ในที่สุดวังเจิ้นเฉียงก็หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า: “ไม่เกี่ยวกับฉันนะ ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”
จ้าวหลินพูดขึ้น: “เมื่อกี้ในที่ประชุม อาจารย์หม่าบอกว่าหลังจากที่ทุกคนกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วสามารถไปรับชุดฝึกทหารที่ช่องหน้าต่างข้างโรงอาหารได้เลย”
“ชุดฝึกทหาร? อากาศแบบนี้ยังต้องให้ใส่ชุดลายพรางทหารจะเอาชีวิตกันหรือไง” ตอนนี้ชุยหังเริ่มรู้สึกว่าตัวเองสิ้นหวังแล้ว
อุณหภูมิอากาศของตงเป่ย [1] กับเมืองเอ้อเป็นอะไรที่ไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้เลยจริงๆ โดยเฉพาะเมืองเอ้อที่เดิมทีก็เป็นถิ่นเตาไฟใหญ่ อุณหภูมิพื้นผิวถ้าหากเปลือยเท้าเปล่าเหยียบพื้นคงจะต้องร้อนลวกเท้าแน่นอน
“ไม่เป็นไร เพราะถ้าเกิดทุกคนเป็นลมแดดก็คงเป็นด้วยกันนี่แหละ คงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร” จ้าวหลินกล่าว
“เหล่าต้า นายคงไม่ได้จะบอกว่าความฝันหนึ่งของพี่คือเป็นทหารหรอกนะ” ชุยหังถาม
จ้าวหลินพูดต่อ: “เชรด นายรู้ได้ยังไงเนี่ย”
“ผมก็ต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว I have a dream [2] ไงเล่า พี่นี่คงจะเป็นหม่าติง ลู่เต๋อจิน [3] ตัวจริงเลยใช่ไหม พี่ควรจะเปลี่ยนชื่อเป็นหม่าติง จ้าวเต๋อจินนะ” ชุยหังพูดเย้ยๆ ออกมา
ตอนนี้ขนาดจังเผิงที่เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จายังอดขำไม่ได้เลย
“พี่สาม ทำให้พี่ยิ้มเนี่ยยากเสียยิ่งกว่าการได้ครองพวกหญิงงามระดับต้นราคาแพงสุดในหอนางโลมเสียอีกนะ” ชุยหังพูดเยาะขึ้นอีกครั้ง
ใบหน้าของจังเผิงดูงงงวยซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเขาตามคำพูดของชุยหางที่พึ่งจะพูดเมื่อครู่นี้ไม่ทัน
ชุยหังที่พึ่งจะรู้สึกได้ว่าการใช้ภาษาการพูดของตัวเองไม่เหมือนกับพวกเขา
ดังนั้นเขาจึงพูดว่า: “เอาเถอะฉันจะพยายามพูดให้ช้าลงก็แล้วกัน เดี๋ยวพวกนายฟังไม่รู้เรื่อง”
“ไม่เป็นไร สำเนียงตงเป่ยของพวกนายเพราะดี ฉันชอบฟังนะ ถ้านายพอจะมีเวลาว่างช่วยสอนภาษาตงเป่ยให้ฉันหน่อยนะ” ถังเฉิงพูด
ชุยหังพูดต่อ: “ได้สิ ฉันจะสอนอันที่เป็นพื้นฐานที่สุดก่อนเลยนะ ฮุยตูลู”
“ฮะ? อะไรตูนะ” ตอนนี้ถังเฉิงมึนไปแล้ว
คนอื่นๆ ก็เหมือนจะตามกันไม่ทัน เอาแต่หันมองหน้ากัน
ชุยหังพูดต่อ: “ฮุย-ตู-ลู แปลว่าฝุ่นละอองที่ติดตามซอกมุมกำแพง”
“ซอกอะไรนะ” วังเฉียงก็ถามต่อ
ชุยหังจึงอธิบายต่อ: “ก็คือซอกมุมกำแพง”
“ฉันมึนไปหมดแล้ว ภาษาตงเป่ยของพวกนายนี่พูดเล่นอะไรแบบนี้เนี่ย อักษรพวกนี้แม้แต่ในพจนานุกรมคงไม่มีด้วยซ้ำมั้ง”
“มีอยู่แล้วเพียงแต่ว่าค่อนข้างจะใหม่หน่อยเท่านั้น” ชุยหังกล่าว
พวกเขาพูดคุยหัวเราะกันต่ออีกพักหนึ่งก่อนจะพากันเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมากินข้าวที่โรงอาหาร
ทั่วทั้งโรงอาหารอบอวลไปด้วยบรรยากาศของการต้อนรับนักศึกษาใหม่ ด้านบนยังแขวนป้ายต้อนรับเอาไว้ด้วยว่า ‘มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคยินดีต้อนรับเหล่าลูกศิษย์รุ่นใหม่ทั้งหลายเข้ารายงานตัว’
โรงอาหารถูกแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นร้านอาหาร ส่วนชั้นสองก็จะมีจำพวกอาหารว่าง ขนมมากมาย
แต่ว่าอาหารของที่นี่แตกต่างจากทางตงเป่ยโดยสิ้นเชิง ทุกอย่างจะเป็นของพวกบางๆ ยาวๆ และสีอาหารก็ไม่ได้น่าดูสักเท่าไหร่
พวกเขานั่งรวมกันอยู่ในโต๊ะอาหารโต๊ะหนึ่ง นับว่าตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็คุ้นเคยกันบ้างแล้ว
หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยพวกเขาก็เดินออกจากโรงอาหารไปทางห้องเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งเปิดแค่ประตูหน้าต่างเอาไว้บานหนึ่ง หลายต่อหลายคนกำลังเอาชุดฝึกทหารจากตรงนั้นก่อนจะทยอยแยกย้ายกันไป
ชุยหังพูดขึ้น: “พี่น้องทั้งหลาย ลุย!”
คำพูดที่เขาใช้เรียกเหมือนกับพวกโจรกำลังจะบุกเข้าเมืองยังไงอย่างนั้นทำเอาห้าคนที่เหลือต้องหัวเราะขึ้นมาอีก
พอเดินใกล้ถึงหน้าต่างบานนั้นทุกคนต่างกำลังต่อแถว แสดงให้เห็นลำดับการจัดการสั่งซื้อที่ดีมีระเบียบ
พวกเรายึดตามลำดับในหอพักมาเรียงลำดับ ต่อเรียงกันเข้าไปรับชุด
ตอนนี้ยังไม่ทันถึงคิวของชุยหัง แต่เขาได้ยินพวกพี่ใหญ่ต่างก็ต้องบอกส่วนสูงของตัวเอง ประมาณว่าร้อยเจ็ดสิบห้า ร้อยแปดสิบ ร้อยเจ็ดสิบแปด เขาถึงได้เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองดูต่ำต้อยอะไรขนาดนี้
เพราะเขาส่วนสูงไม่ถึงร้อยเจ็ดสิบเลยด้วยซ้ำ แบบนี้ทางเหนือนับว่าเป็นโรคพิการแบบหนึ่งเลยนะ พอมาเทียบกับคนพวกนี้ตัวเองดูตัวเตี้ยเกินไปหรือเปล่านะ
ในที่สุดก็วนมาถึงคิวของเขาแล้ว คนที่อยู่ตรงหน้าถามขึ้น: “สูงเท่าไหร่”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดตอบไปว่า: “ร้อยเจ็ดสิบเอ็ดครับ”
——
[1] ตงเป่ย (东北)แปลว่าตะวันออกเฉียงเหนือ เขตทางเหนือของจีน
[2] I have a dream เป็นบทสุนทรพจน์ที่ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์เคยกล่าวไว้ระหว่างการเดินขบวนครั้งใหญ่ในกรุงวอชิงตัน “ข้าพเจ้ามีความฝันว่า วันหนึ่งประเทศนี้จะลุกขึ้นยืนหยัดและจรรโลงความหมายที่แท้จริงของบทบัญญัติแห่งความเท่าเทียมกันของมนุษย์”
[3] หม่าติง ลู่เต๋อจิน (马丁路德金)คือชื่อทับศัพท์ภาษาจีนของดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง