ตอนที่ 294 แบ่งงาน
หลังจากชุยหังได้ฟังก็ยังมีเขินอายเล็กน้อย
แต่ว่าบริษัทนี้ค่อนข้างน่าสนใจมากทีเดียว
เพียงแต่มองดูคนเหล่านี้แล้วเหมือนจะจำนวนน้อยเกินไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในห้องประชุมนี้มีเพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น หรือว่าบริษัทใหญ่ขนาดนี้จะมีคนมาสัมภาษณ์เพียงไม่กี่คนเองหรอ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในเมื่อมาแล้วคงต้องซื่อสัตย์สักหน่อยและปฏิบัติตามข้อกำหนดของพวกเขา
คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ชุยหังเดินขึ้นไปก่อน จากนั้นแนะนำตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ
หลังจากนั้นทุกคนต่างก็ยึดเอาตามลำดับที่นั่งขึ้นไปแนะนำตัวเอง ชุยหังก็ไม่มีข้อยกเว้น
แต่เขาไม่ได้บอกว่าตอนนี้เขากำลังพักการเรียน พูดเพียงแค่ว่าตนจบการศึกษาระดับมัธยม
เมื่อเขาแนะนำตัวเสร็จ ทุกคนต่างก็คิดว่าภาษาจีนกลางของเขาดีมากและเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนท้องถิ่น ชุยหังรู้ว่าพวกเขาสงสัยจึงจงใจบอกอีกสักหน่อยว่าตนมาจากจี๋หลิน
ผู้สัมภาษณ์ทั้งสองคนดูเหมือนจะเขียนอะไรสักอย่างลงในแบบฟอร์มการลงทะเบียนของเขา ชุยหัง ไม่ได้ให้ความสนใจ
หลังจากทุกคนแนะนำตัวเองเสร็จแล้ว คนที่เพิ่งจะแนะนำบริษัทคนนั้นพูดขึ้นอีกว่า: “ถ้าพวกคุณไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับบริษัท เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะแนะนำความแตกต่างระหว่างพนักงานรับสายโทรศัพท์กับพนักงานหลังการขาย จากนั้นให้พวกคุณเลือกเองว่าอยากไปรับโทรศัพท์หรือว่าหลังการขาย”
บริษัทนี้มีรายการสุขภาพเป็นของตัวเองทางโทรทัศน์แล้วก็รายการวิทยุ ในหลายสิบเมืองทั่วประเทศก็มีร้านค้าเป็นของตัวเองเช่นกัน หลังจากที่หลายคนกำลังดูโทรทัศน์หรือได้ฟังรายการวิทยุแล้ว ก็จะให้ในรายการแจ้งประกาศหมายเลขโทรศัพท์ ในตอนนี้จะเป็นพนักงานรับโทรศัพท์รับผิดชอบต้อนรับลูกค้า ตอบคำถามของพวกเขา จากนั้นโปรโมทผลิตภัณฑ์ให้แก่พวกเขาตามสถานการณ์สุขภาพของพวกเขา
แน่นอนว่าสินค้าของพวกเขาไม่มีวิธีการจัดส่งทางไปรษณีย์ใดๆ โดยจะให้พวกเขามาจัดซื้อด้วยตัวเองตามหน้าร้านค้าที่อยู่ใกล้บ้าน เพียงแค่คนเหล่านี้สามารถทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของตนไว้ ถึงตอนนั้นก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนี้ได้รับการต้อนรับจากพนักงานรับโทรศัพท์คนใดคนหนึ่งแล้วก็จะมีค่าคอมมิชชั่นให้พนักงานรับโทรศัพท์คนนี้
ส่วนพนักงานหลังการขายต้องจัดทำสถิติ โดยเอาข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์และข้อมูลของลูกค้าจากร้านค้าในแต่ละที่กลับมาสร้างเป็นไฟล์เอาไว้ในคอมพิวเตอร์ จากนั้นโทรศัพท์เป็นการเยี่ยมตอบแล้วให้คำแนะนำระยะยาว ทำให้พวกเขากลับมาจัดซื้ออีกครั้ง เมื่อเกิดผลประโยชน์ก็จะมีค่าคอมมิชชั่นให้พวกเขา
ค่าคอมมิชชั่นสำหรับพนักงานรับโทรศัพท์คือสิบสองต่อพัน ส่วนค่าคอมมิชชั่นสำหรับพนักงานหลังการขายจะเป็นหกต่อพัน
กล่าวคือถ้าพวกเขาขายสินค้าในราคาหนึ่งพันหยวนพวกเขาจะได้สิบสองหยวนหรือหกหยวนตามลำดับ
เงินเดือนขั้นต่ำของพนักงานรับโทรศัพท์อยู่ที่หนึ่งพันสองร้อยหยวน เงินเดือนขั้นต่ำของพนักงานหลังการขายอยู่ที่สองพันห้าร้อยหยวนต่อเดือน
โดยทั่วไปแล้วงานของพนักงานหลังการขายอาจจะง่ายกว่าหน่อยแล้วก็ได้เงินเดือนขั้นต่ำได้ง่าย แต่ว่าพนักงานรับสายโทรศัพท์ทุกๆ เดือนจะต้องมีรายได้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
คนๆ นั้นกล่าวว่ามากที่สุดในพนักงานรับสายโทรศัพท์ หนึ่งเดือนได้รับเงินมากกว่าสองหมื่นหยวนต่อเดือน
ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม ตราบใดที่คุณมีความสามารถก็สามารถได้รับการเลื่อนขั้นพิเศษและให้โอกาสทุกคนอย่างแน่นอน ให้สามารถก้าวไปข้างหน้าได้
เมื่อชุยหังได้ฟังก็รู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่ถึงเดือนละหมื่น แต่เดือนละกี่พันหยวนก็เพียงพอให้ตนเองได้ใช้จ่าย แถมยังเหลือไว้ได้ไม่น้อย แล้วยังช่วยที่บ้านประหยัดเงินได้จำนวนไม่น้อยแน่นอนและยังซื้อของขวัญให้หลูจื้อได้ด้วย
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ชุยหังก็รู้สึกว่างานนี้ดูเหมือนว่าจะดูดีไม่น้อยเลยทีเดียว
สุดท้ายเขาเลือกเป็นพนักงานหลังการขาย
เพราะเขายังคงรู้สึกว่าฝีปากของตัวเองไม่ได้ดีมากขนาดนั้น ไม่เป็นพนักงานรับโทรศัพท์ที่ความท้าทายสูงแบบนั้นจะดีกว่า
หลังจากพวกเขาเลือกเสร็จสิ้นแล้ว คนนั้นก็ให้พวกเขากลับไปรอรับการแจ้งผล น่าจะอยู่ระหว่างบ่ายวันจันทร์ถึงเช้าวันอังคารจะแจ้งพวกเขาว่าจะให้เข้ารับการฝึกอบรมเมื่อไหร่
เนื่องจากพวกเขาขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพทั้งหมดและคนที่ซื้อสินค้าของพวกเขาต่างก็เป็นกลุ่มคนมีเงินแต่สุขภาพไม่ค่อยดีโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ดังนั้นระดับความรู้ทางวิชาชีพของพวกเขายังคงมีเงื่อนไขมาก
ชุยหังคิดว่า ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเริ่มสร้างรายได้จากเงินของผู้สูงอายุ?
ตอนที่ 295 ฉันไปดูนายหน่อยเถอะ
เมื่อออกจากบริษัทเขาก็ส่งข้อความให้หลูจื้อทันที
[เมื่อกี้ไปสัมภาษณ์มาแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพูดดีมากอีกทั้งขอบข่ายของบริษัทนี้ก็ใหญ่มากดูเหมือนจะเป็นมาตรฐานมาก แต่ฉันเอาแต่รู้สึกว่าพวกเขาขายผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพให้กับผู้สูงอายุ ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่]
หลูจื้อยังคงไม่ตอบกลับ เขาคงจะยังยุ่งอยู่
สองวันนี้ชุยหังแทบจะเคยชินกับการคุยกับตัวเองคนเดียวแล้ว ไม่ขอให้หลูจื้อตอบสนองกลับใดๆ ขอเพียงเขาปลอดภัยก็พอแล้ว
เขารู้ว่าลักษณะงานของหลูจื้อคือทำเพื่อคนอื่นโดยไม่สนใจตัวเอง
โดยเฉพาะนิสัยอย่างหลูจื้อ หากเรื่องอะไรที่ตนสามารถพอที่จะทำได้ก็จะทำด้วยตัวเอง แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องของตัวเองเขาก็จะหาวิธีช่วยคนอื่นแก้ปัญหา
เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่าซ่งไข่จะโทรเข้ามาหาเขาในเวลานี้
“ครูฝึกซ่ง สวัสดีครับ” ชุยหังรู้ว่าเรื่องระหว่างเขากับหลูจื้อนั้นซ่งไข่ช่วยเหลือเอาไว้มาก ดังนั้นจึงเกรงใจมาก
ซ่งไข่พูด: “นายทำอะไรอยู่”
“เมื้อกี้ไปสัมภาษณ์งานมาแล้วก็จะกลับไปรอผลประกาศ” ชุยหังกล่าว
ดูเหมือนซ่งไข่คงจะไม่ได้ไปเข้าร่วมในภารกิจครั้งนี้ มิฉะนั้นเขาคงจะไม่มีทางไม่รีบไม่ร้อนขนาดนี้
“หลายวันมานี้หลูจื้อได้ติดต่อกับนายบ้างไหม” ซ่งไข่ถาม
ชุยหังพูดขึ้น: “ไม่มีครับ บอกว่าไปปฏิบัติภารกิจไม่ใช่หรอคงจะไม่สะดวกเท่าไหร่แน่นอน”
“นายสามารถคิดแบบนี้ได้ก็โอเคแล้ว ทางฝั่งนั้นของพวกเขาก็ไม่สะดวกที่จะพูดคุยกับโลกภายนอกจริงๆ ฉันนึกว่านายจะคิดมากเสียอีก”
“ไม่มีทางหรอกครับ เดี๋ยวผมก็ชินแล้ว ผ่านเรื่องราวมากมายขนาดนี้แล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจหัวใจของเขาก็ดูไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าไหร่” ชุยหังกล่าว
อันที่จริงคำพูดพวกนี้ของเขาในแง่หนึ่งคือพูดให้ซ่งไข่ฟัง ในอีกแง่หนึ่งก็คือกำลังเตือนสติตัวเอง
เรื่องราวตั้งมากมายเขากับหลูจื้อยังทำให้มันผ่านไปได้ แค่สาเหตุเพราะระยะทางกับงานของหลูจื้อก็ย่อมไม่สามารถส่งผลกระทบอะไรอยู่แล้ว
“นายหาได้งานอะไร” ซ่งไข่ถาม
“บริษัทการขายแห่งหนึ่งครับ ก็รับผิดชอบรับสายโทรศัพท์ ไม่ต้องปรากฏตัวในวงสังคมแถมยังผ่อนคลายด้วยแต่ก็ต้องมีการฝึกอบรมเหมือนกันไม่รู้ว่าตัวเองจะผ่านหรือไม่ผ่าน” ชุยหังกล่าว
“นายฉลาดขนาดนี้ต้องผ่านแน่นอนอยู่แล้ว สบายใจเถอะ” ซ่งไข่กล่าว
ชุยหังไม่ได้พูดอะไรอีกและเงียบขรึมไป
“พรุ่งนี้ฉันหยุดพักจะไปดูนายสักหน่อย นายลองดูว่าที่นั่นยังขาดอะไรพอดีฉันจะได้เอาไปส่งให้เลยด้วย?” ซ่งไข่กล่าว
ชุยหังคิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็ปฏิเสธไป
“ไม่ต้องหรอกครับ เดิมทีพรุ่งนี้ผมอยากจะกลับไปดูทางมหา’ ลัยสักหน่อย กลับมาตั้งหลายวันแล้ว เพื่อนรูมเมทผมรู้ว่าผมกลับมาแล้วแต่ไม่มีเวลาเจอหน้ากันตลอดเลย ถ้าทำงานแล้วก็ยิ่งไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีเวลา” ชุยหังกล่าว
ในช่วงเวลานี้หลูจื้อไม่อยู่ ถ้าให้ซ่งไข่มาหา เขาเอาแต่รู้สึกว่ามันแปลกๆ ไปเล็กน้อย
“อืม ที่พูดมันก็ใช่ งั้นฉันไม่ไปแล้วล่ะ ถ้าหากนายต้องการอะไรก็โทรศัพท์มาหาฉันนะ” ซ่งไข่กล่าว
“ได้ครับ ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณครับครูฝึกซ่ง” ชุยหังกล่าว
ซ่งไข่พูดอย่างช่วยไม่ได้: “ไม่ว่ายังไงเวลานายพูดกับฉันก็ยังสุภาพเกรงใจขนาดนี้ตลอดเลย”
ชุยหังไม่ได้รับคำต่อเพียงแต่หัวเราะอย่างอึดอัด
คำพูดประเภทนี้เขาก็ไม่สามารถรับต่อได้เหมือนกัน
ความรู้สึกของคนบางคน ในเมื่อไม่สามารถตอบสนองกลับได้ก็อย่าให้ความหวังใดๆ เขาทั้งสิ้น
ถึงแม้การขายผ้าเอาหน้ารอดแบบคลุมเครือก็เป็นติดหนี้และหลอกลวงอีกแบบหนึ่ง
แม้ว่าชุยหังจะไม่สามารถพูดอะไรที่ทำให้ความรู้สึกมันสะอาดหมดจดได้ แต่ก็ยังคงไม่อยากรั้งใครแบบไม่ชัดเจนแบบนี้ แล้วก็ไม่มีทางรักษาความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนแบบนี้กับใครเพื่อทำให้คนอื่นคิดมาก
ใครก็ไม่ควรเป็นตัวสำรอง ความรู้สึกไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดมากขนาดนั้น