ตอนที่ 66 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (35)
ข้างบนโต๊ะ ไอศกรีมชั้นบนสุดของอัฟโฟกาโตถูกอุณหภูมิห้องหลอมละลายจนค่อยๆ กลายเป็นเนื้อเดียวกับกาแฟ ตันหวายจิบไปสองคำ คิดว่ารสชาติกำลังพอดี ไอศกรีมหวานละมุนกระจายกลบรสขมของกาแฟเกือบจะครึ่งค่อนแก้วแล้ว
ชำเลืองมองเริ่นตงหลิวที่อ่านเอกสารอย่างเอาจริงเอาจัง ตันหวายเขยิบเข้าไปตบบ่าเขาเงียบๆ ยิ้มระรื่นพลางยื่นกาแฟในมือส่งไปให้
เริ่นตงหลิวจิบคำหนึ่งโดยไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนทันควัน กลืนกาแฟในปากลงคอด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว
“ฮ่าๆๆๆๆ ~” ตันหวายเกือบจะถือแก้วกาแฟในมือไม่อยู่ ก้มเอวค้ำโต๊ะหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง
เริ่นตงหลิวอ่อนใจ เขกมะเหงกคนที่ฟุบหน้าหัวร่องอหายกับโต๊ะ จงใจกล่าวเสียงเข้มว่า “อยากโดนตีนักใช่ไหม?”
ตันหวายหัวเราะจนพอใจ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อคลอแถวหางตา ก่อนยกกาแฟขึ้นจ่อตรงปากเริ่นตงหลิวอีกครั้ง พูดท้าว่า “ถ้าคุณดื่มมันหมดล่ะก็ ผมยอมให้คุณตีเลย!”
ตันหวายมั่นใจเต็มเปี่ยม คนอย่างเริ่นตงหลิวน่ะนะ ภายนอกดูเหมือนไม่เคยตกที่นั่งลำบาก หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นองค์หญิงน้อยที่กลัวความลำบากเสียยิ่งกว่าใคร
เริ่นตงหลิวหรี่ตา หลบแก้วกาแฟข้างหน้าตันหวาย แล้วขยับเข้ามาประชิดใบหูของตันหวายอย่างช้าๆ กล่าวหยอกเย้าว่า “ตีตรงไหนก็ได้งั้นหรือ?”
ตันหวายหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันใด เริ่มจะทำตัวไม่ค่อยถูก แม้ยามปกติทุกการกระทำของเขาล้วนเป็นฝ่ายรุกจีบเริ่นตงหลิวก่อน แต่ก็ยังต้านทานมุกหยอกแบบนี้ไม่ไหวจริงๆ …
ตันหวายนึกอยากเก็บแก้วกาแฟกลับมาซ่อนด้วยความลนลาน ทว่าสายไปเสียแล้ว เริ่นตงหลิวจับข้อมือของเขาเอาไว้ ก่อนดื่มกาแฟจากแก้วในมือของเขารวดเดียวหมดในทันที ไม่เหลือแม้สักครึ่งหยด
“คุณ…” ตันหวายเบิกตาโต รีบหยิบลูกอมในลิ้นชักออกมาแกะห่อกระดาษสองสามทีแล้วยัดใส่ปากของเริ่นตงหลิว
หลังจากทำเสร็จ ตันหวายก็ถลึงตาใส่เริ่นตงหลิวอย่างขุ่นเคือง “นี่คุณทึ่มหรือไงเนี่ย!”
เริ่นตงหลิวกะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ แววตาเต็มไปด้วยความเอาแต่ใจ
หลิวหลิวที่กำลังอ่านบทอยู่ข้างๆ กลอกตาขึ้นฟ้า รู้สึกเหมือนตนนั่งดูฉากพระนางจู๋จี๋กันแบบเต็มจอ แถมเป็นเทปพิเศษเอาใจคุณผู้ชมอีกต่างหาก!
แหงล่ะ พวกเจ้านายทั้งหลายจะพลอดรักในที่ทำงานก็ย่อมได้อยู่แล้ว!
อันที่จริง สตูดิโอไม่ได้ห้ามเรื่องมีความรักในที่ทำงาน เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่หาไม่ได้เท่านั้นเอง
คนในสตูดิโอแต่ละคนต่างทำหน้าเฉยเมย ตลอดหลายวันมานี้ พวกเขาเห็นพฤติกรรมแสดงความรักของเจ้านายจนชินตาแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า…เจ้านายดันชอบผู้ชายเสียอย่างนั้น
พอคิดถึงตรงนี้ สาวๆ ในสตูดิโอก็อารมณ์ฟุ้งซ่านชั่วขณะ ต้นปีนี้หนุ่มหล่อได้ลงเอยกับหนุ่มหล่ออีกคนไปแล้ว สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!
ตันหวายถลึงตามองเริ่นตงหลิวอย่างโกรธขึ้ง เอาแก้วกาแฟพลาสติกในมือโยนทิ้งลงถังขยะ เตรียมจะกลับโต๊ะทำงานของตนเพื่ออ่านบทที่หลิวหลิวเลือกมาให้เขา
ถึงแม้จะกลับมาทำงานแล้ว แต่ตลอดหนึ่งเดือนนี้เขาก็รับงานอีเวนท์เล็กๆ สองสามงาน เรื่องบทละครต้องรอบคอบแล้วรอบคอบอีก จะไม่รับละครขยะแบบนั้นอีกเป็นอันขาด
(ขอแสดงความยินดีกับท่านเจ้าของร่าง ค่าความประทับใจของเริ่นตงหลิวสูงถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ยินดีด้วยที่ท่านเจ้าของร่างยึดครองสำเร็จ หวังว่าท่านเจ้าของร่างจะบรรลุเป้าหมายในการได้เป็นราชาภาพยนตร์ ก้าวสู่จุดสูงสุดของชีวิตโดยเร็วที่สุด)
ตันหวายหยุดชะงัก ก่อนจะเบนฝีเท้าเลี้ยวไปทางห้องน้ำ
ตันหวายล็อกประตู ถามขึ้นอย่างตื่นตกใจ “ทำไมจู่ๆ ก็สูงถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ? นี่มันไม่กะทันหันไปหน่อยเหรอ!”
(อ่ะแฮ่ม ไม่กะทันหันหรอก ค่าความประทับใจสูงถึงเก้าสิบตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว เพียงแต่ว่า…ระบบสื่อสารขัดข้อง ข้อมูลจึงยังส่งมาไม่ถึง)
“…” ตันหวายนวดขมับ กล่าวอย่างยากจะเข้าใจ “ผมนึกว่าสิ่งมหัศจรรย์อย่างพวกคุณไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดซะอีก คิดไม่ถึงว่าจะขัดข้องได้”
(พวกเราต้องมีขัดข้องบ้างอยู่แล้ว!) ระบบออกความเห็นกับคำพูดของตันหวายอย่างสุดจะทน (เคยมีระบบหนึ่งหายไปสองโลกเต็มๆ เพราะว่าชำรุดฮ่าๆๆๆๆ เจ้าของร่างคนนั้นทำหน้าเหลอหลาเข้ามาในโลก แล้วก็ทำหน้าเหลอหลาออกไปจากโลกเล่นเอาขำแทบตายฮ่าๆๆ)
เรื่องนี้มีอะไรน่าขำหรือ? นายรู้หรือเปล่าว่าสำหรับเจ้าของร่างผู้อ่อนแอน่าสงสารแถมไร้ที่พึ่งพาอย่างพวกเรามันน่ากลัวแค่ไหน!
ช่างเถอะ ตันหวายขัดจังหวะเสียงหัวเราะของ H3883 “เปิดร้านค้าที ผมจะดูว่ามีอะไรใช้ประโยชน์ได้บ้าง”
หน้าจอสว่างไสวปรากฏขึ้นกลางอากาศ ตันหวายเลื่อนเปิดดู เมื่อพบว่าไม่มีสิ่งใดที่นำมาใช้ประโยชน์ในโลกนี้ได้ก็รู้สึกจิตตก
สายตาจับจ้องอยู่ที่สินค้า ‘กลับสู่โลกความจริงเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง’ ตันหวายหวั่นไหวเล็กน้อย
ป้ายราคาสินค้าชิ้นนี้คือค่าประสบการณ์หนึ่งพันแต้ม แต่ปัจจุบันเขามีค่าประสบการณ์แค่สองร้อยสามสิบแต้ม เขาอยากกลับไปเยี่ยมที่นั่นมากจริงๆ ดูสักหน่อยว่าพ่อแม่ของเขาเป็นอย่างไรบ้าง ดูสักหน่อยว่าทิวทัศน์ในโลกของเขาเป็นเช่นไร
ตอนที่ 67 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (36)
ซ่งเฉียนคิดว่า ความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเปรียบเสมือนการซื้อหวย ก่อนวันหวยออก ใครไม่แอบวาดหวังเอาไว้เล็กๆ บ้าง? แต่พอหวยออกเข้าจริงๆ คนไม่ถูกหวยก็อาจจะผิดหวัง แต่สำหรับคนถูกหวย ใครจะรู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย? ——<สิบเจ็ดปี>
ตันหวายอ่านประโยคนี้ในบทหนังเป็นนานสองนาน ในที่สุดก็ได้สติกลับมา ก่อนกล่าวกับหลิวหลิวที่ทำหน้าตาประหลาดอยู่ข้างๆ ว่า “ผมอยากรับเรื่องนี้”
หลิวหลิวสีหน้าไม่ดีเท่าไหร่นัก ในมือถือบทหนังอีกเรื่องโบกไปมาตรงหน้าเขา โน้มน้าวด้วยสีหน้าอมทุกข์ว่า “พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย นายตั้งสติดีๆ หน่อย! หนังเรื่องนี้ไม่มีทางได้ออกฉายหรอก!”
“ตอนนี้นายเพิ่งกลับมา อยู่ๆ จะสิ้นเปลืองแรงมากมายไปถ่ายหนังเฉพาะกลุ่มอย่างนี้ มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย!” หลิวหลิวเอาหลังมือขวาทุบลงบนอุ้งมือซ้ายของตนอย่างแค้นเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า!
ตันหวายยักไหล่ “ผมคิดว่าหนังแนวนี้ผมอินกับบทมากกว่า”
“นายจะทิ้งอนาคตตัวเองเพราะนายเป็นเกย์ไม่ได้หรอกนะ!”
ตันหวายปรายตามองเขาโดยไม่พูดอะไร ทว่าแววตาเปล่งประกายเจิดจ้าด้วยความแน่วแน่
“ช่างเถอะ” หลิวหลิวรู้ว่าตนบังคับพ่อเจ้าประคุณคนนี้ไม่ได้ แต่ก็ยังพยายามจะเตือนสติเขา “ถ้าไม่อย่างนั้นนายลองถามคนที่บ้านนายดูสิ?”
“ไม่จำเป็น” ตันหวายลุกขึ้นยืนพลางเหวี่ยงสะบัดแขน “เอาเรื่องนี้แหละ ผมชอบอะไรที่เข้าถึงจิตใจผมได้จริงๆ มากกว่า”
แม้ไม่ได้สูงส่งขนาดไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แต่เมื่อเทียบกับการไหลไปตามกระแส ตันหวายยังคงชอบอะไรที่สัมผัสหัวใจของตนได้อย่างแท้จริงมากกว่า นอกจากนี้ <สิบเจ็ดปี> ก็เป็นบทประพันธ์ที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งทีเดียว
การตัดสินใจของตันหวายหลิวหลิวยังห้ามไม่ได้ เริ่นตงหลิวก็ยิ่งไม่คิดจะเข้าไปห้าม
คืนก่อนวันที่ต้องเข้าร่วมทดสอบหน้ากล้อง เริ่นตงหลิวช่วยตันหวายวิเคราะห์บุคลิกตัวละครตลอดทั้งคืน จนกระทั่งล่วงเลยเที่ยงคืนไป ทั้งสองคนจึงค่อยนอนหลับพร้อมกัน
ตั้งแต่แน่ใจว่าชอบเป็นต้นมา นอกจากกอดจูบ ทั้งคู่ยังไม่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินกว่านั้น ทุกครั้งที่ตันหวายส่งสัญญาณเป็นนัยให้เริ่นตงหลิวรับรู้ ก็มักจะถูกเริ่นตงหลิวบ่ายเบี่ยงออกไป เพราะเหตุนี้ ตันหวายจึงสลดหดหู่ไปอีกพักใหญ่
เขาไม่ใช่คนหัวโบราณ ในเมื่ออารมณ์มาแล้ว ความสัมพันธ์ลึกซึ้งย่อมถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อเริ่นตงหลิวกลับเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ตันหวายเลยไม่กล้าเรียกร้องไปมากกว่านี้
การทดสอบหน้ากล้องประสบความสำเร็จมาก ไม่ถึงสามวันตันหวายก็ได้รับแจ้งจากทางผู้กำกับ ยืนยันให้เขามารับบทเป็นซ่งเฉียน
วันที่เข้ากองถ่าย เริ่นตงหลิวเป็นคนพามาส่งด้วยตนเอง
สถานที่ถ่ายทำอยู่ในเมือง B ห่างจากสตูดิโอของเริ่นตงหลิวไม่ไกลนัก จึงเดินทางไปมาสะดวกสบาย
พอรถจอดสนิท ตันหวายประคองหน้าเริ่นตงหลิวแล้วจุ๊บปากทีหนึ่ง ในขณะที่หันหลังลงมาจากรถก็ชะงักงันไป ตันหวายจ้องมองใครบางคนที่อยู่ไม่ไกลจากตัวรถ พลางอดทอดถอนใจไม่ได้ ทำไมโลกมันช่างกลมดีแท้
เริ่นตงหลิวมองไปตามสายตาของตันหวาย แววตาพลันเคร่งขรึม ร่างกายเครียดเกร็งฉับพลัน
ถูกต้อง ช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้ สุยยางกับตันหวายอยู่ทีมนักแสดงเดียวกันอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ตันหวายรับรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก และไม่ได้บอกกับเริ่นตงหลิว บทบาทที่ตนได้มาด้วยความสามารถไม่เห็นจะเกี่ยวข้องอะไรกับเขา อีกอย่าง สุยยางกับเขาแทบจะไม่ได้เข้าฉากร่วมกัน เขาเลยยิ่งไม่สนใจไยดี
โครงเรื่องหลักของหนังเรื่องนี้คืออุปสรรคนานัปการระหว่างชายรักร่วมเพศ ซ่งเฉียนกับหลี่อวิ๋นเดิมเป็นเพื่อนสนิทวัยเยาว์ ตั้งแต่ทั้งคู่รู้จักจนกระทั่งรักกันจนกระทั่งแยกทางจากกันใช้เวลาทั้งหมดสิบเจ็ดปี ภายใต้แรงกดดันต่างๆ ที่ต้องประสบจากครอบครัว สังคม และมิตรภาพ หลี่อวิ๋นได้บังเอิญพบกับพนักงานชายในบาร์ที่รับบทโดยสุยยาง สุดท้ายก็เกิดการนอกใจ ทั้งคู่จึงแยกจากทางใครทางมัน
บรรยากาศของหนังเรื่องนี้มีความกดดันตลอดทั้งเรื่อง จุดขัดแย้งในเรื่องมักจะตามมาด้วยการสูญเสีย เรียกได้ว่าเป็นประเด็นที่หนักหน่วงเอาการทีเดียว
คลี่ยิ้มพลางหันหลังไปจูบเริ่นตงหลิวอีกทีหนึ่ง ตันหวายกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์ว่า “คุณกลับไปเถอะ ที่นี่มีหลิวหลิวอยู่เป็นเพื่อนผม อีกอย่างน้องผู้ช่วยคนใหม่ก็ใช้ได้”
หลิวหลิวที่นั่งเบาะหลังดูฉากกระหนุงกระหนิงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ กลับเป็นน้องผู้ช่วยคนใหม่ที่ดูสองคนตรงหน้าพลอดรักกันจนเก้อเขินเล็กน้อย
เริ่นตงหลิวอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เพียงแค่ค่อยๆ พูดออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”
(ท่านเจ้าของร่าง ขอแจ้งเตือนด้วยความหวังดี คนทางบ้านคุณอารมณ์ผิดปกตินิดหน่อย)