ตอนที่ 46 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (15)
สถานที่ที่เริ่นตงหลิวพาเขามาเป็นร้านเหล้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง ร้านเหล้าเล็กตั้งอยู่ด้านในสุดของหัวมุมถนน ประตูร้านไม่ใหญ่ หากไม่ตั้งใจหายังไงก็หาไม่เจอจริงๆ ได้ยินว่าเหล้าส่วนใหญ่ข้างในนี้เจ้าของร้านเป็นคนบ่มเอง หาซื้อข้างนอกไม่ได้แน่นอน
ยืนอยู่หน้าประตูร้านเหล้า ตันหวายกะพริบตาปริบๆ กล่าวว่า “ผมอยากถามสักสองคำถาม”
“ว่ามา” เริ่นตงหลิวเดินเข้าไปข้างในโดยไม่หยุดฝีเท้า
“ข้อแรก” ตันหวายรั้งเริ่นตงหลิวเอาไว้ “ร้านนี้คนเยอะแยะขนาดนี้ คุณแน่ใจหรือว่าจะมีที่นั่ง?”
“แน่ใจ” เริ่นตงหลิวตอบอย่างชัดเจนเฉียบขาด
“งั้นข้อสอง พวกเราดื่มเหล้าเสร็จจะกลับกันยังไง? แถวนี้แม้แต่โรงแรมยังไม่มีเลย”
สาเหตุที่เขาเลือกบาร์นั้นในตอนนั้น หลักๆ เป็นเพราะละแวกใกล้เคียงมีโรงแรมมากมาย ดื่มจนเมาแล้วยังพอมีที่ซุกหัวนอน
เริ่นตงหลิวจนปัญญา ดึงแขนตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุมของตันหวายทันที พลิกข้อมือคว้าจับมือของเขาไว้แล้วกล่าว “ไปเถอะน่า ไม่ปล่อยให้คุณต้องนอนข้างถนนหรอก”
ตันหวายไม่มีโอกาสขัดขืนแม้แต่น้อย ถูกเริ่นตงหลิวลากตรงเข้าไปในร้านเหล้า หัวสมองเต็มไปด้วยความคิดที่ว่า…ภารกิจจูงมือของเขาถือว่าสำเร็จแล้วใช่หรือเปล่า!
พอเข้ามาในร้านเหล้า ตันหวายก็บังเอิญเจอผู้หญิงที่ดูท่าทางใจดีตั้งแต่แรกเห็นยืนอยู่ตรงหน้า นี่คือเจ้าของร้านเหล้านั่นเอง
เจ้าของร้านเหล้าเป็นหญิงสาวอายุราวสี่สิบต้นๆ สาเหตุที่เป็นหญิงสาว ย่อมเป็นเพราะว่าเธอยังไม่แต่งงาน ตันหวายคิดว่าคนแบบนี้เรียกหญิงสาวจะเหมาะสมกว่า ไม่เจนจัดกร้านโลกอย่างสาวใหญ่ และไม่กระโดกกระเดกอย่างสาวน้อย
“วันนี้พาเพื่อนมาด้วยเหรอ” หญิงสาวคนนั้นเดินยิ้มแย้มเข้ามา ชุดกระโปรงยาวสีแดงบนร่างปลิวสะบัดขึ้นลงตามการเคลื่อนไหวอันว่องไวของเธอ งดงามจนชวนให้ตะลึงลาน
เริ่นตงหลิวส่งเสียงอืมขานรับพลางถาม “มาหาอะไรดื่ม คิดถึงหลูกูเมิ่ง[1]ของที่นี่นิดหน่อย”
“ได้เลย วันนี้ทำใหม่อีกหลายไห คุณมาได้จังหวะพอดี” หญิงสาวยิ้มพลางดึงมือของตันหวายไปดื้อๆ กล่าวว่า “คุณผู้ชายคนนี้หน้าตาหล่อจริงๆ รีบตามฉันมาสิ”
ตันหวายอึ้งเล็กน้อย ถูกเจ้าของร้านลากเข้าไปในห้องอาหารส่วนตัวอันหรูหราโอ่โถงอย่างงงๆ
เจ้าของร้านเหล้าแซ่เฉิน ชื่อเสียงเรียงนามจริงๆ ว่าอย่างไรกลับไม่ได้เปิดเผย บอกแค่ว่าให้เรียกเธอว่าพี่เฉินก็พอแล้ว
ตันหวายไม่ได้เรียกว่าพี่เฉิน แต่กลับเรียกออกไปว่าคุณผู้หญิงเฉิน
คุณผู้หญิงเฉินถูกตันหวายเรียกก็ชะงักไป ต่อจากนั้นก็ยิ้มหน้าชื่นตาบาน เอ่ยชมว่าตันหวายช่างปากหวาน จากนั้นก็ขอตัวไปยกเหล้ามาให้
เริ่นตงหลิวนั่งลงตรงข้ามตันหวาย มองดูเขาพลางยิ้มกล่าว “ผมไม่รู้เลยนะ ว่าคุณจะคุยเก่งถึงขนาดนี้”
ตันหวายไม่ได้ตอบรับ มองสำรวจของประดับตกแต่งรอบด้าน ก็ยิ่งทอดถอนใจให้กับความหรูหราของที่นี่
“ห้องอาหารห้องนี้ผมตกแต่งเองกับมือ” เริ่นตงหลิวหลุบตา พลิกอ่านหนังสือในมือ “รับรองผมเป็นแขกแค่คนเดียว”
เริ่นตงหลิวพบกับเจ้าของร้านเหล้านี้บนถนนคนเดินแถบเจียงหนาน ตอนนั้นเธอยังไม่ได้เปิดร้านเหล้า ทว่าเป็นนักบ่มเหล้าฝีมือดี
ตอนอายุสิบปี เธอฝังเหล้านารีแดงสองไหลงบนพื้นเองกับมือ เฝ้ารอขุดมันขึ้นมาเลี้ยงแขกเหรื่อยามแต่งงาน เสียดายแต่ว่าครอบครัวยากจนเกินไปจริงๆ ไม่มีใครยินดีแต่งงานกับเธอ จึงประวิงเวลามาตลอดสามสิบกว่าปี
ตอนที่เริ่นตงหลิวพบกับเธอ เธออายุย่างเข้าสามสิบแล้ว ไม่คาดหวังอะไรกับการแต่งงานมาเนิ่นนาน เห็นเริ่นตงหลิวหน้าตาหล่อเหลา ก็เลยเอาเหล่าที่ตนบ่มส่งให้กับเขา
คนทั้งสองรู้จักกันด้วยเหตุนี้เอง เริ่นตงหลิวคิดว่าเหล้ารสชาติดี ส่วนคุณผู้หญิงเฉินคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้รสนิยมไม่เลว
ต่อมาภายหลัง เริ่นตงหลิวสนับสนุนเงินทุนให้เธอเปิดร้านเหล้าในเมือง B และดำเนินกิจการมาจนกระทั่งถึงตอนนี้
ตันหวายถอนใจ ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี หญิงสาวที่ดูท่าทางอ่อนโยนคนนั้น ถ้าหากได้แต่งงานจริงๆ ก็ย่อมจะเป็นภรรยาที่เพียบพร้อมอย่างแน่นอน แต่ดันต้องมาเสียเวลาเปล่าจนถึงป่านนี้
ราวกับมองออกว่าตันหวายรู้สึกเสียดาย เริ่นตงหลิวหัวเราะกล่าวว่า “ตอนนี้เธอมีความสุขดี คุณอย่ามองว่าเธอยังไม่ได้แต่งงาน อยู่ในถนนเส้นนี้ ตั้งแต่ชายโสดอายุห้าสิบกว่าจนถึงเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปด มีใครไม่ชื่นชมเธอบ้าง?”
“นินทาอะไรฉันอีกแล้วนะ” คุณผู้หญิงเฉินผลักประตูเข้ามาพลางแกล้งบ่น ถลึงตาใสเริ่นตงหลิวเสร็จแล้วก็หันมาหาตันหวายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พวกคุณดื่มก่อนเลย ข้างนอกยังมีแขกอีก”
หลูกูเมิ่งหลายไหตั้งวางไว้บนโต๊ะ ตันหวายเห็นบรรจุภัณฑ์ที่ประณีตสวยงามก็จุปากอย่างอดไม่ได้
พอเห็นใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ร่วมของเริ่นตงหลิว ตันหวายก็อดตัดพ้อไม่ได้ โลกของคนมีเงินช่างฟุ้งเฟ้อเสียจริงๆ
——
[1] ในที่นี้คือชื่อของเหล้า หมายถึง ความฝันแห่งเมืองลับแล
ตอนที่ 47 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (16)
การชวนมาดื่มเหล้า ตันหวายย่อมมีแผนการแอบแฝง จู่ๆ จะให้เขาพุ่งเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงแล้วจูบเริ่นตงหลิวสักทีเหมือนคนเสียสติ แบบนั้นสู้เขาวิ่งชนกำแพงไปเกิดใหม่เสียเลยยังจะดีกว่า
คิดแล้วคิดอีก เพื่อให้บรรลุภารกิจลับ ตันหวายตัดสินใจมอมเหล้าเริ่นตงหลิว แบบนี้ไม่ว่าเขาทำอะไร เริ่นตงหลิวก็จะไม่รู้สึกตัว อืม ดีมาก ไม่ใช่ว่าเขาอวดหรอกนะ แต่ตอนนั้นเขาดื่มเหล้า ได้รับฉายาว่าไอ้หนูพันแก้วแห่งเมืองหลวงเลยทีเดียว
รินเหล้าให้ตนเองกับเริ่นตงหลิวคนละแก้ว ตันหวายได้กลิ่นเหล้าหอมกรุ่นก็กลืนน้ำลายลงคอ แม่เจ้าโว้ย นี่มันเหล้าสวรรค์อะไรกัน แค่เพียงได้กลิ่นก็แทบน้ำลายหกไปหมดแล้ว!
เริ่นตงหลิววางหนังสือในมือไว้ข้างหนึ่ง กล่าวด้วยความรู้สึกเสียดายว่า “หลูกูเมิ่งนี้ เป็นเหล้าที่คนรุ่นหลังหมักบ่มตามแบบคนโบราณ ผมทุ่มเงินไปมหาศาลกว่าจะขอซื้อสูตรบ่มเหล้าชนิดนี้มาได้”
“เหล้าชนิดนี้มีที่มาด้วยหรือ?” ตันหวายถาม
“แน่นอน” เริ่นตงหลิวยกเหล้าในแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ก่อนจะทอดถอนใจเล็กน้อย “เหล้าชนิดนี้ซีหนานอ๋องบ่มด้วยตัวเอง แพร่หลายกว้างขวางในซีหนาน ถือเป็นเหล้าขึ้นชื่อที่สุดในซีหนานทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ตอนหลังสูญหายไป”
มือของตันหวายที่ถือแก้วเหล้าอยู่หยุดชะงัก เบิกตาโพลงอย่างฉับพลัน ถามเสียงแข็งทื่อ “ซีหนานอ๋องคนนั้น?”
“ซีหนานอ๋องแห่งต้าโจวจวินเฉิง”
ปัง!
แก้วเหล้าของตันหวายหลุดร่วงลงมาจากมือของเขา เขาไม่สนใจว่าตนจะถูกเหล้าสาดจนเปียกชุ่ม ก่อนลุกพรวดขึ้นยืน กล่าวขึ้นเสียงว่า “คุณบอกว่าใครนะ?”
เริ่นตงหลิวเห็นเขาแสดงปฏิกิริยาอย่างลืมตัวก็ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตื่นเต้นถึงขนาดนี้ แต่ยังคงกล่าวตอบไปว่า “ซีหนานอ๋องแห่งต้าโจว จวินเฉิง จวินเฉิงที่มีไฝเม็ดหนึ่งบนเปลือกตา เหมือนกันกับผม”
เมื่อเห็นว่าตันหวายยืนนิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้น ใบหน้าหล่อเหลาของเริ่นตงหลิวก็ฉายแววฉงนสงสัย หัวคิ้วขมวดมุ่น “ในประวัติศาสตร์ไม่ได้จารึกชื่อเขาไว้มากนัก แต่ยังพูดถึงกันบ้างประปราย คุณก็รู้จักเขาหรือ?”
ตันหวายได้สติกลับมา พยายามจะอ้าปากพูดด้วยริมฝีปากสั่นระริก “ขอ…ขอผมดูหน่อยได้ไหม?”
เริ่นตงหลิวเห็นท่าทีผิดปกติอย่างชัดเจนของตันหวายก็นิ่งเงียบไป
“ผม…จริงสิ มีมือถือ ผมจะใช้มือถือหาดู” ตันหวายหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าอย่างสั่นเทา นิ้วมือสั่นระรัวจนทำให้เขาพิมพ์ตัวอักษรได้ยากลำบากอย่างยิ่ง ผ่านไปนานสองนานก็ยังพิมพ์ไม่ออกสักตัวเดียว
เริ่นตงหลิวทนดูต่อไม่ไหว คว้ามือไปแย่งโทรศัพท์มือถือของเขามา กล่าวเสียงเบาว่า “คุณเป็นอะไรไปเนี่ย?”
ตันหวายที่เสียโทรศัพท์มือถือไปยิ่งทำตัวไม่ถูก ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาจางๆ สายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังมือถือที่ถูกแย่งไป ราวกับจะจ้องเอาให้มันทะลุเป็นรู
เขานึกว่าโลกทุกใบล้วนเป็นห้วงมิติที่แยกตัวอิสระจากกัน เขาคิดไม่ถึงจริงๆ เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะสามารถรับรู้ข่าวคราวของจวินเฉิงจากที่นี่ได้
จู่ๆ ตันหวายก็คิดว่าตัวเองชักเริ่มสติแตก ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยครุ่นคิดถึงชีวิตของจวินเฉิงหลังเขาจากไป แต่พอมาถึงตอนนี้ เขาอยากรู้ใจจะขาดว่าจวินเฉิงหลังจากนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ถึงขั้นว่าหัวใจของเขารู้สึกหวาดกลัว ความหวาดกลัวเช่นนี้เกิดจากสาเหตุใดเขาไม่อาจบอกได้ แต่กลับรู้ว่าไม่ว่าอย่างไร ความหวาดกลัวนี้ก็ไม่อาจลบเลือนไปได้อีกแล้ว
เห็นชัดว่าระบบสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของตันหวาย จึงรีบส่งเสียงแจ้งเตือน (ท่านเจ้าของร่าง โปรดอย่ายึดติด)
ตอนนี้ตันหวายไม่มีเวลามาสนใจว่าระบบพูดอะไร ตอนนี้เขาสมองสับสนวุ่นวาย อยากจะรู้บทสรุปของจวินเฉิงจนแทบอดรนทนไม่ไหว
“เอ้านี่” เริ่นตงหลิวหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมา แล้วยัดใส่มือของตันหวายเดี๋ยวนั้น “พงศาวดารต้าโจว คุณอยากอ่านอะไรมีบอกไว้หมดแล้ว ซีหนานอ๋องจวินเฉิงอยู่หน้าที่สองร้อยสามสิบเอ็ด”
พูดจบเริ่นตงหลิวก็นั่งลงขัดสมาธิอีกครั้ง ล้วงหยิบบุหรี่มวนหนึ่งมาจุดไฟให้ตนเอง
ตันหวายจ้องมอง ‘พงศาวดารต้าโจว’ ในมือ รูม่านตาหดเล็กลง พลางเปิดมันออกด้วยมืออันสั่นเทา