ตอนที่ 70 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (39)
ภายในรถตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นโรตียัดไส้ ต้นหอมในแป้งโรตีฉุนคลุ้งเรียกร้องความสนใจตลอดเวลา
หลิวหลิวอ้าปากกัดชิ้นโรตีคำหนึ่ง มองตันหวายที่นั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เบาะหลังพลางกล่าวโน้มน้าวว่า “จะโกรธเพราะเรื่องแบบนี้มันไม่คุ้มหรอก พวกเขาเอ็นดูของพวกเขา แถมช่วยเพิ่มกระแสให้นายได้อีกด้วย นายจะโกรธอะไรนักหนา”
เงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่หลิวหลิว ตันหวายแค่นหัวเราะ “เรื่องจับคู่จิ้นช่างมันเถอะ ถ้าจับคู่ผมกับเริ่นตงหลิวผมจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่มันลัทธินอกรีตอะไรกัน มีแม้กระทั่งแฟนคู่จิ้นของผมกับสุยยาง ตาบอดหรือไงกันเนี่ย?”
หลิวหลิวยักไหล่ โรตียัดไส้ในปากยังไม่ทันกลืนลงไปก็กล่าวงึมงำขึ้นว่า “ใครไอ๊ไอ้พวกอายเล่งอั๋งอ้วยอันอิดอันตั้งอ๋องเอื้องล่ะ”
“พูดภาษาคน!”
หลิวหลิวกระเดือกโรตียัดไส้ลงไปแล้วกล่าว “ฉันบอกว่าใครใช้ให้พวกนายเล่นหนังด้วยกันติดกันตั้งสองเรื่องล่ะ”
ตันหวายยิ้มเยาะ คว้ามือแย่งโรตียัดไส้มาจากหลิวหลิว “ไม่ต้องกินแล้ว พูดไม่เข้าเรื่องยังจะมีหน้ามากินข้าวอีก?”
หลิวหลิวที่ถูกชิงโรตียัดไส้ไปพลันอึ้งตะลึง ก่อนจะมองโรตียัดไส้ที่ยังเหลืออีกสองคำอย่างอาลัยอาวรณ์พลางปิดปากเงียบ
“วันนี้มีงานอะไรไหม?” เห็นเขาประพฤติตัวดีแล้ว ตันหวายจึงค่อยยื่นโรตียัดไส้คืนให้หลิวหลิว
“ไม่มีแล้ว” หลิวหลิวรีบเขมือบโรตียัดไส้ลงท้องจนหมด “ผู้กำกับเริ่นโทรศัพท์มาบอกฉันเองเลย นายจะไปทำงานอะไรได้?” ว่าพลางเหลียวมองเอวของตันหวายแวบหนึ่ง
ตันหวายถูกเขามองจนขนชี้ฟู ขู่ฟ่ออย่างดุร้ายว่า “มองอะไรล่ะ!” ช่างดูเหมือนกระต่ายที่ถูกแหย่จนขนลุกชันพร้อมจะกัดคนได้ทุกเมื่อ
หลิวหลิวละสายตากลับไปอย่างกระดากอาย คิดว่าผู้ชายที่มีสามีแล้วแตะต้องนิดหน่อยไม่ได้เลยจริงๆ!
ประตูห้องทำงานของเริ่นตงหลิวถูกเคาะดังขึ้น ตันหวายชะโงกหัวเข้ามา ยิ้มหวานให้เริ่นตงหลิวที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
“คุณลุกขึ้นมาทำไมกัน” เริ่นตงหลิวรีบเดินเข้าไปจูงมือเขามานั่งลง ถือโอกาสปูเบาะนุ่มรองบริเวณสะโพกของเขา กล่าวอย่างจนใจว่า “เยี่ยเสี่ยวชิว คุณเชื่อฟังกันหน่อยได้ไหม?”
ตันหวายตะลึงงัน “คุณเรียกผมว่าอะไรนะ?”
เริ่นตงหลิวสังเกตเห็นว่าตันหวายสีหน้าแปลกไป จึงเม้มปากไม่พูดออกมา
ตันหวายกะพริบตาปริบๆ เอียงหน้ากล่าวอย่างห่อเ**่ยวว่า “ครั้งต่อไป คุณไม่ต้องเรียกผมว่าเยี่ยชิวแล้ว”
“ไม่ให้เรียกเยี่ยชิว?” เริ่นตงหลิวถาม “งั้นผมเรียกคุณว่าอะไรดี ที่รัก ทูนหัว หรือว่ายาหยี?”
“เรียกผมว่าตันหวายเถอะ” ตันหวายกอดเอวของเริ่นตงหลิวเอาไว้ ซุกหน้าลงกับท้องของเขาพลางกล่าวอย่างเศร้าซึม “อย่าเรียกเยี่ยชิว”
“ตันหวาย?” เริ่นตงหลิวลูบไล้ไรขนนุ่มของตันหวาย พยักหน้าช้าๆ อย่างลังเลเล็กน้อย “ตกลง”
ถึงแม้ไม่ได้เอ่ยปากถาม ทว่าเริ่นตงหลิวกลับจดจำเรื่องนี้ไว้ให้ขึ้นใจ ก่อนหน้านี้เขาเคยตรวจสอบข้อมูลของเยี่ยชิว ไม่มีปรากฏชื่อว่าตันหวายในนั้นมาก่อน ทำไมจู่ๆ เขาถึงให้ตนเรียกเขาว่าตันหวายเล่า?
ความคิดของเริ่นตงหลิวนั้นตันหวายไม่รับรู้แม้แต่น้อย เขาเงยหน้าขึ้น หางตาเหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษที่วางไว้บนโต๊ะ สังเกตเห็นตัวอักษรเรียงกันแน่นขนัดอยู่บนนั้น
“นั่นอะไรเหรอ?” ตันหวายสงสัย
เริ่นตงหลิวโอบไหล่ของเขาพลางมองไป กล่าวว่า “บทหนัง”
“คุณเขียนเอง?”
เริ่งตงหลิวผงกศีรษะ “ผมเขียนเอง”
หยิบแผ่นกระดาษบนโต๊ะขึ้นมา เริ่นตงหลิวยื่นไปให้ตันหวายกล่าวว่า “ผมจำได้ว่าคุณชอบประวัติศาสตร์ยุคต้าโจว นิยายเรื่องนี้มีที่มาจากความฝันส่วนหนึ่งของผม ผมเลยเขียนมันออกมา”
“ต้าโจว?” ตันหวายใจหล่นวูบ รับกระดาษมาโดยไม่ต้องใช้สมองครุ่นคิด
“ทุกสิ่งในความฝันค่อนข้างเลือนราง ผมเองก็จำได้ไม่ค่อยแม่น” เริ่นตงหลิวกล่าว “แต่ถ้าหากว่าเรื่องภพชาติมีจริง นั่นอาจจะเป็นชาติที่แล้วของผมก็ได้”
ตันหวายหลุบตาลง ปลายนิ้วสั่นระริกขณะถือกระดาษไว้ในมือ ราวกับสิ่งของในมือมีน้ำหนักเป็นพันชั่ง
อันที่จริงเริ่นตงหลิวไม่ได้เขียนเรื่องราวออกมาโดยสมบูรณ์ เขาเขียนเพียงแค่บางช่วงบางตอนเท่านั้น มีฉากที่ซีหนานอ๋องวัยหนุ่มควบขี่ม้าจากซีหนาน และมีฉากที่พบกับเขาครั้งแรกในพิธีแต่งงานของจวินฉิง
เริ่นตงหลิวชี้ไปยังตอนที่พบกับเขาครั้งแรกแล้วกล่าว “ในความฝันของผม มักจะรู้สึกว่าผมมองใครคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร”
“พงศาวดารจารึกไว้ พิธีอภิเษกสมรสของจวิ้นจู่[1]แห่งแคว้นซีหนานกับจักรพรรดิแห่งต้าโจวยิ่งใหญ่มโหฬาร เสียดายแต่เพียงจุดจบไม่สวยงามนัก ลาโลกก่อนวัยอันสมควร บัดนี้หวนคะนึง มิวายสะอื้นไห้”
ตันหวายเงยหน้าขึ้น แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “บทหนังเรื่องนี้ ผมอยากมีส่วนร่วมด้วยจะได้ไหม?”
——
[1] ธิดาขององค์ชายหรือเจ้าครองแคว้น
ตอนที่ 71 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (40)
ความทรงจำที่เริ่นตงหลิวไม่มี ตันหวายมี เรื่องราวที่เขานึกไม่ออก ตนสามารถบอกเขาด้วยวีธีอื่นได้
บทภาพยนตร์เรื่องนี้ ตันหวายกับเริ่นตงหลิวร่วมกันเรียบเรียงจนเสร็จสมบูรณ์ ตันหวายรับผิดชอบการเล่าโครงเรื่อง ส่วนเริ่นตงหลิวรับผิดชอบการเขียนโครงเรื่องที่เขาเล่าออกมาเป็นตัวอักษร
ในท้ายที่สุดบทภาพยนตร์ก็ใช้ชื่อว่า <เล่ห์ขุนพล> ตันหวายยังคงไม่ได้เล่าถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่างๆ ระหว่างจวินเฉิงกับตันฝูเซิง ตันหวายให้คำนิยามตันฝูเซิงว่าเป็นสหายรู้ใจของจวินเฉิง เป็นมิตรแท้ของจวินเฉิงในช่วงชีวิตอันรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่
ตันฝูเซิงไม่ได้ถูกจารึกชื่อในพงศาวดาร หากบุ่มบ่ามเขียนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ มีแต่จะทำให้ผู้ชมไม่พอใจ ยิ่งไปกว่านั้น เขาทนเห็นจวินเฉิงต้องพลอยเสื่อมเสียไม่ได้แม้เพียงปลายก้อย
เขาคือวีรบุรุษที่คู่ควรแก่ความเคารพศรัทธาของประชาชนอย่างแท้จริง แม้จะเป็นภาพยนตร์ ตันหวายก็หวังว่าจวินเฉิงจะได้รับการยกย่องเชิดชูจากทุกคน ความรักระหว่างชายกับชายไม่ใช่ข้อบกพร่อง และไม่ใช่จุดด่างพร้อย เพียงทว่าโลกใบนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ยอมรับพวกเขาได้จากใจจริง ส่วนตัวเขาเอง ก็จะไม่ยอมให้เขาต้องทนรับความไม่เป็นธรรมแม้แต่นิดเดียว
เริ่นตงหลิวเปิดอ่านบทฉบับสมบูรณ์แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ผมคิดว่าความผูกพันของจวินเฉิงกับตันฝูเซิงไม่ควรเป็นแบบนี้”
ตันหวายช้อนตาขึ้นมอง หัวใจเต้นระรัว “ถ้าอย่างนั้นควรเป็นแบบไหน?”
“ผมกลับคิดว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขา เหมือนกับความสัมพันธ์ของเรามากกว่า” เริ่นตงหลิวยิ้มกล่าว
“ก็อาจจะใช่ ใครจะไปรู้กันล่ะ” ตันหวายอารมณ์ดีมาก จุ๊บปากเริ่นตงหลิวไปหลายที
ตันหวายเคยถามระบบระหว่างเขียนบทว่า “ผมทำแบบนี้ คงไม่ถือว่าเปิดเผยความลับแล้วสินะ”
ระบบไม่กล่าวตอบเขา แต่ปฏิบัติต่อเขาเป็นเชิงว่ายอมรับโดยปริยาย
บทหนังเขียนออกมาแน่นอนว่าต้องถ่ายทำ ตันฝูเซิงในเรื่องรับบทโดยตันหวาย หากแต่บทบาทของจวินเฉิงยังคงเป็นปัญหา
ตันหวายเอาแขนยันโต๊ะ พูดตาไม่กระพริบว่า “ผมคิดว่าบนโลกนี้ ไม่มีใครเหมาะสมเป็นจวินเฉิงไปมากกว่าคุณแล้ว”
เริ่นตงหลิวหลุบตาลง เผยให้เห็นไฝเม็ดเล็กบนเปลือกตา ก่อนเอาส้อมจิ้มแอปเปิ้ลชิ้นหนึ่งยัดใส่ปากของตันหวาย
“ผมเรียนเอกกำกับหนัง ไม่ใช่แสดงหนัง”
ตันหวายเคี้ยวแอปเปิ้ลพลางหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง พยายามเกลี้ยกล่อมให้เริ่นตงหลิวตอบรับเล่นหนัง
“คุณดูผู้กำกับสมัยนี้สิ ใครไม่เคยลงไปแสดงเองบ้าง” ตันหวายรบเร้าไปพลางอ้าปากขอให้เริ่นตงหลิวป้อนผลไม้เขาอีกชิ้นไปพลาง
“ถ้าผมเล่นหนัง คงได้ทำหนังทั้งเรื่องพังไม่เป็นท่า” จากนั้นก็ป้อนแอปเปิ้ลอีกชิ้นส่งเข้าปากตันหวาย
สำหรับเรื่องแสดงหนัง เริ่นตงหลิวมีท่าทีเด็ดขาดแน่วแน่ คนเราลงมือทำอะไรแล้ว ก็ควรจะทำในส่วนของตนเองให้ดี หากรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองทำไม่ได้แต่ยังดึงดันลองทำต่อ นั่นย่อมเป็นพฤติกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบ
เมื่อรู้ว่าโน้มน้าวไม่ได้ ตันหวายก็ไม่โน้มน้าวอีก เพียงแค่ตามหานักแสดงที่ยอดเยี่ยมอย่างสุดความสามารถเพื่อแสดงบทบาทที่สำคัญต่อเขาอย่างยิ่งบทนี้
สุดท้ายผู้ที่ได้รับบทคือนักแสดงหน้าใหม่ของเริ่นตงหลิวสตูดิโอ ปีนี้เพิ่งอายุสิบเก้า ย้อมผมสีทองทั้งหัว ถือเป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนน้อมถ่อมตนสุดๆ เลยทีเดียวเชียว ทำตัวเสงี่ยมหงิมเหนียมอาย เอะอะก็เรียกตันหวายว่ารุ่นพี่ เรียกซะตันหวายดูแก่กว่าหลายปีเสียอย่างนั้น
ทว่าตันหวายกลับชอบเด็กหนุ่มคนนี้มาก ว่านอนสอนง่ายทั้งยังกระตือรือร้น ที่สำคัญที่สุดคือเฉลียวฉลาด ถือว่าเป็นคนมีพรสวรรค์คนหนึ่ง
ในภาพยนตร์เรื่อง <เล่ห์ขุนพล> มีเนื้อเรื่องตอนหนึ่งที่ตันฝูเซิงช่วยชีวิตจวินเฉิงที่บาดเจ็บไว้ได้โดยบังเอิญ อีกทั้งในตำหนักเย็นไม่มีผ้านวมห่ม ตันฝูเซิงจึงต้องใช้ร่างกายช่วยให้ความอบอุ่นแก่จวินเฉิง เนื้อเรื่องตอนนี้อบอวลไปด้วยมิตรภาพลูกผู้ชาย และนับว่าเติมเต็มความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยของตันหวาย
ช่างน่าเสียดาย คนที่รับบทเป็นจวินเฉิงไม่ใช่เริ่นตงหลิว แต่กลับกลายเป็นเด็กหน้าใหม่ผู้เหนียมอาย
เริ่นตงหลิวเห็นฉากแบบนี้ก็พาลอารมณ์เสีย ตันหวายเองพอเริ่มแสดงแล้วก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน จึงโดนสั่งคัทอยู่หลายครั้งหลายหน เด็กหน้าใหม่ช็อคจนแทบเป็นลมเพราะนึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุ
ภาพยนตร์มีพระเอกสองคน อาจเป็นเพราะว่าเดิมทีตนเป็นตัวเอกในเรื่องตัวจริงอยู่แล้ว ตันหวายจึงแสดงได้อย่างสมบทบาท ทั้งยังมักจะหลุดออกมาจากบทในหนังไม่ได้ ทำเอาเริ่นตงหลิวออกอาการหึงหวงเสียยกใหญ่