิงกลับไม่รู้สึกว่าอึดอัดอะไร ชี้ไปยังม้าที่กินหญ้าอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “มันพาข้ามาน่ะ”
ม้าที่จวินเฉิงชี้อยู่ก็คือม้าของเหอหรูกู้ที่ตันหวายเอาแส้หวดจนวิ่งหนีไปนั่นเอง
จวินเฉิง “ในสถานการณ์เช่นนี้รู้จักใช้วิธีแบบนี้ตามคนมาช่วย นับว่าฉลาดทีเดียว”
ตันหวายอยากพูดว่าชมเกินไปแล้วชมเกินไปแล้ว ไม่ขนาดนั้นหรอกไม่ขนาดนั้นหรอก ทุกอย่างทำเพื่อประชาชนทั้งนั้น
“ช่างบุ่มบ่ามเสียเหลือเกิน” จวินเฉิงกล่าวขึ้นอีก
ตันหวายปิดปากเงียบทันเวลา อืม โชคดีที่ไม่ได้พูด ไม่งั้นคงอึดอัดกว่าเดิม
ระหว่างที่คนทั้งสองพูดคุยกันเหอหรูกู้ก็ฟื้นคืนสติ เขาพิงอยู่ข้างต้นไม้ สายตาไล่มองจากปมผีเสื้อบนขาของตนไปจนถึงชายเสื้อที่คลุมปิดขากางเกงไม่มิดอีกแล้ว สีหน้าสดใสอย่างยิ่ง
“เจ้าตื่นแล้วหรือ? เร็วขนาดนี้เชียว!” ตันหวายยิ้มกล่าว “อย่าดูถูกเชียวว่าอายุยังน้อย สภาพร่างกายกลับแข็งแรงดี ตอนนั้นข้าสลบไปตั้งหนึ่งชั่วยามแน่ะ”
ตันฝูเซิงเดิมมีนิสัยชอบคุยเขื่องไปทั่ว เรื่องที่เขาเคยถูกงูกัดมีคนรู้ตั้งมากมาย เพราะเหตุนี้เหอหรูกู้จึงยังพอเข้าใจว่าตนถูกช่วยชีวิตได้อย่างไร
เหอหรูกู้ไม่รับคำของตันหวาย แต่กลับพูดตรงๆ ว่า “ขอบคุณมากที่เจ้าช่วยชีวิตข้า เจ้าอยากให้ข้าตอบแทนเจ้าอย่างไร?”
ตันหวายหรี่ตามอง “ข้าไม่เคยช่วยใครง่ายๆ หรอกนะ ย่อมต้องตอบแทนกันอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก ไม่สู้เจ้าจำไว้ให้ดี เดี๋ยวผ่านไปอีกไม่นาน ข้าจะมาตามทวงกับเจ้า”
เหอหรูกู้พยักหน้าเป็นเชิงยอมรับโดยดุษณี
เสียงควบม้ากุบกับดังแว่วห่างไปไม่ไกล ทุกคนหันหน้าสบตากัน รู้ว่ามีผู้มาเยือนอีกแล้ว