ตอนที่ 102 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (25)
เอ๋อโซ่วเข้าใจว่าตนเป็นอสูรเทพบรรพกาล ไฉนจู่ๆ ถึงกลายมาเป็นสารานุกรมเคลื่อนที่ไปเสียแล้ว?
ตันหวาย “เจ้าว่าอวี๋อิงฉือมีปณิธานที่ต้องทำสำเร็จให้ได้หรือไม่กันแน่?”
เอ๋อโซ่วกลอกตาใส่เขา เบือนหน้าหนีไม่ยอมเมียงมองคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกับตนทว่าสติปัญญาสูงส่งล้ำเลิศผู้นั้น
แคว้นจิ่วเทียนยังคงท้าทายอำนาจอย่างต่อเนื่อง กลับจะมีท่าทีรุนเรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อวี๋อิงฉือเป็นคนสุขุมเยือกเย็น จึงสั่งการบรรดาทหารยศใหญ่น้อยไม่ให้ปะทะกับฝ่ายตรงข้าม ถอยทัพกลับเมืองซีโจวเพื่อปิดเมืองรับศึก
“ศึกครานี้ไม่มีทางพินาศย่อยยับ” เอ๋อโซ่วยืนอยู่บนกำแพงเมืองซีโจว มองดูภูเขาและแม่น้ำเบื้องล่าง กล่าวอย่างแช่มช้าเนิบนาบ
ตันหวายใจหล่นวูบ เข้าใจความหมายของเอ๋อโซ่วดีว่าสงครามครั้งนี้ต้องพินาศย่อยยับถึงที่สุดเป็นแน่แท้
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ?” ตันหวายถาม
“เจ้ากระต่ายแสนฉลาด เจ้าควรรู้ไว้ ขุนเขาแม่น้ำผันแปร ราชสำนักผลัดเปลี่ยน สิ่งเหล่านี้ล้วนมิอาจหลีกเลี่ยง รวมทั้งสงคราม”
ตันหวายไม่ใส่ใจที่เอ๋อโซ่วบอกว่าเขาโง่ เขาใจกว้างมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก่อนเอามือถูจมูกอย่างเขินอาย “เจ้านี่ทำตัวเหมือนผู้เฒ่าเสียจริงเชียว”
เอ๋อโซ่ว “ข้าอยู่มาห้าร้อยกว่าปีแล้ว”
ตันหวายถูจมูกไปมา รู้ว่าอายุเป็นเพียงเรื่องเดียวที่เอ๋อโซ่วยอมพูดความจริง
โหลวชิงอันเงยหน้าขึ้น เมื่อมองเห็นหนึ่งคนหนึ่งอสูรบนกำแพงเมืองก็ขมวดคิ้วมุ่น คิดใคร่ครวญว่าตนปล่อยให้พวกเขาอยู่ใกล้ชิดกันเกินไปหรือไม่ แม้ว่าเอ๋อโซ่วจะยังแปลงกายไม่ได้ แต่ก็เป็นตัวผู้เช่นกัน
เหินร่างขึ้นไปอุ้มตันหวายลงมา โหลวชิงอันปรายตามองเอ๋อโซ่วนิ่งๆ พลางกล่าว “กลับลงไปเอง”
เอ๋อโซ่วตาเป็นประกาย พยักหน้ารับอย่างอดรนทนไม่ไหว
“อย่าได้คิดวิ่งหนีเชียว เจ้ายังต้องทำหน้าที่เป็นตัวนำโชค” โหลวชิงอันหรี่ตา กล่าวเสียงเยียบเย็น “หากบังอาจหนี เจ้าไม่ตายดีแน่”
เอ๋อโซ่วห่อเ**่ยวลงทันใด หมุนตัวหันหลังอย่างน่าสงสาร ไม่ยอมเมียงมองคนทั้งสองอีก
ใบหูกระต่ายของตันหวายยังไม่หลุบลงไป ยามนี้ถูกโหลวชิงอันกอดไว้ในอ้อมแขนก็รู้สึกขวยเขิน ใบหูสองข้างตั้งชี้ขึ้นเล็กน้อย
มือของโหลวชิงอันวางอยู่บนกระดูกก้นกบของตันหวายพอดี พวงหางอ่อนนุ่มตกอยู่ในกำมือเขา ทำให้ตันหวายเกิดอาการประหม่า
ซุกซบเข้าที่ซอกคอของโหลวชิงอัน ตันหวายเกร็งหนังหัวกล่าว “มือของท่าน เลื่อนขึ้นมาอีกสักหน่อยได้หรือไม่?”
โหลวชิงอันกระดกยิ้มเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวพลางเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป?” พูดไปมือก็ออกแรงบีบคลึงเบาๆ ไปด้วย
ตันหวายสีหน้าพลันแดงก่ำ พูดตะกุกตะกักว่า “ท่านจงใจนี่นา!”
โหลวชิงอันไม่พูดไม่จา อุ้มตันหวายตรงเข้าไปในห้องทันที กดร่างตันหวายลงกับเตียงแล้วหยิกแก้มเขาถามว่า “เจ้าชอบข้าจริงๆ หรือ?”
“เหลวไหล ท่านเป็นภรรยาของข้าเชียวนะ!” ตันหวายแทบไม่อยากเชื่อ ผมไม่ชอบภรรยาตัวเองได้ด้วยหรือ?
โหลวชิงอันคลี่ยิ้ม หยิบสุราไหหนึ่งที่เสกออกมาจากไหนไม่รู้มาเขย่าตรงหน้าตันหวาย “ข้าเลี้ยงเหล้าเจ้าเอง”
ดื่มเหล้า…ตันหวายกะพริบตาปริบ ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “ท่านจะเลี้ยงหลูกูเมิ่งข้าหรือ?”
“หลูกูเมิ่ง?” โหลวชิงอันขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “นี่เป็นชื่อของสุราชนิดหนึ่งหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ตันหวายรู้สึกผิดหวัง แต่ยังคงกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง “สุราชนิดนี้ในชาติที่แล้วท่านเป็นคนบ่มเอง ชาติที่แล้วท่านยังตั้งใจเชื้อเชิญข้าไปดื่มสุราที่โรงเตี๊ยมด้วย แล้วก็คราวนั้น…พวกเรา…”
ตันหวายกระมิดกระเมี้ยน แต่ความหมายของเขาโหลวชิงอันเข้าใจดี
โหลวชิงอันรินสุราเต็มจอกให้ตันหวาย กล่าวอย่างลังเลว่า “แม้สิ่งที่เจ้าพูดจะเป็นความจริง ข้าก็ยังจำอะไรไม่ได้อยู่ดี”
ตันหวายนิ่งเงียบไป
“สงครามใกล้ปะทุ ตอบแทนบุญคุณกันแล้วก็รีบจากไปเสียเถอะ” โหลวชิงอันกล่าว “อาคมของเจ้าอ่อนแอยิ่งนัก จิ่วเทียนอัญเชิญสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนมุ่งหน้ามาสนับสนุน เจ้ารั้งอยู่ที่นี่จะเป็นอันตรายเกินไป”
“เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงเข้าค่ายทหารมาเป็นกุนซือเล่า?” ตันหวายถาม
โหลวชิงอันจิบสุราในมือคำหนึ่ง ทอดถอนใจกล่าว “ข้าอยากจะดูสักหน่อย คนที่ทำให้กระต่ายโง่อย่างเจ้าทุ่มเทชีวิตเพื่อพลีกายถวายชีพให้แท้จริงแล้วหน้าตาเป็นเช่นไร”
ตันหวายกระอักกระอ่วน อันที่จริงเจ้าของร่างเดิมไม่ได้ชอบนายก้างปลา แต่เผ่าพันธุ์กระต่ายหิมะมีธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่ง นั่นก็คือบุญคุณช่วยชีวิตต้องพลีกายถวายชีพ ธรรมเนียมนี้เป็นข้อสรุปที่จ่าฝูงกระต่ายหิมะรุ่นใดก็ไม่ทราบได้มาจากในนิทานหลอกเด็ก
ดื่มสุราตรงหน้ารวดเดียวหมดเกลี้ยง ตันหวายกล่าวอย่างขมขื่นระคนเดือดดาล “ต้องโทษเจ้าจิ้งจอกตัวนั้นที่จ้องจะจับข้ากินแต่แรกนั่นแหละ”
ตอนที่ 103 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (26)
การสืบสาวมูลเหตุของเรื่องราวย่อมต้องเริ่มสืบหาจากต้นตอ ถึงแม้ธรรมชาติจะคัดสรรผู้อยู่รอดที่เหมาะสม แต่ตอนนี้สัญชาตญาณเอาตัวรอดของตันหวายบอกเขาว่า เร็วเข้า ยกเมฆไป ต้องยกเมฆไปก่อน! ไม่อย่างนั้นภรรยาต้องแย่แน่ๆ!
ตันหวายเอามือปิดหน้า “นึกถึงตอนนั้น ข้ายังเป็นกระต่ายที่ไม่รู้ประสีประสา เพราะดันไปเจอจิ้งจอกใจดำอำมหิตทั้งยังสมควรตายนั่นเข้า หากมันจับข้ากินเสีย ข้าก็คงไม่ถูกเจ้าก้างปลาช่วยไว้ หากเจ้าก้างปลาไม่ช่วยข้า ข้าก็คงไม่ต้องตอบแทนบุญคุณ ยิ่งไม่ต้องกินยาในของท่าน”
ตันหวายกางซอกนิ้วออกเงียบๆ พลางสังเกตสีหน้าของโหลวชิงอัน
โหลวชิงอันคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองตันหวายที่แกล้งบีบน้ำตาร้องไห้ ค่อยๆ โยนกับระเบิดทิ้งไว้ “อา เช่นนั้นจิ้งจอกอย่างข้าผู้นี้ก็สมควรตายจริงๆ”
“อะไรนะ!” ตันหวายพลันอึ้งตะลึง
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจแม้สักนิดเดียว หนึ่งร้อยปีก่อน แม้โหลวชิงอันจะเป็นเซียนจิ้งจอกแห่งต้าฮวงซาน ทว่าอุปนิสัยดั้งเดิมของสัตว์ป่ายังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลง บางครั้งบางคราวก็ออกล่าสัตว์ที่ไร้สติปัญญาเพื่อลิ้มรสเนื้อสดใหม่ ช่างบังเอิญที่โหลวชิงอันถูกตาต้องใจเจ้าของร่างเดิมในร่างกระต่าย
เดิมทีเพียงแค่ออกหาอาหารไปเรื่อยเปื่อย คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบเจ้าก้างปลาที่รักกระต่ายยิ่งชีวิต โหลวชิงอันไม่ชอบสุงสิงกับมนุษย์เท่าไหร่นัก จดจ้องเจ้ากระต่ายอีกสองสามทีจึงค่อยเดินผละจากไป
โหลวชิงอันเดิมคิดว่านี่เป็นเพียงเหตุบังเอิญเล็กน้อยในชั่วชีวิตอันแสนยาวนาน ไม่คาดคิดว่าหลังจากเขาตามหากระต่ายที่กินแก่นปราณมารของเขาจนเจอ กลับได้หยั่งรู้เรื่องราวเมื่อครั้งอดีต ค้นพบเงาสะท้อนของตนที่ยังซ่อนเร้นอยู่ภายในนั้น
ตันหวายกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ต่อจากนั้นก็หัวเราะออกมา จากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจยับยั้งได้อีกต่อไป
โหลวชิงอันฟังเขาหัวเราะจนพิศวงงงงวย ตะลึงงันไปชั่วครู่ อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “เจ้าหัวเราะอะไร?”
ดวงตางามของตันหวายทอประกาย สายตาที่มองเขาช่างอ่อนโยนยิ่งนัก
โหลวชิงอันถูกเขามองจนหัวใจกระตุกวาบ ตกอยู่ในห้วงภวังค์อย่างเหม่อลอย
หน้าตาของตันหวายโดดเด่นในหมู่สามัญชนทั่วไป แต่ภูตพรายส่วนมากมักรูปโฉมสะคราญเฉิดฉาย ในสายตาของโหลวชิงอัน ตันหวายเรียกว่าพอไปวัดไปวาได้เท่านั้น ทว่าดวงหน้าที่แค่พอไปวัดไปวาในสายตาเขา ยามนี้กลับงดงามจับใจ ประดุจดอกท้อปลิดปลิวร่วงหล่นสู่ธารน้ำใส กระทบผืนน้ำเป็นริ้วคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า
ตันหวายขยับประชิดกายโหลวชิงอัน ประทับจุมพิตบนริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าหัวเราะ เพราะพวกเราช่างมีวาสนาต่อกันโดยแท้”
ดั่งมวลบุปผาพรายพร่างพรางตา โหลวชิงอันพลันรู้สึกว่าตนมองเห็นคนตรงหน้าไม่กระจ่างชัดเสียแล้ว
โหลวชิงอันอยู่มานับพันปี สุราที่เคยดื่มมิใช่จำนวนน้อยๆ แต่ไม่เคยดื่มจนเมามายมาก่อน
ตันหวายกอดไหสุราโวยวายอาละวาดอย่างมึนเมา นั่งคร่อมทับอยู่บนตักของโหลวชิงอัน เกาะเกี่ยวรอบเอวของเขาขณะเบียดสีไปมา
ตันหวายซบลงกับแผ่นอกของโหลวชิงอันด้วยสติพร่าเลือน กล่าวอย่างดุร้ายว่า “ข้าตามหาเอ็งเจอได้สักที!”
โหลวชิงอันใจกระตุกวูบ ไม่กล่าววาจา จ้องมองคนสติเลอะเลือนบนตัวเขาอย่างเงียบๆ
ตันหวายอ้าปากกัดลงบนหัวไหล่ของโหลวชิงอัน พร่ำพูดราวกับระบายความแค้น “เอ็งคิดว่าเอ็งมีอาคมแล้วรังแกคนอื่นได้เรอะ ถึงได้หลอกข้ามาตั้งนานขนาดนี้”
จนกระทั่งตอนนี้โหลวชิงอันยังไม่ยอมเผยโฉมหน้าแท้จริงของตนเองออกมา ตันหวายมองใบหน้าอันแปลกตาของเขาทีไรก็รู้สึกไม่คุ้นชินเสียที
ตันหวาย “ข้าไม่น่าโดนรถชนตายพร้อมกับเอ็งเลย ข้าขอเตือนเอ็งไว้ ถ้าชาติต่อไปเอ็งยังทำตัวแบบนี้อีก ข้าจะหนีตามคนอื่นไปให้รู้แล้วรู้รอด”
มือของโหลวชิงอันที่กอดเอวเขาไว้ออกแรงบีบเค้นเบาๆ ก่อนจะลูบผมของเขาอย่างปลอบโยน สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไรสักคำ
เอ๋อโซ่วที่ผ่านทางมาชะโงกหัวเข้ามาข้างใน เมื่อเห็นคนทั้งสองอิงแอบแนบชิดกันก็หนาวสะท้านไปชั่วขณะ
สายตาเปี่ยมจิตสังหารของโหลวชิงอันตวัดมองมา เอ๋อโซ่วตกใจหนีเตลิด ทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่าขอให้ครองทุกข์กันยาวนานนับร้อยปี
โหลวชิงอันละสายตากลับมาอย่างพึงพอใจ ตั้งใจจดจ้องคนในอ้อมกอดของตน หว่างคิ้วหว่างตาล้วนแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน
โหลวชิงอัน “หากเป็นเช่นเจ้าว่าจริงๆ ข้าก็ออกไปตามตัวเสียปะไร”
ตันหวายที่ม่อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ได้ยินเสียงโหลวชิงอันก็ขยับไหว สะลึมสะลือกอดรัดลำคอของโหลวชิงอันแนบแน่นยิ่งขึ้น