ตอนที่ 288 โทรศัพท์หาที่บ้าน
“คงไม่เหนื่อยหรอกก็แค่รับโทรศัพท์เอง พนักงานรับโทรศัพท์ก็ไม่น่าจะซับซ้อนวุ่นวายเกินไปหรอก” ชุยหังกล่าว
ฟังชุยหังดูจะตั้งหน้าตั้งตารองานนี้ไม่น้อย หลูจื้อย่อมไม่พูดอะไรมากเกินไป
“เย็นนี้เตรียมจะกินอะไร” หลูจื้อถาม
ชุยหังพูดว่า: “ยังคิดไม่ได้เลย อีกเดี๋ยวไปดูแล้วก็คงทำกินเองสบายๆ สักอย่าง”
“ดีที่สุดอย่ากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตอนนั้นฉันก็ไม่อยากให้นายซื้อ” หลูจื้อกล่าว
ชุยหังหัวเราะแหะๆ และไม่ได้พูดอะไร
“ก่อนหน้านี้สัญญากับฉันไว้ว่าจะเชื่อฟังไม่ใช่หรอ ทำไมหรอฉันพึ่งจะแยกออกมาแค่วันเดียวก็ไม่ได้ผลแล้ว?” หลูจื้อถาม
“ไม่ใช่ แน่นอนว่าไม่ได้หมายความแบบนี้…” ชุยหังกล่าว
“ของนายไม่ใช่หรือของฉันไม่ใช่?” หลูจื้อถามอย่างจงใจ
ชุยหังพูดว่า: “ของฉัน ของฉัน…”
“มา อ้อนหน่อยสิ…” หลูจื้อออกความคิดประหลาดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ชุยหังรู้สึกเก้อเขิน ไร้คำพูดไร้คำตอบ
“ฮ่าๆ ไฟดับไปเลยสิ? เอาล่ะรีบไปทำอาหารกินได้แล้ว ไม่งั้นก็ออกไปกินข้างนอก ห้ามกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เดี๋ยวตอนกลับไปฉันจะต้องไปนับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่บ้านแล้วว่าเหลืออยู่เท่าไหร่” หลูจื้อกล่าว
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวไปทำเลย” ชุยหังกล่าว
ในเมื่อหลูจื้อบอกแล้วว่าไม่ให้ตนกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแถมกลับมายังจะมานับอีกว่าเหลือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่กี่ห่อ เขาย่อมไม่กล้ากินอีกสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว
หลังจากทำอาหารง่ายๆ และกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ทำความสะอาดเล็กน้อย ชุยหังมานอนลงบนเตียงต่อ ท่ามกลางความเบื่อหน่ายนั้นก็คิดอยากจะโทรศัพท์ไปหาที่บ้าน
ไม่ได้กลับบ้านมาช่วงหนึ่งแล้ว ช่วงตรุษจีนก็ไม่ได้กลับไปเชื่อว่าที่บ้านคงจะคิดถึงตนมากแน่ๆ
“ป๊า ทำอะไรอยู่ครับ” ครั้งนี้เขาไม่ได้โทรเข้าโทรศัพท์แม่ เกรงว่าเอาแต่โทรหาแม่ทุกครั้งจะทำให้พ่อหึงเอา
ยิ่งไปกว่านั้นคราวนี้เขาไม่ได้ถามคำถามรนหาที่ตายแบบ ‘ป๊า ม๊าผมล่ะ’ อะไรแบบนี้ออกไปตรงๆ ด้วย
เมื่อพ่อได้ยินเสียงของชุยหังก็ดูมีความสุขมากทีเดียวแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร ป๊าดูคนเล่นไพ่นกกระจอกอยู่ที่ร้านในหมู่บ้าน”
“ทำไมป๊าไม่เล่นกับคนอื่นเขาสักพักล่ะ” ชุยหังถาม
“ป๊าเล่นไม่ได้ นั่งนานๆ แล้วปวดเอว” พ่อพูด
ชุยหังรู้สึกปวดใจขึ้นมานิดๆ และถามว่า: “ทำงานแล้วมันยึดหรือเปล่า”
พ่อพูดขึ้น: “อืม สองวันก่อนช่วยพี่ชายในชุมชนทำงานแล้วมันยึดเอาน่ะ”
“เอาล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรก็อย่าเอาแต่ช่วยนี่ทีช่วยนั่นทีสิ ร่างกายป๊าเป็นยังไงป๊าเองไม่รู้หรอ” ชุยหังถามอย่างปวดใจ
“อืม แกดูแลตัวเองก็พอแล้ว ตอนนี้เรียนทันไหม” พ่อเอ่ยถาม
ชุยหังพูดว่า: “อืม ตามทันหมด ไม่ยุ่งเหมือนตอนมัธยมแล้ว”
เขายังคงไม่กล้าเอาเรื่องที่ตัวเองพักการเรียนบอกกับคนที่บ้าน กลัวว่าที่บ้านจะมีความกดดัน
ปัญหานี้ตนจะสามารถแก้ไขมันได้เมื่อไหร่กันนะ
“พูดกับแม่แกสักหน่อยไหม” พ่อถาม
พ่อเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว ปกติก็ไม่ค่อยพูดค่อยจาอะไร ดังนั้นทุกครั้งจะพูดแค่ไม่กี่ประโยคแล้วก็จะเอาโทรศัพท์ให้แม่เลย
สักพักหนึ่งแม่ก็มาแล้ว
“ลูกชาย ที่นั่นหนาวไหม”
“ไม่หนาวครับ ไม่หนาวตั้งนานแล้ว นี่มันจนเดือนไหนแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็ใส่เสื้อแขนสั้นได้แล้ว” ชุยหังกล่าว
อากาศของเมืองเอ้อแตกต่างกับทางตงเป่ยโดยสิ้นเชิง
“ถ้าอย่างนั้นก็ใส่เสื้อผ้าให้มากหน่อย อวดเก่งตอนวัยรุ่นก็จะได้รับโทษตอนแก่นะ” แม่พูด
ชุยหังไม่สามารถฝืนยิ้มได้ แต่ก็รู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย แม่มักจะพูดแบบนี้เสมอ บางทีแม่ทุกคนต่างก็เป็นแบบนี้มั้ง
บางครั้งชุยหังก็แอบคิดว่า แม่ของหลูจื้อจะเป็นผู้หญิงแบบไหน จะเป็นเหมือนแม่ของตนไหมที่เรียบง่ายแล้วยังใจดี ไม่คิดจุกจิกจู้จี้มากขนาดนั้น ขอเพียงลูกมีความสุขต่อให้เขาไม่ทำตามในสิ่งที่ตนต้องการก็จะยิ้มอย่างมีความสุขและไม่สนใจมัน
แต่กับพื้นภูมิครอบครัวแบบนั้นของหลูจื้อ ดูไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่เลย
ตอนที่ 289 ต่างกัน
ตอนกลางคืนหลูจื้อไม่ได้กลับมาจริงๆ ชุยหังนอนอยู่บนเตียงคิดว่าอย่างน้อยเขาคงจะโทรหาตนหรือไม่ก็ส่งข้อความมาให้
แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ต่างก็ไม่มีเลย
ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มยุ่งอีกแล้ว
เขาไม่กล้าโพสต์ลงในโมเมนต์เพราะกลัวว่าจะถูกคนมองออกว่าตนกลับมาที่เมืองเอ้อแล้ว
เดิมทีเขาไม่คิดอยากจะทำให้ชย่าอวี่ชิวกับพวกรูมเมทต้องตกใจกันอีกแล้ว
เพราะตนในตอนนี้จำเป็นต้องค่อยๆ รักษาบาดแผล เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถแบ่งปันกับพวกเขาได้
บางทีนิสัยของเขาคงจะแปลกนิดๆ มั้ง เวลาอยู่ด้วยกันก็หวังอยากจะให้ทุกคนมีความสุข แต่พอเกิดเรื่องขึ้นกับตนก็พยายามที่จะไม่ให้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไปกระทบใครคนใดคนหนึ่ง
มิฉะนั้นเขาย่อมไม่เลือกที่จะพักการเรียนหรอก
แต่หลังจากที่ผ่านเรื่องของหลูจื้อมา เขารู้แล้วว่าการทุ่มเทออกไปฝ่ายเดียวแบบนี้หรือที่ว่าเป็นความใจกว้างที่ยิ่งใหญ่ ในความจริงแล้วเป็นความเห็นแก่ตัวประเภทหนึ่ง
เพราะเพื่อนแท้จะไม่มีทางสนใจเรื่องพวกนี้
ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดแล้ว เขาจึงส่งข้อความวีแชทให้ชย่าอวี่ชิวและพวกเพื่อนรูมเมทของเขา
[ฉันกลับมาแล้ว แต่ฉันไม่ได้อยู่แถวมหา’ ลัยแต่ก็อยู่ในเมืองเอ้อ ถ้ามีเวลาจะไปเยี่ยมพวกนาย]
ข้อความถูกส่งเป็นกลุ่ม เนื้อหาแบบเดียวกันส่งไปถึงคนหกคน
ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็มีหกคนนี้ที่นับว่าความสัมพันธ์ที่มีต่อเขานับว่าไม่เลวนัก
คนอื่นๆ ถึงแม้ว่าเวลาเจอกันจะมีพยักหน้าให้กันบ้าง หรือพวกที่เมื่อก่อนเคยให้ความร่วมมือกันมาบ้าง แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังรู้สึกว่าขาดไปอีกหน่อย
คนแรกที่ตอบกลับเขาคือชย่าอวี่ชิว ดูเหมือนเขาจะตื่นเต้นมากทีเดียว
[เจ้าเด็กน้อยอยู่ที่ไหนของเมืองเอ้อ สุดสัปดาห์นี้ฉันจะไปเยี่ยมนายที่ห้อง]
ชุยหังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบเขาว่า: [ไม่ต้องหรอก สุดสัปดาห์นี้ฉันต้องไปสัมภาษณ์งานแล้วก็ตัดสินใจว่าจะทำงานเลย ทางฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว มีเวลาจะไปดูนายที่มหา’ ลัยนะ]
[ก็ได้ ฉันได้ยินว่านายอัพเดตเวยป๋อ?] คำพูดของชย่าอวี่ชิวทำให้ชุยหังตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนที่จะดึงสติกลับมารู้สึกตัว
ในโลกออนไลน์ความเร็วในการแพร่กระจายข่าวสารนั้นเร็วมากจริงๆ
ทั้งช่วงเช้าตนเอามาใช้ด่าคนเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นแล้วกดส่งต่อ
[อืม อันที่จริงก่อนหน้านี้ฉันลบทะเบียนออกแล้ว แต่ดูเหมือนว่ากระบวนการจะผิดพลาดไปก็เลยไม่ได้ถูกลบไป พอดีดำเนินการอัพเดต จากนั้นก็เลยพ่นใส่พวกที่กินอึจนโตไปหนึ่งรอบ] ชุยหังตอบกลับ
[คนพวกนั้นนายไม่ควรจะไว้หน้าเลย สมควรโดนด่า] ชย่าอวี่ชิวตอบ
ไม่นานพวกถังเฉิงกับจ้าวหลินต่างก็ตอบกลับเขาแล้ว แต่คำตอบของแต่ละคนยังคงสอดคล้องกับบุคลิกของพวกเขามาก
จ้าวหลินกับถังเฉิงกระตือรือร้นมากที่สุด วังเจิ้นเฉียงกับจังเผิงเห็นได้ชัดว่าทำอย่างขอไปที ส่วนของวังเฉียงยิ่งง่ายด้วยการตอบกลับด้วยคำว่า ‘อ้อ’
ชุยหังก็ไม่ได้โกรธ ไม่ว่าอย่างไรคนพวกนี้ต่างก็ไม่ใช่คนที่จะอยู่กับตนไปตลอดชีวิต
เพื่อน ขึ้นอยู่กับคบค้าสมาคมปฏิบัติต่อกันยังไงทุกอย่างต่างก็เป็นซึ่งกันและกัน
ตนปฏิบัติต่อพวกเขายังไงแล้วพวกเขาตอบแทนตนยังไง อันนี้ในใจของตนมีเครื่องชั่งอยู่แล้ว
กระบวนการเติบโตของทุกคน ในความเป็นจริงมันก็อยู่ที่กระบวนการเลือกคบเพื่อนและกำจัดผู้ที่สัญจรผ่านไปมา
ส่วนที่เหลืออยู่ย่อมสามารถเคียงข้างตนเดินต่อไปข้างหน้า ส่วนผู้ที่ถูกคัดออกเป็นคนที่ตนไม่ต้องกังวลและใส่ใจมากเกินไป แล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแบ่งใจเพื่อเรื่องของพวกเขา
ชุยหังไม่ได้ตอบอะไรพวกเขากลับไป อย่างไรเสียก็บอกพวกเขาแล้วว่าตนกลับมาแล้ว ส่วนจะติดต่อหรือไม่ติดต่อกันตนนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกเขาเองแล้ว
การคบค้ากับพวกแตกต่างประเภทไปจากตนเอง บางทีพวกเขาอาจจะรู้สึกกดดันมั้ง
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีอิสระและง่ายดายเหมือนเขา ที่รู้สึกว่าคนทุกคนขอเพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อคนอื่นก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกวิธีการดำเนินชีวิตของตัวเอง
บางคนปากก็พูดแสดงเหมือนว่าตนเป็นนักศึกษาในยุคสมัยใหม่ มีการศึกษา มีความรู้ แต่ความคิดยังคงโบราณแบบเดิม โบราณคร่ำครึโดยสิ้นเชิง
คนแบบนี้ชุยหังก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสียเวลาไปกล่อมเกลาแล้วทำให้เขายอมรับตน
ชย่าอวี่ชิวยินดีที่จะติดต่อกับเขา เขาก็ตอบกลับ
ส่วนเพื่อนรูมเมทสี่ห้าคนของเขาในเมื่อต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง เขาก็จะไม่พูดอะไรมาก