ตอนที่ 32 แก้เค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (1)
ตันหวายที่ตื่นเต็มตาสวมชุดนอนนั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา เขายังตั้งสติไม่ทันจากโลกที่แล้ว ตอนนี้ในหัวเต็มไปด้วยช่วงเวลาอันแสนสั้นไม่ถึงสามเดือนที่ใช้ร่วมกันกับจวินเฉิง
ภารกิจในโลกที่แล้วง่ายดายมาก อย่างไรเสียก็มีดัชนีทองคำ[1]อันเบ้อเริ่มซะขนาดนั้น ไม่คิดให้ไวก็หมดทางเลือก แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้เอง ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าเร็วเกินไป เขายังใช้เวลาอยู่กับจวินเฉิงไม่พอเลย
(ระบบ H3883 ขอแจ้งเตือนท่าน โลกมีนับหมื่นพัน ชีวิตมีเพียงหนึ่งเดียว ยึดติดทางโลกมากเท่าไหร่ คนชิดใกล้น้ำตานองหน้า[2] ท่านเจ้าของร่างโปรดปรับตัวกับสถานะใหม่โดยเร็ว)
ตันหวาย “…” สมัยนี้ ระบบก็ทันกระแสเหมือนกันนะเนี่ย
ตันหวายรวบรวมสติ พลิกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา สายตาจับจ้องอยู่บนสายที่เพิ่งโทรเข้ามาเมื่อครู่
สายนั้นโทรมาจากผู้จัดการของเจ้าของร่างเดิมเยี่ยชิว จุดมุ่งหมายคือไม่ให้เจ้าของร่างเดิมไปงานเลี้ยงเย็นนี้สาย
ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็น ตอนหนึ่งทุ่มเยี่ยชิวยังมีนัดสังสรรค์กับนักลงทุนในโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง B คำว่านัดสังสรรค์ช่างฟังดูดี พูดเบาๆ ก็คือขายยิ้ม พูดแรงๆ ก็คือขายตัว ก็แค่งานสังคมไฮโซเท่านั้นแหละ
ตันหวายบีบโทรศัพท์สบถคำหยาบอยู่ในใจ ยุ่งที่ไหนไม่ยุ่ง ให้เขามายุ่งกับวงการบันเทิง รู้บ้างไหมว่าแต่ก่อนกระทั่งทีวีเขายังไม่ดูเลย!
(ท่านเจ้าของร่าง ปณิธานของเจ้าของร่างเดิมคือกลายเป็นดาราแถวหน้า ทางที่ดีที่สุดคือได้รับฉายาราชาแห่งภาพยนตร์ เอิ่มม ทางที่ดีที่สุดมีแฟนหนุ่มที่ดีกว่าแฟนหนุ่มคนก่อนหนึ่งหมื่นเท่าอีกสักคน ทำให้ผู้ชายเศษสวะเสียใจทีหลัง…)
ตันหวาย “…”
อาจเป็นเพราะระบบก็คิดว่าเจ้าของร่างเดิมเรียกร้องมากเกินไป จึงพูดพลางเว้นช่วงเงียบอยู่หลายครั้ง เห็นชัดว่ายังไม่ชำนาญงานพอ
(อ่ะแฮ่ม แต่ไม่เป็นไรท่านเจ้าของร่าง ระยะเวลาภารกิจนี้ยาวนาน มีเวลา…เอ่อ…ตราบเท่าที่มีชีวิต)
…ตราบเท่าที่มีชีวิตโคตะระแม่เอ็งสิ!
ตันหวายเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องอย่างหัวเสีย จนกระทั่งเหลือบไปเห็นยานอนหลับบนหัวเตียงจึงค่อยใจเย็นลง
เดิมทีนั่นคือยานอนหลับที่บรรจุไว้เต็มขวด บัดนี้ว่างเปล่าเสียแล้ว เม็ดยาข้างในถูกกลืนลงไปในท้องเจ้าของร่างเดิมโดยไม่ตกหล่นแม้แต่เม็ดเดียว
ทั้งยังถูกกดดันอีกต่างหาก ตันหวายทอดถอนใจ
เจ้าของร่างเดิมก็คือเยี่ยชิว เป็นนักแสดงตัวเล็กๆ จากบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง ต้องการเงินทองไม่มีเงินทอง ต้องการต้นทุนไม่มีต้นทุน ที่สำคัญที่สุดคือไม่มีโชคช่วย
เจ้าของร่างเดิมเป็นเกย์คนหนึ่ง ตอนเรียนมหาวิทยาลัยมีแฟนหนุ่มหนึ่งคน หลังจากเรียนจบทั้งคู่ก็เข้าสู่วงการบันเทิงพร้อมกัน เซ็นสัญญากับบริษัทแห่งหนึ่ง
วงการบันเทิงคือสถานที่แบบไหน? เด็กจนๆ ที่หลงตัวเองทั้งไร้ซึ่งอำนาจวาสนาได้ออกหน้าออกตาก็แปลกแล้ว
นับตั้งแต่เจ้าของร่างเดิมเข้าวงการบันเทิงมาก็พบเจอแต่อุปสรรค เคยมีเจ้านายเสนอตัวเลี้ยงดูเจ้าของร่างเดิม แต่ถูกเจ้าของร่างเดิมปฏิเสธ ภายหลังเจ้าของร่างเดิมจึงถูกขึ้นบัญชีดำอยู่พักใหญ่
เรื่องน่าเศร้ายังไม่หยุดอยู่แค่นี้ ในระหว่างช่วงที่เจ้าของร่างเดิมโดนแบนอยู่ แฟนหนุ่มของเขาดันไปเกาะผู้ถือหุ้นหญิงในบริษัทให้เลี้ยงดูเพื่อหาต้นทุน ได้ยินว่าผู้ถือหุ้นหญิงคนนั้นอายุปาไปเกือบตั้งห้าสิบแล้ว ทั้งยังมีสามีอยู่ที่บ้าน เจ้าของร่างเดิมรู้เข้าก็โกรธแทบทนไม่ไหว ตัดขาดเยื่อใยทันที
อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าตนมองไม่เห็นอนาคต ชีวิตทุกข์ระทมเหลือเกิน คืนก่อนวันที่เจ้าของร่างเดิมจะถูกผู้จัดการบังคับให้ไปเป็นเด็กชงเหล้า จึงกินยานอนหลับฆ่าตัวตาย
เข็มนาทีบนนาฬิกาชี้ไปที่เลขสาม ตันหวายหยิบเสื้อคลุมบนโซฟาเดินออกประตูไป
ตันหวายอาศัยอยู่ในห้องพักบนอาคารเก่าทรุดโทรม ยังมีเพื่อนร่วมห้องที่เช่าห้องอยู่ด้วยกันอีกคนหนึ่ง
เพื่อนร่วมห้องเป็นพวกขี้เมา กลางวันออกไปทำงานรับจ้าง ตกเย็นก็ใช้เงินที่หามาได้ซื้อเหล้ากิน แม้กระทั่งเงินเช่าห้องก็หยิบยืมมา
ตันหวายเพิ่งจะออกมา ก็บังเอิญพบเพื่อนร่วมห้องที่เดินกอดขวดเหล้าโซซัดโซเซกลับมาพอดี
ตันหวายเดิมไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับคนประเภทนี้ แต่เพื่อนร่วมห้องกลับฉุดรั้งเขาเอาไว้
“พ่อดาราใหญ่ ช่วงนี้การงานพอไปได้ล่ะสิ พอมีให้ฉันยืมสักสองสามร้อยไหม?”
ตันหวายขมวดคิ้ว เหลือบมองเขาอย่างรังเกียจเล็กน้อย สะบัดแขนของเขาออกจะเดินไป
ขี้เมาที่ถูกสะบัดก็ฝีเท้าลอยหวิวหมุนตัวอยู่หลายรอบ ก่อนกล่าวเหน็บแนมว่า “ออกจากบ้านค่ำๆ อย่างนี้ จะไปนอนกับเจ้านายใหญ่คนนั้นเรอะ? ทำอาชีพอย่างพวกเอ็ง ต้องนอนกับคนอื่นไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้วล่ะสิ แสร้งรักนวลสงวนตัวทำอะไร”
ตันหวายชะงัก หยุดฝีเท้าหมุนตัวกลับมาแค่นหัวเราะ “ไหนแกพูดอีกทีซิ?”
“พ่อกลัวเอ็งตายเลย พวกเอ็งนี่—–อั่ก!” ขี้เมาถูกตันหวายยกเท้าถีบเต็มอก สำลักพ่นเหล้าที่ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งสาดกระจายทันที
“พูด พูดมาอีก” ตันหวายชำเลืองมองขี้เมาบนพื้น “เอาอีกสิ แกพูด ฉันรอฟังอยู่นี่ไง”
ขี้เมาบ่นพึมพำอยู่สักพัก ไม่กล้าพูดอะไรอีก กอดขวดเหล้านั่งขดอยู่หน้าประตู
ตันหวายมองเขาพลางแค่นหัวเราะ “ก่อนฉันกลับมาเก็บกวาดหน้าห้องให้เรียบร้อย ไม่งั้นเดี๋ยวจะเหนี่ยวให้จำหน้าแม่ไม่ได้เลยคอยดู”
ทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคนี้ ตันหวายหมุนตัวจากไปอย่างสง่างาม
——
[1] ดัชนีทองคำ หมายถึง ตัวช่วยหรือพลังพิเศษของพระเอก
[2] มีมหนึ่งในอินเตอร์เน็ตนำมาจากป้ายเตือนการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย
ตอนที่ 33 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (2)
ตันหวายรู้สึกสะใจมาก มีคนประเภทหนึ่ง ตัวเองไม่รู้จักขวนขวายแล้วยังคิดแต่จะทวงบุญคุณคนอื่นเขาไปวันๆ
ในโลกที่แล้ว หากไม่ใช่เพราะเหอจินหมิงฐานะสูงส่งอย่างนั้น และเขาเองยังรักตัวกลัวตาย ก็คงจะได้ต่อยเหอจินหมิงสักแปดร้อยหมัดไปนานแล้ว
เรียกแท็กซี่มาคันหนึ่ง ตันหวายรีบขึ้นรถอย่างรวดเร็วก่อนจะบอกชื่อโรงแรม
สังคมยุคปัจจุบันอย่างไรก็ดีกว่า ไม่ต้องขี่ม้าให้ลำบากอะไร อยากไปไหนมาไหนเรียกรถสักคันก็จบเรื่องแล้ว
โรงแรมนั้นหรูหราโอ่อ่าที่สุดในเมือง B พนักงานต้อนรับหน้าประตูเห็นตันหวายแต่งตัวเหมือนเดินตลาดนัดก็สบตากันครู่หนึ่ง ก่อนขวางเขาไว้นอกประตู
“มีอะไร เอาค่าผ่านทาง?” ตันหวายยิ้มร้าย
“คุณครับ” พนักงานต้อนรับชี้ไปทางป้ายโรงแรม “ไม่ทราบว่าคุณมาผิดที่หรือเปล่า?”
ตันหวายเข้าใจ ยกมือหยิบปากกาที่เสียบในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของพนักงานต้อนรับออกมา แล้วล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าจากตรงไหนไม่รู้ออกมาอีกแผ่นหนึ่ง ก่อนขีดๆ เขียนๆ ปากลงบนนั้น
“นี่ฉันให้นาย ไม่ต้องขอบคุณฉัน” ว่าพลางเอาปากกากับผ้าเช็ดหน้ายัดใส่ในกระเป๋าหน้าของพนักงานต้อนรับ ตันหวายผลักเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป
พนักงานต้อนรับหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาด้วยสีหน้าอึ้งกิมกี่ พบว่าวาดเป็นรูปหัวหมูที่สมจริงจนน่าขำเด่นหราอยู่บนนั้น
พนักงานต้อนรับ “…”
“ฉันขอดูหน่อย” เริ่นตงหลิวที่ออกมาสูบบุหรี่จนพลอยรู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเดินเข้ามา ฉวยหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นจากในมือของพนักงานต้อนรับ
พอเห็นรูปหัวหมูรูปนั้น เริ่นตงหลิวก็แววตาประกายวาบ เอานิ้วขยี้ดับก้นบุหรี่พลางยิ้มกล่าว “น่าสนใจ”
__________
ตอนที่ตันหวายเดินเข้ามา ในห้องอาหารเรียกได้ว่ามีฝูงปีศาจร่ายระบำอย่างบ้าคลั่ง ตาแก่สัปดนหลายคนต่างกอดเด็กชงเหล้าไว้ในอ้อมแขน ผู้ชายผู้หญิงล้วนมีหมด ตันหวายเกือบจะอาเจียน
บริเวณกึ่งกลางห้องอาหารมีชายอ้วนลงพุงแถมยังหัวล้านหรอมแหรมนั่งอยู่ พอเห็นตันหวายเดินเข้ามา สายตาชายคนนั้นก็จับจ้องที่เขาพลางพิจารณาสักครู่ ก่อนพยักหน้าให้กับผู้จัดการของตันหวายอย่างพอใจ
ผู้จัดการเหงื่อตก สายตาที่มองตันหวายทอแววเป็นห่วงเป็นใยจางๆ
ตันหวายเมินสายตาพวกนี้ แล้วตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งว่างอยู่เพียงที่เดียวทว่าชิดติดกับชายอ้วนพุงโตทันที
“ท่านประธานหลิวอยากลงทุนให้ผมหรือครับ?” ตันหวายเปิดประเด็นเข้าเรื่องเดี๋ยวนั้น
ชายอ้วนพุงโตตะลึงงัน คาดไม่ถึงว่าเขาจะตรงไปตรงมาขนาดนี้ มือสัปดนไต่ขึ้นมาบนต้นขาของตันหวาย ประธานหลิวหลิ่วตากล่าว “เรื่องลงทุนเนี่ย ไม่ใช่ว่าต้องดูฝีไม้ลายมือของน้องหน้ามนก่อนเหรอจ๊ะ?”
ผู้จัดการที่นั่งติดกับพวกเขามากที่สุดเห็นมืออยู่ไม่สุขคู่นั้นก็สั่นเทิ้ม ในใจรู้สึกแย่อย่างมาก ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่ตนดูแลมาตั้งนาน เขาเองก็ไม่ยินดีให้เป็นแบบนี้เช่นกัน
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ? วงการนี้มันก็โหดร้ายอย่างนี้ การไต่เต้าขึ้นไปด้วยน้ำพักน้ำแรงตนเองทั้งหมดใช่ว่าไม่มี แต่โชคแบบนี้ก็ใช่ว่าทุกคนจะมีได้
ตันหวายยิ้มเย็น จับมือประธานหลิวเอาไว้ แล้วเริ่มออกแรงบิดทันที
ประธานหลิวสีหน้าเปลี่ยนทันควัน เจ็บปวดจนต้องร้องโหยหวนออกมา
ตันหวายปล่อยมือออก หยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ดมือพลางยิ้มกล่าว “ท่านประธานหลิวควรลดน้ำหนักบ้าง ท่านบอกผมก็เลยจับมือท่าน ดันจับติดน้ำมันมาเต็มมืออีก”
ประธานหลิวหน้าถมึงทึง ยกแก้วเหล้าบนโต๊ะหมายจะสาดใส่หน้าตันหวาย แต่กลับถูกตันหวายบังไว้ด้วยจานเปล่า
“เฮ้อท่านประธานหลิว ท่านว่าท่านอายจนพาลโกรธหรืออะไร วันหลังจะเอาให้โกรธจนผอมเลย”
“แก–”
“แกอะไรครับท่าน โอย นี่โกรธจนติดอ่างด้วย?” ตันหวายยิ้มระรื่นพลางลุกขึ้นยืน “ไม่งั้นพวกเรามาสู้กันสักยก ท่านให้ผมช่วยระงับอารมณ์หน่อยไหม?”
ผู้จัดการหน้าซีดเผือดไปหมด ลุกพรวดขึ้นมาคว้ามือของตันหวายไว้ พูดลนลานว่า “เยี่ยชิวนายทำอะไร?”
ตันหวายปรายตามองเขาอย่างเย็นชา แววตาเปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง
ผู้จัดการถูกเขามองอย่างนี้ก็หัวใจเย็นวาบ มือที่จับตันหวายไว้คลายออกโดยไม่รู้ตัว
“Telling
HuhHuh~”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นท่ามกลางห้องอาหารเงียบสงัด สายตาของทุกคนเลื่อนไปมองยังกระเป๋าเสื้อคลุมของตันหวายในฉับพลัน
ตันหวายเลิกคิ้ว ล้วงเอามือถือขึ้นมาแนบหูรับสายท่ามกลางสายตาจ้องมองจากทุกคน
“ผมตัน…เยี่ยชิวครับ”
คนอีกฝั่งไม่รู้พูดว่าอะไร นัยน์ตาของตันหวายจึงเปล่งประกายขึ้นทีละน้อย ในที่สุดก็คลี่ยิ้มกว้างแล้วกล่าวขอบคุณ
ตันหวายวางสายโทรศัพท์ ทำหน้านิ่งมองไปทางผู้จัดการ “ไปไม่ไป?”
ผู้จัดการรู้ดีว่าคืนนี้พังไม่เป็นท่า จึงผุดลุกขึ้นจะเดินออกไปกับตันหวาย
“หยุดอยู่ตรงนั้น!” ประธานหลิวขึ้นเสียง “พวกแกคิดจะหนีเรอะ ฝันเถอะพวกแก!”
ตันหวายชะงักหันหลังกลับ ยิ้มหวานพลางหยิบมือถือออกมาปัดหน้าจอ แสร้งทำเป็นไม่ตั้งใจกล่าวว่า “ลืมบอกท่านประธานหลิวไป เมื่อกี้ผมบังเอิญเห็นว่าบนโต๊ะมีเฮโรอีนอยู่หลายถุง เลยส่งข้อความให้ตำรวจไปแล้ว ท่านว่าในฐานะพลเมืองดีผู้กระตือรือร้น ตำรวจน่าจะมอบรางวัลให้ผมบ้างหรือเปล่า?”
ประธานหลิวสีหน้าเปลี่ยน ราวกับคิดไม่ถึงว่าตันหวายจะร้ายถึงขนาดนี้
ตอนออกมาจากโรงแรม ตันหวายสูดหายใจเอาอากาศสดชื่นเข้าปอดแรงๆ กลิ่นในห้องอาหารเมื่อครู่เหม็นจนแทบทนไม่ไหวจริงๆ ขืนอยู่ต่อเขาคงได้โดนมอมสลบไปแล้ว
ผู้จัดการเดินทำหน้าประหลาดเข้ามา เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “นายแจ้งตำรวจจริงๆ เหรอ?”
ตันหวายปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ไม่กล่าวอะไร ก่อนยกมือเรียกแท็กซี่มาคันหนึ่ง
ในช่วงเวลาแบบตอนนี้มีรถว่างเยอะมาก ตันหวายเรียกรถคันหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
“พี่ครับ ไปแถวสวนจงซิน”
คนขับรถขานรับคำ หมุนพวงมาลัยกลับรถสองสามที
ย่านสวนจงซินแม้ชื่อจะบอกว่าอยู่ใจกลาง แต่ตำแหน่งที่ตั้งกลับห่างไกลอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นย่านเก่าแก่ เป็นเขตที่ก่อตั้งขึ้นก่อนขยับขยายเขตเมือง ผู้คนที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ในนั้นล้วนเป็นคนเฒ่าคนแก่ คนหนุ่มสาวปรากฏตัวบ้างเป็นครั้งคราว ไม่ใช่ลูกหลานในครอบครัวก็มาเพราะเช่าบ้านที่นี่ได้ในราคาถูก
“คุณจะกลับบ้านกับผมเหรอ?” ตันหวายปัดโทรศัพท์ในมือ ถามอย่างไม่ใส่ใจนัก
ผู้จัดการนั่งอยู่ด้านข้างของตันหวาย สองมือถูต้นขาไปมา เขาถามเสียงฝืดว่า “นายแจ้งตำรวจจริงๆ เหรอ?”
ไม่ใช่ว่าเขาปกป้องนายใหญ่สัปดนพวกนั้น แต่เพราะหากตันหวายแจ้งตำรวจขึ้นมาจริงๆ นายใหญ่พวกนั้นอาจจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร แต่พวกเขาต้องตายสถานเดียวแน่นอน
“เปล่า” ตันหวายชักรำคาญ เอานิ้วปัดดูโทรศัพท์ในมือไม่หยุด
ไม่ใช่ว่าเขาติดโทรศัพท์แต่อย่างใด อีกอย่างเจ้าของร่างเดิมก็ไม่รู้ว่ากินยาจนสมองเบลอหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น ความทรงจำที่มอบให้เขาส่วนใหญ่ถึงพร่าเลือนไปหมด วิธีทำความเข้าใจใครสักคนได้ดีที่สุดก็คือเปิดดูมือถือของเขา ดังนั้นตังแต่ขึ้นรถมาตันหวายจึงไม่หยุดนิ่งเลย
พอได้ยินเขาบอกว่าไม่ใช่ หัวใจของผู้จัดการก็กลับไปอยู่กับเนื้อกับตัวในที่สุด
เห็นเขาเช็คโทรศัพท์ไม่ยอมหยุด ผู้จัดการก็ขมวดคิ้ว หยั่งเชิงถามว่า “เมื่อกี้นั่นสายของใคร?”
ตันหวายไม่พูดไม่จา เมินเฉยใส่ผู้จัดการอย่างสิ้นเชิง
พอตื่นขึ้นมาก็วางแผนว่าจะเอาเขาไปขายอย่างไรแล้ว ทำหน้าเป็นมิตรกับเขาน่ะสิแปลก
เดาว่าผู้จัดการคงรู้เหมือนกันว่าตนเองทำผิดไป จึงปิดปากเงียบด้วยความละอาย เห็นท่าทางตันหวายไม่เต็มใจจะยุ่งกับเขาแล้ว ผู้จัดการก็หาข้ออ้างลงจากรถกลางทาง
“เฮ้?” ตันหวายเรียกผู้จัดการไว้ “นั่งรถก็จ่ายค่ารถด้วยสิ”
ผู้จัดการนิ่งอึ้งไป ล้วงกระเป๋าเงินออกมาอย่างเสียไม่ได้ ถือโอกาสช่วยตันหวายจ่ายค่ารถด้วยเสียเลย