ตอนที่ 154 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (3)
ตอนที่พวกเขามาถึงเชิงเขาก็สายไปเสียแล้ว ประชาชนที่อยู่อาศัยบนเชิงเขาต่างบาดเจ็บล้มตาย โจรขี่ม้าตวัดดาบฟาดฟันพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ปราบโจรผู้ร้ายเพียงหยิบมือไม่ต้องลงแรงมากมาย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลงมือสังหารพวกมัน กลับสั่งให้นำตัวคนพวกนี้ส่งไปให้ทางการ
คนที่เคยช่วยชีวิตเขาวันนั้นถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เฟิงหลิวหลีมองเห็นศพชายฉกรรจ์นอนอยู่บนพื้น โอบกอดภรรยาของเขาไว้แนบแน่นในอ้อมแขน ระหว่างคนทั้งสองมีทารกน้อยกำลังนอนหลับสนิท
เฟิงหลิวหลีไม่รู้ว่าพวกเขาปกป้องชีวิตน้อยๆ จากเงื้อมมือโจรได้อย่างไร เขารู้เพียงว่านับจากนี้ไปเด็กคนนี้เกรงจะต้องมีพันธะร่วมกับตนลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ฉากนองเลือดในภาพมายาทำเอาตันหวายคลื่นไส้จนขนลุกซู่ไปทั้งตัว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกก็คือมนุษย์จิตใจโหดเ**้ยมเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน
“ไอ้เวรเอ๊ย!” ตันหวายสบถคำหยาบออกมาอย่างอดไม่ไหว “คนตั้งเกือบร้อยถูกพวกมันฆ่าตายหมด พวกมันเป็นสัตว์หรือยังไง?”
ระบบจนใจ (คำว่าสัตว์ยังถือว่ายกย่องพวกมันเกินไป)
ตันหวายสงบสติอารมณ์อยู่สักครู่ ก่อนจะพบว่าเส้นลมปราณตามลำตัวท่อนบนของตนฟื้นฟูเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ลำตัวท่อนล่าง
ก้อนหินบนพื้นทิ่มหน้าตันหวายจนเจ็บระบม ก่อนยันมือพยุงลำตัวท่อนบนของตนขึ้นมา ตันหวายคลานไปยังโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วเอนหลังพิงกาย
ตันหวาย “คุณยังไม่บอกผมเลยว่าเจ้าของร่างเดิมตายได้อย่างไร?”
(จะตายอย่างไรได้ล่ะ ก็ต้องเป็นเพราะถูกศิษย์น้อยของตัวเองฆ่าตายน่ะสิ)
“อะไรนะ?” ตันหวายตกใจ “เฟิงหลิวหลีทำไม่ดีกับศิษย์น้อยของเขาไว้อย่างนั้นหรือ?”
(ไม่ใช่อยู่แล้ว เอ้า ดูต่อไปให้จบก่อนเถอะ)
ไท่อินซานเป็นเขตภูเขาสูงชันอันตราย คนในสำนักจู๋กวงนิยมหลีกเร้นโลกียวัตร มีน้อยคนนักที่คบหาสมาคมกับคนจากสำนักอื่น ยิ่งนานวันเข้า สำนักจู๋กวงยิ่งกลายเป็นเรื่องลึกลับในยุทธภพมากขึ้นทุกที อีกทั้งเพราะบำเพ็ญเพียรตามวิถีบรรพชิตผู้ละซึ่งกิเลส ผู้คนจึงเล่าลือกันว่าสำนักจู๋กวงมีแต่พวกใจไม้ไส้ระกำที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมาย
เฟิงหลิวหลีตระหนักดีว่าหลักปฏิบัติของตนมีข้อบกพร่อง รู้อยู่แก่ใจว่าไม่อาจปล่อยให้ศิษย์ในสำนักละทิ้งทางโลกเช่นนี้ได้อีกต่อไป จึงตั้งกฎให้ศิษย์ทุกคนออกท่องยุทธภพเป็นเวลาสองปีหลังจากบรรลุนิติภาวะ
ทารกน้อยกลายมาเป็นศิษย์คนเล็กของเฟิงหลิวหลี ตั้งชื่อเรียกว่าเฟิงสือหลี่
“ซือฝู ศิษย์ต้องลงเขาจริงๆ หรือขอรับ?”
สิบแปดปีผ่านไป ทารกน้อยในตอนนั้นเติบโตเป็นเด็กหนุ่มผู้สง่างาม เด็กหนุ่มเบิกตากลมโต จ้องมองบุรุษที่เห็นชัดว่าอาวุโสกว่าตนหลายปีทว่ารูปโฉมอ่อนเยาว์เหมือนกับเขาอย่างน้อยอกน้อยใจ ไฝเม็ดเล็กบนเปลือกตาเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ยามกะพริบตาปริบๆ ดูแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก
“ซือฝู ศิษย์เห็นว่าศิษย์ยังเล็กเกินไป” เฟิงสือหลี่กัดริมฝีปาก “ศิษย์อยากอยู่รับใช้ท่านอีกสองปีขอรับ”
เฟิงหลิวหลีวางตำราในมือลง คล้ายยิ้มไม่ยิ้มมองศิษย์น้อยที่ตนเอ็นดูเป็นที่สุดผู้นี้
“ผู้ฝึกตนเช่นพวกเราชีวิตยืนยาวนัก สองปีนี้เจ้าอยู่หรือไปก็ไม่ต่างกัน”
_________
ตันหวายพยายามขยับขาของตนเองเบาๆ เมื่อพบว่ายังขยับไม่ไหวก็ได้แต่นอนอย่างนิ่งสงบ
“ศิษย์น้อยของเขาคนนั้น คือไป๋เยว่” ไม่ใช่คำถามแต่เป็นคำยืนยัน
(ข้าจะไปรู้ไหมล่ะว่าใช่หรือไม่ใช่ไป๋เยว่) ระบบกล่าวประชด
ตันหวายยักไหล่พลางเอ่ยถาม “คนสองคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกันดีขนาดนี้ ทำไมถึงบาดหมางกันได้ล่ะ?”
อันที่จริงพูดว่าบาดหมางกันก็ไม่ถูก ต้องพูดว่าเป็นความอาฆาตแค้นเพียงฝ่ายเดียวต่างหาก
เฟิงหลิวหลีเฝ้าดูบรรดาศิษย์ของตนทยอยตัดขาดจากทางโลกคนแล้วคนเล่า ทว่ากลับไม่รู้สึกปิติยินดี
รสชาติของการบำเพ็ญเพียรวิถีนี้ช่างน่าขมขื่น อุปสรรคระหว่างทางเขาล้วนฝ่าฟันด้วยตนเองจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ คนอื่นเขาไม่สนใจ แต่เฟิงสือหลี่เขาไม่สนใจไม่ได้
บรรดาศิษย์ของเขาถูกเลี้ยงดูมาในไท่อินซานตั้งแต่เล็ก ตัดขาดจากทางโลกแต่เยาว์วัย จึงบำเพ็ญเพียรวิถีบรรพชิตผู้ละซึ่งกิเลสได้อย่างราบรื่นยิ่ง เพราะพวกเขาไม่มีสิ่งใดให้ยึดติดถือมั่น
เฟิงหลิวหลีทำไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นอาจารย์ของพวกเขา แต่ก็เติบโตมาในตลาดตั้งแต่ยังน้อย ย่อมไม่อาจหักใจได้ลง เขายังระลึกถึงบุญคุณที่ชายฉกรรจ์ผู้นั้นทำให้แก่ตน ฉะนั้นเขาไม่ยินดีให้ศิษย์คนเล็กของเขาย่างก้าวเข้าสู่หนทางนี้
ตอนที่ 155 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (4)
โลกมนุษย์เจริญหูเจริญตากว่าบนเขา เมืองอันแสนคึกคักมักชวนให้ผู้คนหลงระเริงได้อย่างง่ายดาย ทว่าเฟิงสือหลี่กลับไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว เขาระลึกไว้เพียงว่า รออีกสองปีหลังจากเสร็จสิ้นการท่องยุทธภพตนก็จะได้กลับขึ้นเขาสักที
ช่างน่าเสียดายที่เด็กน้อยยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่วันยันค่ำ ย่อมไม่อาจทานทนต่อคำยุแยงจากผู้ประสงค์ร้าย
ตันหวายเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ภาพความฝันจบลงแล้ว เขาหลุดออกมาจากความฝัน ก่อนเอ่ยถามด้วยความสลดใจ “เขาเชื่อว่าเฟิงหลิวหลีสังหารคนทั้งหมู่บ้านจริงๆ น่ะหรือ?”
(ก็พอมีเหตุผล ถึงแม้จะเป็นเรื่องหลอกลวง แต่เฟิงสือหลี่ประสบการณ์ยังน้อย ทำให้หลงผิดจนหน้ามืดตามัว)
“เขาเชื่อด้วยว่าเฟิงหลิวหลีไม่ยอมสอนวิธีละกิเลสให้กับเขาเพราะอยากกีดกันเขา ดูถูกดูแคลนเขา?”
(เฟิงหลิวหลีไม่เคยพูดแก้ตัว เขาเข้าใจผิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก)
ตันหวายนิ่งเงียบไป เส้นลมปราณทั่วทั้งร่างฟื้นคืนสภาพจนเกือบเป็นปกติ เหลือแต่เพียงฝ่าเท้าทั้งสองข้าง หากเขานึกอยากจะลุกขึ้นก็สามารถลุกขึ้นได้
ตันหวายยังไม่อยากลุก ถึงอย่างไรเฟิงหลิวหลีก็ผ่านขั้นปี้กู่[1]แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการกินอยู่
เสียงขยับเคลื่อนไหวแว่วดังมาจากมุมหนึ่ง ตันหวายแววตาพลันเย็นเยียบ พลังในกายของเฟิงหลิวหลีเริ่มแผ่ซ่านออกมา
“ใคร?”
เสียงนั้นหยุดชะงัก ในที่สุดก็มีกะรอกตัวหนึ่งโผล่หัวออกมาเงียบๆ
กระรอกน้อยมีสติปัญญารู้คิด ชั่วพริบตาที่มองเห็นตันหวายก็พลันระริกระรี้ วิ่งปราดเข้ามาหาด้วยท่าทางลิงโลด แล้วจึงยื่นลูกสนที่อุ้มไว้ในอ้อมแขนส่งให้ตันหวาย
“คราวนี้ท่านหลับใหลไปนานจริงๆ ผ่านมาตั้งร้อยกว่าปี จนข้ามีปัญญาแตกฉานแล้ว” เห็นตันหวายไม่ยอมรับ กระรอกน้อยก็ไม่ได้ผิดหวังเสียใจ แต่กลับเอาอุ้งเล็บกอบลูกสนเม็ดน้อยใหญ่ยัดใส่มือของตันหวาย
“คนในสำนักจู๋กวงส่วนใหญ่จากไปแล้ว มีเพียงศิษย์น้อยของท่านที่คอยมาเยี่ยมเยียนเป็นครั้งคราว หลายปีมานี้สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างบรรลุปัญญาด้วยพลังปราณบนเขา” กระรอกน้อยหาที่ว่างหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ตันหวาย ถามขึ้นด้วยความฉงนฉงาย “เหตุใดคราวนี้ท่านถึงหลับใหลไปนานเพียงนี้เล่า”
เส้นลมปราณบนฝ่าเท้าฟื้นคืนสภาพเดิมโดยสมบูรณ์ ตันหวายลุกขึ้นนั่งพลางขยับข้อเท้า ยิ้มกล่าวกับเจ้ากระรอกน้อยว่า “ข้ารู้สึกเหนื่อยเลยอยากหลับสักตื่น นึกไม่ถึงว่าจะหลับลึกไปเสียยาว”
กระรอกน้อยผงกหัวอย่างงวยงง “เช่นนั้นจากนี้ไปท่านอย่าเผลอหลับลึกอีกเล่า”
ตันหวายคลี่ยิ้ม ใช้อาคมที่หลงเหลืออยู่ในตัวเฟิงหลิวหลีเสกลูกสนขึ้นมากำใหญ่ ก่อนจะยื่นทั้งหมดนั้นส่งให้เจ้ากระรอกน้อย
กระรอกน้อยดวงตาเป็นประกาย เอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ให้ข้าทั้งหมดเลยหรือ?”
“แน่นอน” ตันหวายผุดลุกขึ้นจากพื้น เอามือปัดเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนของตน แม้สีสันของเสื้อผ้าจะบดบังเศษฝุ่นดินที่ติดอยู่บนนั้นจนดูไม่ออกสักนิดก็ตาม
ตันหวาย “ข้ายังมีธุระ บัดนี้ไท่อินซานยังปลอดภัยดี เจ้าจงฝึกฝนตามสบายเถิด เมื่อเจ้าฝึกอาคมสำเร็จแล้วค่อยลงเขา”
กระรอกน้อยผงกหัวอย่างงวยงง ถามว่า “ท่านจะไปตามหาศิษย์น้อยของท่านหรือ? ช่างโชคดีจริงๆ ที่เขามาวันนี้ด้วย”
ตันหวายชะงักไปชั่วครู่ หันหลังกลับมาถาม “เฟิงสือหลี่ก็มาด้วย?”
กระรอกน้อยพยักหน้าหงึกหงัก
ตันหวายค่อยๆ พรูลมหายใจ แล้วจึงเปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ เดิมทีเขาตั้งใจจะออกตามหาศิษย์น้อยคนนั้น แต่บัดนี้นับว่าลาภก้อนโตหล่นทับทีเดียว
แขนเสื้อกว้างโบกสะบัด ศพร่างหนึ่งที่แนบเนียนเสมือนจริงพลันปรากฏขึ้นบนพื้นทันทีทันใด
“ท่าน…” กระรอกน้อยตะลึงค้าง
ตันหวายยกนิ้วชี้ขึ้นจ่อตรงปาก พลางขยิบตาให้เจ้ากระรอกน้อย “นี่เป็นความลับระหว่างเราทั้งคู่นะ”
_________
ทิวทัศน์บนไท่อินซานยังคงเดิม แต่เพราะไม่มีคนอยู่อาศัยมายาวนาน ภูมิทัศน์ของที่นี่จึงแลดูรกร้างว่างเปล่า
ยามเฟิงสือหลี่จากไปคราวนั้นเคยสร้างค่ายกลไว้ที่นี่ ผู้ที่ไม่ใช่ศิษย์สำนักจู๋กวงจึงไม่อาจย่างเท้าเข้าสู่ไท่อินซานได้อีกต่อไป
เฟิงสือหลี่เงยหน้ามองขึ้นไปยังยอดเขาที่เฟิงหลิวหลีสิ้นชีพ รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจอยู่เป็นระยะ แต่เขากลับไม่ใส่ใจ เพราะความรู้สึกเช่นนี้มักเกิดขึ้นทุกครั้งจนเขาเคยชินเสียแล้ว ประเดี๋ยวอีกไม่นานก็เจ็บจนด้านชาไปเอง
——
[1] ปี้กู่ หมายถึง วิธีบำเพ็ญเพียรภายใต้สภาวะที่ไม่กินไม่ดื่ม