ตอนที่ 286 วันครึ้มฝน
“ได้ๆ ได้อยู่แล้ว นายหล่อ นายมีเหตุผล” ชุยหังพูดอย่างรวดเร็ว
หลูจื้อมองใบหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นมาของชุยหังผ่านวีดีโอแล้วพูดว่า: “ฉันดูก่อนแล้วกัน จะพยายามกลับไปให้ได้ หลายวันมานี้ก็มีเรื่องที่ต้องทำกองไว้ไม่น้อยเลยด้วย ดูก่อนว่าพอจะจัดเวลาได้หรือเปล่า”
“อืม ฉันรู้ว่าพวกนายควบคุมเข้มงวดมาก ถ้าไม่สามารถออกมาได้จริงๆ ก็อย่าได้ลำบากใจเด็ดขาด” ชุยหังกล่าว
“สบายใจเถอะ ฉันรู้แล้ว นายด่าคนต่อไปเถอะ แต่อย่าให้ส่งผลต่ออารมณ์ของตัวเองก็พอแล้ว ฉันไม่อยู่บ้านเดี๋ยวไม่มีใครปลอบใจนาย” หลูจื้อกล่าว
ชุยหังยิ้มแล้วพูดว่า: “อืม ฉันจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้แน่นอน”
“ฉันรู้ว่านายไม่มีทางยอมแพ้แน่ ถ้าแข่งเรื่องด่าคน นายคงไม่มีทางแพ้ให้ใครแน่นอน” หลูจื้อกล่าว
“ขอบคุณสำหรับคำชม”
สุดท้ายหลูจื้อพูดขึ้นว่า: “โอเค นายรีบไปหาอะไรกินสักหน่อยเร็ว ถ้าไม่อยากทำอาหารใต้ตึกก็มีของกิน นายรีบไปกินก่อนสักคำแล้วตอนเย็นก็ไม่ต้องรอฉันกินข้าวนะ เพราะต่อให้ฉันได้กลับก็คงจะหลังอาหารเย็นไปแล้ว”
“โอเคฉันเข้าใจแล้ว”
หลังจากวางสายไปชุยหังก็กลับเข้าสู่สงครามการด่าในเวยป๋ออีกครั้ง ตอนนี้เต็มไปด้วยพลังการต่อสู้เหมือนกับฉีดเลือดไก่ [1] เข้าไปยังไงอย่างนั้น
ไม่ว่าจะเป็นใคร จะใช้ภาษาอะไรมาด่าเขา เขารับรองได้เลยว่าตนจะไม่มีทางอ่อนลงให้เด็ดขาด
ในเมื่อพ่อแม่ของคนพวกนี้ไม่สามารถสั่งสอนพวกเขาดีๆ ได้ก็อย่าโทษเขาที่จะช่วยสั่งสอนให้สักหน่อย
ทันใดนั้นทางด้านนอกฝนก็เริ่มตกลงมา สายลมพักโบก ภายในห้องเปลี่ยนเป็นมืดสลัว
อันที่จริงอากาศแบบนี้มันทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ชุยหังชอบท้องฟ้าแจ่มใสหรือเป็นฝนตกปรอยๆ เดินอยู่ท่ามกลางสายฝนโดยที่ไม่ต้องกางร่ม ซึมซับความรู้สึกเวลาที่เม็ดฝนเล็กๆ ตกลงมาเป็นปุยขนบนศีรษะ สบายใจสุดๆ
แต่ในวันครึ้มฝนแบบนี้ ท้องฟ้าราวกับถูกปิดด้วยม่านทำให้คนรู้สึกหดหู่ แม้จะอารมณ์ดีมากแต่ก็สามารถเปลี่ยนเป็นซึมเศร้าได้อย่างง่ายดาย
ชุยหังไม่ใช่คนประเภทที่เห็นดอกไม้ร่วงก็ร้องไห้ได้ แต่เมื่อเห็นสภาพอากาศไม่ดีกลับส่งผลต่ออารมณ์ได้โดยง่าย
ผู้คนบนเวยป๋อโดยส่วนใหญ่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แล้ว ไม่รู้ว่ากำลังจัดทัพโต้กลับอยู่หรือว่ายอมแพ้ไปแล้ว
ทันใดนั้นชุยหังก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา จึงปิดการแสดงความคิดเห็นเอาไว้อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้แม้แต่ข้อความส่วนตัวเขาก็ปิดด้วย
ไม่รู้ว่าทำไมก่อนที่เขาจะจากมาก่อนหน้านี้เขาเลือกลบออกจากทะเบียนเวยป๋อแล้วแท้ๆ ทำไมมันถึงไม่สำเร็จ กลับกันมาวันนี้ก็ได้เผชิญหน้างัดข้อกับคนพวกนี้ผ่านทางเวยป๋ออีกครั้ง
อันที่จริงชุยหังยังรู้สึกดีใจ โชคดีที่ก่อนหน้านี้ตนลบทะเบียนไม่สำเร็จ มิฉะนั้นตนคงจะไม่มีโอกาสได้ตอกกลับสเปรย์ไร้สมองพวกนี้แน่
นอกจากนี้บางคนยังมาจากมหาวิทยาลัยของพวกเขาอีกด้วย
เขารู้ดีว่าถ้าหากระยะเวลาการหยุดพักการเรียนครบกำหนด ตอนที่กลับไปมหาวิทยาลัยจะต้องคึกครื้นมากยิ่งกว่านี้แน่นอน บางทีคนเหล่านั้นอาจจะวิพากษ์วิจารณ์เขามากกว่าเดิม แต่ถ้าพวกเขาไม่กลัวจะถูกด่ากลับไปล่ะก็เข้ามาเลยเถอะ
ฝนตกติดต่อกันไม่ยอมหยุดเป็นเวลานานมากแล้ว ชุยหังไม่อยากจะขยับตัวเลยจริงๆ ขี้เกียจลงไปชั้นล่างเขาจึงหยิบเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากตู้เย็นออกมาต้มหนึ่งซอง แล้วก็ใส่ไข่ลงไปด้วยอีกสองฟอง
หลังจากรับประทานอาหาร ทำความสะอาดเสร็จแล้ว เริ่มรู้สึกอบอุ่นในท้องแล้วจึงกลับไปนอนลงบนเตียงอีกครั้ง
เมื่อมองไปบนเพดาน เขาก็นึกถึงฉากที่หลูจื้อนอนอยู่ตรงนี้กับเขาเมื่อคืนวานขึ้นมา
ส่วนเรื่องที่คืนนี้หลูจื้อจะกลับมาได้หรือไม่ได้ อันที่จริงเขาไม่ได้มีความหวังมากนัก
เดิมทีหลูจื้อก็เป็นคนที่กระตือรือร้นในการทำงาน นอกจากนี้แต่ก่อนเขายังคอยช่วยทำงานแทนพวกจังเผิงอยู่บ่อยๆ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงจะไม่มีเวลาออกมาข้างนอกมากขนาดนั้น
ครั้งนี้เพื่อตามหาตนทำให้เขาเสียเวลาไปหลายวันขนาดนั้นเชื่อว่าคงจะมีเรื่องมีงานมากองรวมกันอยู่ไม่น้อยแน่นอน
ตนไม่สามารถเป็นตัวถ่วงเขา ต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง
แต่เขาก็ไม่สามารถอยู่บ้านเฉยแบบนี้ไปตลอด ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปดูเหมือนจะไม่ใช่วิธี
เขาไม่สามารถปล่อยให้หลูจื้อเลี้ยงเขาไปตลอดแบบนี้ เขาต้องหางานทำด้วยตัวเองสักงาน
ตอนที่ 287 หางาน
เมื่อความคิดนี้ก่อตัวขึ้นแล้ว มันก็ไม่มีทางที่จะกำจัดมันออกไปจากความคิดได้แล้ว
แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงคนที่มีวุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลาย แต่ก็ยังมีงานบางอย่างที่เขาสามารถทำได้
เขารู้ว่าหลูจื้อยุ่งอยู่จึงไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับเขา
ไม่ว่ายังไงช้าเร็วหลูจื้อก็ต้องกลับมา ตนหางานก็ไม่ใช่ว่าจะหาได้ในทันที
ต่อให้หลูจื้อกลับมาไม่ได้ก็ต้องติดต่อกับตนอยู่ดี
เมื่อถึงเวลานั้นตนบอกกับเขาสักคำก็คงจะทำให้เขารู้สึกว่าตนรู้จักคิดแล้ว คงจะไม่ต้องเป็นห่วงกังวลมากขนาดนั้นแล้ว
เมื่อนึกได้แบบนี้เขาก็เริ่มค้นหาบุคลากรจัดหางานโดยตรงในทันที
แต่เมื่อได้เห็นเงินเดือนและผลประโยชน์ของงานพวกนั้น ยังมีชั่วโมงการทำงานบวกกับสถานที่ทำงานแล้ว เขาก็เริ่มสับสนงุนงงเล็กน้อย
โชคดีที่มีตัวเลือกในการคัดกรอง เขาเลือกเป็นงานที่ต้องการวุฒิมัธยมศึกษาตอนต้นขึ้นไป สถานที่ตั้งอยู่ห่างจากป้ายรถประจำทางเพียงไม่กี่ป้ายก็ถึง เวลางานตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงห้าโมงเย็น สุดท้ายเงินเดือนอยู่ที่สามพันหยวนขึ้นไป
สำหรับนักเรียนมัธยมปลายเงินเดือนสามพันหยวนนับว่าไม่น้อยแล้ว
อันแรกที่ปรากฏขึ้นมาเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ของบริษัทขายอะไรสักอย่าง เนื้อหางานคือรับสายโทรศัพท์ทุกวัน แบบนี้จึงไม่จำเป็นต้องติดต่อโดยตรงกับแขกซึ่งดูเหมือนจะดีมากทีเดียว
ชุยหังไม่ค่อยชอบงานแบบที่ต้องปรากฏตัวในวงสังคม โดยเฉพาะในด้านการขายที่จะต้องพูดโน่นพูดนี่กับลูกค้าไม่หยุด ปรากฏว่าบนใบหน้าของพวกเขากลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ เลย แถมยังกำลังด่าคุณในใจอีกด้วย
ถ้าเป็นทางโทรศัพท์คงจะง่ายกว่ามาก
เขาลองโทรศัพท์หาบริษัทนั้น ทางด้านนั้นกดรับสายอย่างรวดเร็ว ชุยหังถามออกไปว่าพวกเขากำลังรับสมัครพนักงานอยู่ใช่หรือไม่ จากนั้นฝ่ายตรงข้ามก็ถามสถานการณ์เกี่ยวกับชุยหังอีกเล็กน้อย แล้วให้เขาเข้าไปสัมภาษณ์งานในวันศุกร์นี้
หลังจากนั้นไม่นานอีกฝ่ายก็ส่งข้อความมายังโทรศัพท์มือถือของชุยหัง บอกว่าเป็นประกาศแจ้งให้เขาไปสัมภาษณ์ในวันศุกร์ ถ้าไม่แสดงข้อความนี้ให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็จะไม่มีทางเข้าไปได้
ชุยหังกำลังคิดว่าบริษัทนี้ดูเหมือนจะค่อนข้างเป็นทางการมากทีเดียว
มิฉะนั้นก็คงไม่มีทางใช้วิธีการที่เป็นทางการแบบนี้เรียกให้เขาไปสัมภาษณ์ และเห็นได้ชัดว่าบริษัทนี้จะไม่เปิดสู่โลกภายนอก
หากตนสามารถเข้าไปฝึกฝนทำงานในบริษัทนี้ได้สักระยะ บางทีอาจจะสามารถพัฒนาทักษะการสื่อสารล่วงหน้าได้ด้วย ต่อไปในอนาคตเมื่อออกไปสัมภาษณ์งานก็สามารถนำไปใช้ได้
แม้ว่าจะยังมีเวลาอีกหลายวันก่อนจะถึงวันสัมภาษณ์ แต่เขาก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตารอแล้ว
ตอนนี้เขากำลังคิดว่า ตนควรจะไปเตรียมพวกชุดสูทเพื่อให้ดูเป็นทางการมากขึ้นสักหน่อยไหม
แต่เมื่อลองคิดๆ ดู แล้ว ช่างมันดีกว่า ยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถสมัครงานสำเร็จหรือเปล่า และลักษณะงานของตนก็แตกต่างกับงานที่ต้องออกไปพบลูกค้าพวกนั้น ไม่ว่ายังไงก็อยู่แค่หลังโทรศัพท์ ลูกค้าก็ไม่รู้ว่าเขารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง
ตอนเย็นหลูจื้อโทรเข้ามาอีกครั้งและถามว่าเขากำลังทำอะไร ชุยหังบอกว่าตนตัดสินใจเรื่องที่จะไปสมัครงานไว้แล้ว
หลูจื้อลังเลอยู่สักพักและถามเขาว่าทำไมถึงรีบร้อนทำงานขนาดนี้ อยากให้เขาพักผ่อนไปอีกสักระยะก่อน
ชุยหังให้เหตุผลไปว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็เอาแต่นอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ แบบนั้นแขนขาจะเสื่อมสภาพเอาได้ง่ายๆ
หลูจื้อกลับพูดว่า เสื่อมก็เสื่อมเถอะ แบบนั้นจะยิ่งหนีไปไหนไม่ได้ดี
แต่ว่าชุยหังไม่อยากให้มีวันที่เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะไม่อยากจะต้องเป็นภาระของใคร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตนไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเป็นอิสระ ตนยังมีครอบครัวอีก
หลูจื้อจ่ายเงินไปเพื่อตนมากเท่าไหร่เขาอาจจะไม่ได้สนใจมัน แต่ตนจดจำมันได้ แต่พ่อแม่คนที่บ้านของตนทางนั้นหลูจื้อไม่มีภาระผูกพันใดๆ
ดังนั้นจึงยังต้องหาเงินด้วยตัวเอง มิฉะนั้นเมื่อครอบครัวจำเป็นต้องใช้เงินตนจะไม่สามารถหยิบเงินออกมาให้ได้
“นายคิดดีแล้วก็โอเค ยังไงซะเมื่อถึงเวลาก็สามารถไปดูๆ ก่อนได้ ถ้ารู้สึกว่ามันไม่เหมาะหรือเหนื่อยมากเกินไปก็ไม่ต้องไปแล้ว งานมีเยอะแยะไม่จำเป็นต้องทำเงินมาก นายแค่ทำเพื่อฆ่าเวลาก็พอแล้ว ถือเสียว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต” หลูจื้อกล่าว
——
[1] ฉีดเลือดไก่ ‘ 打鸡血 ’ มาจากความเชื่อทางการแพทย์จีนเมื่อยุคปี 60 ว่าการฉีดเลือดไก่เข้าตัวเป็นยารักษาสารพัดโรค (Chicken-blood therapy) กล่าวคือเมื่อฉีดเลือดไก่เข้าเส้น จะมีอาการคึก เลือดลมสูบฉีด หน้าแดง ต่อมา “ฉีดเลือดไก่” จึงเป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเปรยคนที่มีอาการคึก ตื่นเต้น