ตอนที่ 212 ทำได้เพียงให้นายเห็นหน้าไทม์ไลน์ของฉัน
“อืม รู้แล้ว นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ชุยหังอดทนกับความหดหู่ในใจและพยายามยิ้มออกมา
รอยยิ้มอันขมขื่น เขาได้รับลิ้มลองรสชาติของมันแล้ว
หลังจากมองดูรถของหลูจื้อค่อยๆ ไกลออกไป ชุยหังก็เดินอยู่ในโรงเรียนเพียงลำพัง
ลมแรงพัดมา สำหรับชุยหังซึ่งเป็นคนเหนือรู้สึกทรมานกับฤดูหนาวของเมืองเอ้อเหลือเกิน
ลมหนาวที่เสียดแทงตรงเข้ากระดูก ทำให้เขาหนาวสั่นอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อกลับมาถึงหอพัก ชุยหังรีบห่อตัวอยู่ในผ้านวม แล้วถูเท้าไปมาไม่หยุดเพื่อให้เกิดความอบอุ่นกับตัวเอง
ผ้านวมชื้นเล็กน้อย อีกทั้งยังไม่มีเครื่องทำความอุ่นในห้องพักอีก
ชุยหังทำได้เพียงอดทนและคิดถึงความอบอุ่นของครอบครัวในตอนนี้
หลังจากเปิดซองอั่งเปาของหลูจื้อ ข้างในมีเงินจำนวน 1,314 หยวน ซึ่งตัวเลขนั้นหมายถึงชุยหัง
เขาหยิบซองอั่งเปาขึ้นและวางไว้ใต้หมอนอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นรู้สึกว่าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ จึงนำมาวางไว้แนบอกของตัวเอง
ไม่รู้ทำไมเมื่อนึกถึงผู้หญิงคนที่ไม่เคยเจอหน้าคนนั้น น้ำตาของเขาก็ไหลลงมาอย่างไม่น่าเชื่อ
โชคดีที่กลั้นไว้ได้ตอนอยู่ต่อหน้าหลูจื้อ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้เขารู้สึกว้าวุ่นใจ
ชุยหังเอนตัวลง จากนั้นก็กระชับผ้านวมให้แน่นขึ้น ในมือกำซองอั่งเปาซองนั้นไว้แน่นและวางไว้แนบอกไม่ปล่อย เขาต้องการทำให้ตัวเองนอนหลับจะได้ไม่นึกถึงเรื่องไร้สาระเหล่านั้นอีก
‘ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน บอกตัวเองว่าต้องนอนได้แล้ว ก็ไม่ช่วยอะไรเลย’
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงโมงกว่า เขายังคงนอนอยู่ตรงนั้น แม้ว่าผ้านวมจะอุ่นขึ้นจากอุณหภูมิของร่างกายตัวเองแล้ว แต่เขาก็ยังนอนไม่หลับ
ในที่สุดข้อความของหลูจื้อก็มา [เมียจ๋า ฉันถึงบ้านแล้ว คิดถึงนะ ฉันรักนาย อีกสักพักจะไม่สะดวกคุยแล้ว ไม่ต้องตอบกลับมานะ]
แม้แต่ตอบกลับก็ยังทำไม่ได้ ยิ่งทำให้ชุยหังรู้สึกหดหู่ใจมากกว่าเดิม
เมื่อได้เห็นตัวอักษรข้างบน ตัวเองควรจะมีความสุข
แต่ตอนนี้กลายเป็นว่ามีเพียงหลูจื้อที่ติดต่อเขาได้เพียงฝ่ายเดียว
ความรู้สึกนี้ช่างว้าวุ้นใจเหลือเกิน
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับตัวเองแล้ว หลูจื้อคงว้าวุ้นใจยิ่งกว่า อย่างน้อยตัวเขายังรู้ว่าหลูจื้อกำลังทำอะไร แต่หลูจื้อไม่เคยได้รับข้อความตอบกลับจากเขาเลยและไม่มีโอกาสรับรู้ความเคลื่อนไหวของเขาด้วย
เมื่อคิดได้จึงโพสต์ลงบนไทม์ไลน์
[อากาศที่เมืองเอ้อหนาวมาก แต่หัวใจของฉันอุ่นขึ้นเล็กน้อย]
จากนั้นก็เพิ่มรูปตัวเองที่ถ่ายไว้ก่อนหน้านี้ ตัวเองในรูปตอนที่ยังไม่รู้เรื่องผู้หญิงคนนั้นกับหลูจื้อ ดังนั้นจึงยิ้มได้อย่างจริงใจ
เนื่องจากหลูจื้อไม่สามารถสื่อสารกับเขาได้ทันที ถ้าอย่างนั้นให้เขามีเวลาดูหน้าไทม์ไลน์แล้วเห็นว่าตัวเขาอารมณ์ดี เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
ไม่นานก็มีคนมากดถูกใจ บางคนก็แสดงความคิดเห็นถึงเขาด้วย
ซย่าอวี้ชิว : [เสี่ยวชุย รอฉันกลับไปก่อน]
ยังมีของคนอื่นๆ อีกมากมาย แต่ชุยหังไม่ได้ตอบกลับ เพราะความจริงแล้วหน้าไทม์ไลน์นี้ตั้งใจให้หลูจื้อเห็นเท่านั้น
ลืมไปเลยว่าใช้เวลานานแค่ไหน ความง่วงค่อยๆ ซึมซาบเข้ามา ชุยหังจึงผล็อยหลับไป เมื่อตื่นขึ้นบรรยากาศก็มืดสลัวแล้ว
ในห้องพักตอนที่ไม่ได้เปิดไฟนั้นมืดมากๆ
ชุยหังรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย มองไปมุมไหนก็รู้สึกเงียบเหงา
จากนั้นเขาก็พลิกตัวลุกขึ้นมา แล้วตัดสินไปหาอะไรกิน
นอกจากข้อความที่ส่งมาบอกว่ากลับถึงบ้านแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวใดๆ จากหลูจื้อเลย
ตอนที่ 213 เฝ้ารอ
หมดเวลากับการเอาแต่อยู่ในห้องพักแล้ว ชุยหังลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นก็แต่งตัวออกไปหาอะไรกิน
ข้างๆ ถนนตั้วลั่วไม่มีร้านของว่างเปิดเลย บรรยากาศจึงดูเงียบเหงามาก
หลูจื้อไม่รู้ตัวว่าตัวเองเดินมาถึงถนนเฟิงหลิวได้อย่างไร เขาเดินมาจะทั่วมหา’ ลัยแล้ว แต่กลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลย มีเพียงความรู้สึกมึนงงเท่านั้น
ถนนเฟิงหลิวเป็นสถานที่ที่ไม่ค่อยดีนัก แม้ชุยหังจะไม่เคยมา แต่เขาก็รู้ดี
ผู้หญิงหน้าตาดีถือกระเป๋าสองสามใบเพิ่งขึ้นรถแท็กซี่ไป
ชุยหังถอนหายใจออกมา แม้แต่ผู้หญิงคนนั้นก็กลับบ้านในวันหยุด น่าเศร้าจริงๆ ที่ตัวเขาติดอยู่ในมหาวิทยาลัยแบบนี้
เดิมทีเขาอยากอยู่กับหลูจื้อในช่วงตรุษจีน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นแบบนี้
ตอนที่ซ่งไข่โทรเข้ามา เขาก็เจอร้านก๋วยเตี๋ยวที่ยังเปิดอยู่ จึงสั่งก๋วยเตี๋ยวมาชามหนึ่ง
“นายทำอะไรอยู่” ซ่งไข่เอ่ยถาม
“ไม่ได้ทำอะไร ออกมากินข้าว”
“นายมาฉลองตรุษจีนที่บ้านฉันสิ ฉันหย่าแล้วที่บ้านเลยไม่มีใครอยู่เลย” ซ่งไข่เอ่ยบอก
ชุยหังปฏิเสธพร้อมเอ่ยตอบ “ไม่เป็นไร ผมอยู่ที่โรงเรียนก็ดีแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้เรื่องนายกับหลูจื้อแล้ว ไม่ทำอะไรนายหรอก” ซ่งไข่เอ่ยบอก
“ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น ผมแค่ไม่อยากไป เพราะในสองวันนี้หลูจื้ออาจจะมา” ชุยหังเอ่ยตอบ
ซ่งไข่เงียบไปสักพัก แล้วพูดว่า “ถ้าเขามีเวลา นายไม่เป็นแบบนี้”
“ทำไม” ชุยหังเอ่ยถาม
“นายรู้เรื่องของเขาหมดแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้หญิงที่ถูกแนะนำให้เขารู้จักคนนั้น เป็นภรรยาเก่าของเพื่อนในกองทัพพวกเรา ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไง พวกเรารู้กันหมด” ซ่งไข่เอ่ยบอก
ชุยหังรู้ว่าตัวเองปิดปังซ่งไข่ไม่ได้
‘เพียงแค่ยอมรับมัน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ทำให้ใครตายหรอก’
“อืม ผมรู้แล้ว”
“แล้วนายจะทำยังไง” ซ่งไข่เอ่ยถาม
“อดทนไว้ ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ” ชุยหังถามกลับ
“พวกนายช่าง…เฮ้อ ค่อยตัดสินใจแล้วกัน” ซ่งไข่ก็จนปัญญากับเรื่องระหว่างเขากับหลูจื้อ
หลังจากวางสายไป ชุยหังก็กินก๋วยเตี๋ยวที่กำลังร้อนๆ พร้อมกับน้ำตาของเขาที่ไหลออกมา
วันที่สอง วันที่สาม หลูจื้อแค่ส่งข้อความสั้นๆ ไม่กี่ข้อความมาหาเขาทางวีแชท แต่ไม่ได้โทรเข้ามา
ชุยหังรู้ว่าเขายุ่งมาก
ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะตกหลุมรักหลูจื้อจริงๆ แล้ว
ตามแผนเดิมวันที่ 30 ชุยหังกับหลูจื้อจะไปกินมื้อค่ำส่งท้ายปีเก่าด้วยกัน แต่แผนพังไปแล้ว
ร้านค้าข้างนอกปิดหมดแล้ว
ชุยหังไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากกินของที่โรงเรียนส่งมาให้ก่อนหน้านี้ และของที่หลูจื้อซื้อมาให้กินประทังความหิวไปก่อน
หลังจากที่นอนอยู่คนเดียวในห้องพักจนถึงสองทุ่ม ก็ยังไม่มีข่าวใดๆ จากหลูจื้อเลย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันทั้งครอบครัว
ซ่งไข่และซย่าอวี้ชิวต่างก็ส่งข้อความาอวยพรปีใหม่ให้เขา แต่เขาเพียงแค่ตอบกลับไปสั้นๆ
ทำได้เพียงปลอบใจตัวเอง ไม่ฝืนตัวเองมากเกินไป แต่ยังคงเฝ้ารออย่างมีหวังว่าหลูจื้อจะติดต่อเขาได้
วันนี้เป็นวันพิเศษไม่เหมือนกับวันอื่นๆ ทั่วไป
เขาไม่อยากทำตัวเหมือนกับอาซ้อเสียงหลิน [1] ที่มักพูดเสมอว่าตัวเองน่าสงสารและลำบากมากแค่ไหน
อย่างไรก็ตามเขาอยู่ที่นี่เพราะหลูจื้อ และไม่ได้กลับบ้านช่วงตรุษจีนนั้นคือเรื่องจริง
ตอนนี้หลูจื้ออยู่กับครอบครัวและเป็นไปได้ว่าผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะอยู่ด้วยกันที่นั่น เรื่องนี้ก็เป็นความจริงเหมือนกัน
ในที่สุดข้อความของหลูจื้อก็มา แต่ไม่ได้ทำให้ชุยหังอารมณ์ดีขึ้นมาเลย
ข้อความอวยพรที่ส่งต่อกันจากคนอื่นในวีแชท และอาจเป็นข้อความส่งซ้ำให้หลายๆ คนด้วย
ชุยหังไม่ได้ตอบกลับ เพียงแค่จับมือถือไว้แล้วมองอย่างมีความหวัง
‘ช่างมันเถอะ กลับห้องตอนนี้ก็ไม่อยากอยู่ ถ้างั้นเดินเล่นต่อดีกว่า’
‘แม้ว่าเป็นช่วงตรุษจีน แต่ร้านอินเทอร์เน็ตน่าจะเปิดอยู่ใช่ไหม’
‘ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไปอยู่ร้านอินเทอร์เน็ตทั้งคืนเลยแล้วกัน’
——
[1] อาซ้อเสียงหลิน เป็นตัวละครจากเรื่องสั้นเรื่อง “อำนวยพร” ที่อยู่ในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวที่หลู่ซวิ่นประสบพบเจอเมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดในช่วงตรุษจีนปีหนึ่ง เทศกาลตรุษจีนและพิธีกรรมต่างๆ ตลอดจนบ้านเกิดของหลู่ซวิ่นซึ่งเป็นหมู่บ้านในชนบท ถูกใช้เป็นภาพแทนของวัฒนธรรมจีนจารีต ซึ่งเป็นสิ่งที่หลู่ซวิ่นต่อต้าน เพราะมองว่าเป็นวัฒนธรรมแบบ “คนกินคน” ภาพของวัฒนธรรม “คนกินคน” ถูกผลิตซ้ำผ่านงานหลายชิ้นของหลู่ซวิ่น รวมถึงในเรื่อง “อำนวยพร” ด้วย ในเรื่องนี้ ชีวิตของอาซ้อเสียงหลิน คนรับใช้เก่าในบ้านคุณอาของหลู่ซวิ่น ได้เผยแสดงให้เห็นรูปแบบหนึ่งจากหลายๆ รูปแบบของการ “กินคน” ในสังคมจีนจารีต นั่นคือ การกดทับของสังคมแบบชายเป็นใหญ่ที่ผู้หญิงชนชั้นล่างต้องเผชิญ (ในสังคมแบบชายเป็นใหญ่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่มีชีวิตอาภัพ และไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่สุขสบาย นอกจากเพศสภาพแล้วยังต้องพิจารณาถึงชนชั้นและชาติพันธุ์ด้วย) เครื่องมือแห่งการกดทับดังกล่าวก็คือ ประเพณี จารีต ความเชื่อ หรือพิธีกรรมต่างๆ ที่ผู้ชายเป็นคนสร้างขึ้น
Related