ตอนที่ 92 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (15)
ตันหวายถือพู่กันอย่างเหม่อลอยเบื้องหน้ากระดาษเซวียนจื่อ[1] บางครั้งหยดหมึกกระเด็นใส่ใบหน้าของตนกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย เอาแต่จ้องกระดาษเซวียนจื่อเขม็งโดยไม่รู้ว่าควรจรดพู่กันจากตรงไหน
โหลวชิงอันมองดูกระดาษอันว่างเปล่า นึกว่าเขาวาดภาพไม่เป็น จึงเก็บกระดาษกลับไป
ตันหวายเห็นกระดาษถูกหยิบไปก็ผ่อนลมหายใจอย่างเงียบๆ
เขาไม่รู้จะวาดอย่างไรจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าไป๋เยว่จวินเฉิงเริ่นตงหลิวทั้งสามคนหน้าตาไม่เหมือนกัน ต่อให้เขาวาดออกมาแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าในโลกนี้คนคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรอยู่ดี!
ตันหวายวางพู่กันลงพลางกล่าวเสนอแนะ “ไม่เช่นนั้น ข้าจะบอกจุดเด่นของเขากับท่าน ท่านค่อยสืบหาเขาตามจุดเด่นนี้?”
โหลวชิงอันเม้มริมฝีปาก พยักหน้าอย่างช้าๆ ดูเหมือนไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่นัก
ตันหวายกลับมองไม่ออกว่าเขาไม่เต็มใจ จึงแสดงความขอบคุณด้วยอาการลิงโลด ขอบคุณเสร็จแล้วจึงเริ่มต้นพรรณนาลักษณะเด่นของภรรยาตนเอง
“มันคือตรงนี้ ตรงนี้ ท่านมองเห็นหรือยัง?” ตันหวายหลุบหนังตาของตนลงให้โหลวชิงอันดู
โหลวชิงอันพยักหน้าอย่างขอไปที จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เจ้ากระต่ายโง่ชักเหิมเกริมใหญ่แล้ว เขาแค่พูดส่งเดชไปอย่างนั้น กลับถือเป็นจริงเป็นจังมาบอกให้เขาฟัง คงมีแต่ผีสางเท่านั้นที่รู้ว่าภรรยาเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร!
ตันหวายหลุบหนังตาลง ชี้เปลือกตาของตนพลางกล่าว “มองเห็นตรงนี้หรือยัง? ตรงนี้มีไฝเม็ดน้อยๆ ที่งดงามเป็นที่สุด ช่างน่ามองยิ่งนัก อยู่ตรงกึ่งกลางพอดี เป็นสีดำ”
โหลวชิงอันพลันนิ่งตะลึง นึกว่าตนฟังผิดเพี้ยนไป จึงถามอีกรอบว่า “เจ้าบอกว่าบนเปลือกตาเขามีอะไรนะ?”
“มีไฝเม็ดน้อย” ตันหวายเอ่ยถึงจุดอ่อนไหวพลางสะบัดศีรษะ สะบัดจนหมวกหูกระต่ายเหนือหัวเอียงกระเท่เร่ เผยให้เห็นใบหูยาวขนปุกปุยของเขาเล็กน้อย
ใบหูของตันหวายมักถูกเขาลู่หลบไว้หลังหัวตลอดทั้งปี ป้องกันไม่ให้ดันทะลุหมวกขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ฉะนั้น เมื่อตันหวายในสภาพเช่นนี้ตกอยู่ในสายตาของโหลวชิงอันย่อมแลดูเชื่องเป็นพิเศษ
(ท่านเจ้าของร่าง ค่าความประทับใจของโหลวชิงอันต่อตัวท่านสูงถึงเจ็ดสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์แล้ว ท่านเจ้าของร่างโปรดพยายามต่อไป)
ตันหวายตะลึงงัน ถึงกับเพิ่มค่าความประทับใจเชียวหรือ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น!
โหลวชิงอันก้มลงสบมองใบหน้างุนงงของตันหวาย คลี่ยิ้มถาม “มีลักษณะเด่นอย่างอื่นอีกไหม?”
“ลักษณะเด่นอย่างอื่น?” ตันหวายครุ่นคิดสักครู่ “ตดเหม็น[2]เก่งมากนับไหม?”
เขาไม่ได้กล่าวหาภรรยาตนเองจริงๆ อุปนิสัยอย่างเริ่นตงหลิว ออกนอกบ้านไม่ถูกคนซ้อมตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว ในวงการนั้นไม่รู้ว่าล่วงเกินใครไปตั้งกี่คน โชคดีที่เขาเส้นใหญ่ มิเช่นนั้นคงถูกจับโยนแม่น้ำไม่รู้ตัวไปตั้งนานแล้ว
โหลวชิงอันพลันสำลักคำหยาบคายของตันหวาย คิดในใจว่าคนที่เขากล่าวถึงไม่ใช่ตนจริงๆ
ตันหวายพูดจบก็เลิกผ้าม่านขึ้นมองดูท้องฟ้า พบว่าเป็นเวลามืดค่ำแล้ว จึงล้มนอนลงบนเตียงทันที กล่าวพึมพำเรื่อยเปื่อยว่า “นอนเถอะนอนเถอะ ผิวพรรณต้องหมั่นบำรุงรักษาให้ดี”
“ตันหวาย” โหลวชิงอันโพล่งขึ้นกะทันหัน ก่อนเอ่ยถามด้วยความลำบากใจ “หากว่า…มีใครคนหนึ่งทำของสำคัญของตนตกอยู่กับเจ้าโดยไม่ตั้งใจ เขาอยากเอามันกลับมา แต่ก็อาจส่งผลกระทบไม่ดีต่อตัวเจ้า เจ้าจะเกลียดชังเขาหรือไม่?”
พูดจบโหลวชิงอันก็รีบกล่าวเสริมอีกว่า “เขาย่อมชดใช้คืนให้กับเจ้า”
ตันหวายคลี่ยิ้ม “นี่ท่านถามคำถามไร้สาระอะไรกัน? ติดหนี้ต้องชดใช้ หลักการของฟ้าดิน ของสิ่งนี้เดิมทีเป็นของเขา แล้วข้ามีสิทธิอะไรมายึดเป็นของตัวเองเล่า?”
ความรู้สึกของโหลวชิงอันไม่ได้ผ่อนคลายลงเพราะคำพูดของตันหวายแต่อย่างใด ในทางกลับกัน เขารู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม
แก่นปราณมารมีความสำคัญต่อปีศาจอย่างยิ่ง สูญเสียแก่นปราณมารครึ่งหนึ่ง เขาย่อมจะไม่มีวันบำเพ็ญตนเป็นเซียนได้ แต่ทว่า หากนำกลับคืนมา เช่นนั้นมิใช่ว่าตันหวาย…
โหลวชิงอันเกิดความรู้สึกซับซ้อน
ตันหวายไม่รับรู้ความคิดของโหลวชิงอัน รับรู้เพียงว่าตอนนี้ตนง่วงนอนยิ่งนัก จึงรีบกล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วผล็อยหลับเป็นตาย
——
[1] กระดาษเซวียนจื่อ คือหนึ่งในภูมิปัญญาโบราณของจีนซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าคุณภาพดีและเหมาะสมแก่การวาดภาพเขียนอักษรมากที่สุด
[2] ตดเหม็น (臭屁) หมายถึง ขี้อวด
ตอนที่ 93 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (16)
หลายปีก่อนหน้านี้ภูเขาร้างมิได้รกร้างว่างเปล่า ทิวทัศน์ที่นั่นงามตระการ ภูมิอากาศเย็นสบาย สิงสาราสัตว์ต่างพักพิงอาศัยอยู่ที่นี่ เคารพบูชาราชาปีศาจผู้ปกปักรักษาที่แห่งนี้โดยทั่วกัน
ทว่าโลกใบนี้ไร้ซึ่งสันติสุขอันเที่ยงแท้ อาจเป็นเพราะชะตากรรม อัสนีสวรรค์จึงเยือนมาถึง กวาดล้างสรรพสัตว์ทั้งมวลบนภูเขาจนสิ้นซาก
โหลวชิงอันมองเห็นตนเองคุกเข่าอยู่บนยอดเขา ร้องถามเทียนเต้า[1]ด้วยความคับข้องหมองใจทั้งโกรธแค้นชิงชังอย่างท่วมท้น “เคราะห์กรรมมาเยือนด้วยเหตุอันใด?”
เทียนเต้าดำริตริตรอง เอ่ยเพียงประโยคหนึ่งอย่างเนิบช้า “มีรุ่งเรืองย่อมมีเสื่อมสูญ”
เทียนเต้ายึดถือทางสายกลาง เขามิยินยอมให้สถานที่เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ดำรงอยู่ เขากล่าวว่านี่คือชะตากรรม ทุกสรรพสิ่งล้วนดำเนินตามหลักการของมัน ต้าฮวงซานได้หลุดพ้นจากการควบคุมของหลักการนี้ไปแล้ว
โหลวชิงอันนิ่งตะลึงอยู่เนิ่นนาน ยามที่เทียนเต้าเร้นกายหายไป ในที่สุดก็หลั่งน้ำตาหยดแรกนับตั้งแต่บำเพ็ญเพียรมาตลอดหนึ่งพันปี
ผู้ที่คุกเข่าอยู่บนเขาโหลวชิงอันคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นคือตนเองเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน
โหลวชิงอันไม่รู้ว่าตนกลับมาที่นี่ได้อย่างไร เขาเดินไปอยู่ตรงหน้าเขาในอดีตอย่างสงบเยือกเย็น อยากบอกเขาว่าอย่าโง่เลย เจ้าไม่มีทางเอาชนะเทียนเต้า และไม่มีทางเอาชนะจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นจิตใจมนุษย์หรือจิตใจเดรัจฉาน
โหลวชิงอันในอดีตฟังไม่ได้ยิน เขาทำได้เพียงก้าวเดินต่อไปยังอนาคตทีละเล็กทีละน้อย ภายใต้สายตาของเขาผู้มาจากอนาคต
โหลวชิงอันหรี่ตามองแผ่นหลังที่เคลื่อนห่างออกไปทุกที ทันใดนั้นก็ผุดรอยยิ้ม ความเย็นชาค่อยๆ ฉายชัดในแววตา
โหลวชิงอันรู้สึกว่าตนเองในอดีตช่างโง่เขลา แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
วันที่อัสนีสวรรค์ลงทัณฑ์ โหลวชิงอันในอดีตร่ายคาถาล่อสายฟ้าตามลำพังบนยอดเขา ล่อให้อัสนีสวรรค์ฟาดผ่าลงบนร่างของตนเอง
โหลวชิงอันมองชายหนุ่มที่เลือดโชกท่วมกายท่ามกลางพายุฝนโหมกระหน่ำด้วยด้วยใบหน้าเรียบเฉย คิดว่าเขาช่างโง่เง่าเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง
ยามอัสนีสวรรค์ลงทัณฑ์ถึงครึ่งทาง เทียนเต้าเอ่ยถามว่า “คุ้มค่าหรือ?”
โหลวชิงอันที่แสนโง่เขลาผู้นั้นกล่าว “คุ้มค่า พวกเขาศรัทธาข้าเคารพข้าเทิดทูนข้า ข้าย่อมต้องปกป้องพวกเขาโดยถ้วนหน้า”
เทียนเต้ามิได้กล่าวต่อไปอีก ลงทัณฑ์อัสนีสวรรค์สายแล้วสายเล่าอย่างไร้ความปราณี อัสนีบางสายไม่ได้ผ่าลงบนร่างโหลวชิงอัน เผาไหม้ต้นไม้บริเวณรอบข้าง โชคดีที่เพลิงไหม้ไม่รุนแรง จึงไม่ได้ลุกลามไปไกลนัก
ภัยพิบัติครั้งนี้ในสายตาของประชาชนและสรรพสัตว์บนต้าฮวงซาน เป็นเพียงแค่พายุฝนห่าใหญ่ครั้งหนึ่งเท่านั้น ทุกสิ่งที่พายุฝนทิ้งร่องรอยไว้ ล้วนเลือนหายไปหลังแสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า
แก่นปราณมารของโหลวชิงอันแตกออกเป็นสองส่วนในภัยพิบัติครั้งนี้ อีกครึ่งหนึ่งตกไปอยู่กับกระต่ายหิมะ ถูกกระต่ายหิมะที่เริ่มมีสติปัญญารู้คิดตัวหนึ่งกลืนลงไป
โหลวชิงอันที่สูญเสียแก่นปราณมารทั้งยังบาดเจ็บสาหัสไม่อาจปกป้องต้าฮวงซานได้อีกต่อไป เหล่ามนุษย์และสรรพสัตว์ในภูเขาต่างรู้สึกราวกับว่าพวกเขาได้สูญเสียเทพคุ้มครองของตนไปแล้ว
สรรพสัตว์ฝูงใหญ่กรูกันเข้ามาสร้างศาลเจ้าให้แก่โหลวชิงอัน อธิษฐานขออย่าให้โหลวชิงอันทอดทิ้งพวกเขาไปด้วยใจบริสุทธิ์แท้จริงยิ่งกว่าแต่ก่อน
หากทว่าไร้ประโยชน์ ความโกรธแค้นของต้าฮวงซานถูกกะเทาะเปลือกออกทีละน้อย ท้ายที่สุดแล้วเทียนเต้าก็มิยินยอมปล่อยพวกเขาไป
โหลวชิงอันในยามนั้นมีเพียงความระทมทุกข์เต็มหัวอก เขาเห็นสรรพสัตว์ในภูเขาทยอยล้มหายตายจาก เห็นมนุษย์บนเชิงเขาพากันย้ายถิ่นฐาน เห็นศาลเจ้าของตนเองถูกคนโค่นทำลาย เขาเปลี่ยนจากเทพเจ้าในหมู่มนุษย์กลายเป็นเศษขยะที่พวกเขาทิ้งขว้างอย่างไม่ไยดี
โหลวชิงอันในความฝันมองเห็นตนเองนั่งอยู่บนยอดเขา ตนเองผู้นั้นเต็มไปด้วยแววตาสับสน ถามขึ้นอย่างเหม่อลอยว่า “ข้าไม่เคยทอดทิ้งพวกเขา แต่เหตุใดพวกเขาถึงทอดทิ้งข้าเสียก่อนเล่า?”
“พวกเขาคิดว่าเจ้าทอดทิ้งพวกเขาก่อน เจ้าไม่สามารถช่วยพวกเขาจากภัยพิบัติได้อีกแล้ว มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้เอง เจ้าทำดีต่อพวกเขาเจ็ดส่วน หากวันหนึ่งเหลือเพียงห้าส่วน พวกเขาก็ย่อมมองเจ้าเป็นศัตรู” เทียนเต้ากล่าวตอบเขา
โหลวชิงอันแค่นยิ้ม ช่างน่าขันที่เขามีชีวิตมาเกือบพันปี ทว่าแม้กระทั่งเหตุผลง่ายดายเช่นนี้กลับไม่กระจ่าง
คนบนยอดเขานั่งอยู่เนิ่นนาน ก่อนยิ้มอย่างปล่อยวาง ลุกขึ้นยืนปัดเศษฝุ่นดินบนเสื้อผ้าของตน เขาต้องออกตามหาแก่นปราณมารของเขาแล้ว
เคร้ง~
เสียงแตกกระจายดังสนั่นปลุกโหลวชิงอันตื่นขึ้น เหตุการณ์เบื้องหน้าราวกับกลายเป็นภาพลวงตา
“มารฝัน เจ้าต้องการทำอะไร?” โหลวชิงอันนั่งอยู่ริมเตียง นัยน์ตาเจือแววสังหารเลือนราง
“ครานี้ล่วงเกินเสียแล้ว” มารฝันรีบร้อนกล่าว “เพียงแต่ท่านกลับตื่นได้ไวถึงปานนี้ ทำเอาข้าตกใจทีเดียว”
“แคว้นเทียนจีกับจิ่วเทียนเปิดฉากสู้รบกัน กระต่ายตัวนั้นของท่านเกรงว่าจะเป็นอันตรายแล้ว” มารฝันกล่าวจบก็รีบหลบหนีไปโดยไม่สนปฏิกิริยาของโหลวชิงอัน
โหลวชิงอันสีหน้าเปลี่ยนทันใด ก่อนลุกพรวดลงมาจากบนเตียง
“เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”
——
[1] เทียนเต้า ในที่นี้หมายถึงผู้เป็นใหญ่บนสรวงสวรรค์