ตอนที่ 296 โดดเดี่ยว
หลังจากปฏิเสธซ่งไข่ไปแล้ว ชุยหังกลับมาที่บ้าน
ตอนเที่ยง เดิมทีเขาจะอยากทำอาหารง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าพึ่งจะเอาอาหารเข้าไปอบหลูจื้อก็ตอบข้อความกลับมาหาเขา
[หลายวันมานี้ยุ่งมากเลย เมียครับฉันคิดถึงนายแล้ว แค่นายมีความสุขก็พอแล้ว เชื่อฟังนะ ดูแลตัวเองดีๆ]
จากนั้นเขาก็ส่งภาพถ่ายมาอีกหนึ่งรูป
หลูจื้อในรูปถ่ายดำคล้ำขึ้นกว่าเมื่อก่อนนิดหน่อย ถึงแม้จะมองไม่ชัดว่าอยู่ที่ไหน แต่เหมือนจะไม่ได้ผอมลง
โชคดีที่สิ่งที่ชุยหังเป็นกังวลก่อนหน้านี้ต่างไม่ได้เกิดขึ้น
เขากังวลมากจริงๆ ว่าหลูจื้อออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอกแล้วจะกินไม่ดีนอนไม่สบาย ดูแลตัวเองไม่ได้
[นายก็ดูแลตัวเองดีๆ นะจนดำหมดแล้ว] ชุยหังตอบกลับ
[ไม่เป็นไรดำนิดหน่อยทำให้ฟันดูขาวดี ยิ่งไปกว่านั้นเวลายืนอยู่กับนายก็ขับสีผิวของนายให้เด่นขึ้นไม่ดีหรอ จริงไหม] คำพูดของหลูจื้อยังคงมองโลกในแง่ดีมากๆ
ชุยหังคิดไม่ถึงเลยว่าในตอนนี้เขาจะยังมีอารมณ์มาล้อเล่น
เขากำลังจะตอบกลับหลูจื้อเกี่ยวกับเรื่องงาน ทางด้านหลูจื้อก็ส่งข้อความเสียงประโยคหนึ่งมาให้เขาว่า: [พวกเราต้องไปรวมพลอีกแล้ว งั้นไม่คุยแล้วนะ นายรอฉันกลับบ้านนะ]
ชุยหังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็ทำได้เพียงลบอักษรที่ตนพึ่งจะพิมพ์ทิ้งไปที่ละตัวๆ
ชุยหังนั่งอยู่บนเตียงนอน ไม่รู้ทำไมเขาถึงมีความรู้สึกเหมือนหญิงสาวโบราณที่รอสามีทหารกลับมาอยู่ที่บ้าน
ไม่รู้ว่าครั้งนี้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนหลูจื้อถึงจะกลับมา กี่วันหรือกี่สิบวันหรือว่านานกว่านั้น
เรื่องพวกนี้ตนต่างก็ไม่มีทางพูดได้เลย ทำได้เพียงหวังว่าเขาจะกลับมาเร็วๆ เถอะ
ช่างมันละ ไม่ต้องคิดให้มากขนาดนั้นหรอก ดูแลตัวเองให้ดีก่อนดีกว่าอย่าทำให้หลูจื้อมีอะไรที่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังก็พอแล้ว
ตอนนี้ทุกครั้งที่ทำอาหาร ชุยหังต่างก็จะลองใส่เกลือให้น้อยลงทำให้ตนปรับตัวให้คุ้นชินกับอาหารรสจืดทีละนิดๆ เลี่ยงเวลาหลูจื้อกลับมาแล้วตนยังคงทำอาหารเค็มเกินไปอีกเหมือนเดิม
เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่หลูจื้อถึงจะได้เห็น
ชย่าอวี่ชิวส่งข้อความมาให้เขาอีกแล้ว ถามว่าเรื่องที่เขาสัมภาษณ์งานเป็นยังไงบ้าง
ชุยหังตอบเขากลับไปว่า: [ยังต้องฝึกอบรมอีก แต่ว่าต้องรอประกาศ อีกอย่างหลังจากอบรมเสร็จแล้วก็ไม่แน่ว่าจะได้มีตำแหน่ง]
[ไม่เป็นไร อย่าคิดมากขนาดนั้น ฉันคิดว่านายทำได้] ชย่าอวี่ชิวตอบกลับ
[ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ยังไงซะงานก็มีอีก หากที่นี่ไม่ยอมรับข้า ต้องมีสักที่ที่ยอมรับข้า] ชุยหังพูดคุยกับชย่าอวี่ชิวยังคงผ่อนคลายมาก
ในเมืองนี้ ตอนนี้ตนไม่รู้จักใครเลยจริงๆ
นอกจากหลูจื้อแล้ว คนที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ที่ยังสามารถพูดคุยกันได้ก็คือซ่งไข่
แต่ว่าเขาไม่สามารถเป็นฝ่ายติดต่อซ่งไข่ไปก่อน แล้วก็ไม่มีทางให้ซ่งไข่มาถึงที่บ้าน
ดังนั้นก็เป็นชย่าอวี่ชิวกับเพื่อนรูมเมทไม่กี่คนแล้วที่สามารถพูดคุยกันได้
ชุยหังรู้สึกว่าอันที่จริงตนเหมือนกับเข้าสู่สภาพแวดล้อมใหม่ เพียงแต่สภาพแวดล้อมนี้มันช่างโดดเดี่ยวเดียวดายเสียจริงๆ
รอบด้านต่างก็เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า ไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร
คนในท้องถิ่นชุยหังก็ไม่อยากรู้จัก พวกเขาพูดคุยอะไรตนก็ฟังไม่เข้าใจ ดังนั้นปิดประตูแล้วใช้ชีวิตแต่ละวันผ่านไปให้ดีจะดีกว่า
บวกกับตอนแรกตอนที่พวกเขาเลือกบ้านก็ได้เลือกสถานที่ที่คนค่อนข้างน้อย สภาพแวดล้อมค่อนข้างเงียบ
แบบนี้ก็จะสะดวกเวลาที่หลูจื้อเข้าๆ ออกๆ ในตอนช่วงพักร้อน
[นายไปทำอะไรหรอ] ชย่าอวี่ชิวถาม
[ไม่มีอะไรก็งานขายไง]
[อันที่จริงฉันอยากรู้ นายบอกว่านายกลับบ้านไปแล้วไม่ใช่หรอ ทำไมจู่ๆ ถึงกลับมา แล้วกลับมาเพราะใคร ต้องไม่ใช่เพราะฉันอย่างแน่นอน ใช่คนนั้นหรือเปล่า] ชย่าอวี่ชิวถามอีกประโยค
ชุยหังครุ่นคิดสักพัก ไม่ว่ายังไงตนก็ควรจะปิดบังเรื่องนี้กับเขาก่อน
[อืม เพราะคนนั้น แต่ว่าในตอนนี้ไม่สามารถบอกนายได้ว่าเขาเป็นใคร นายรู้แค่ว่ามีคนๆ นี้อยู่ก็พอแล้ว]
ตอนที่ 297 ต่างคนต่างไป
ชย่าอวี่ชิวก็ไม่ได้รบเร้าต่อไปว่าคน ๆ นี้เป็นใคร ในเมื่อชุยหังเองมีความสุขก็พอแล้ว
[นายจะกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะเลี้ยงข้าวนาย] ชย่าอวี่ชิวถามขึ้นอีกครั้ง
ชุยหังรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว: [ให้นายเลี้ยงข้าวฉันอีกไม่ได้หรอก นายเลี้ยงฉันไปตั้งกี่รอบแล้ว]
[งั้นนายก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว ต่อไปนายกลับมาก็ต้องเรียกฉันว่ารุ่นพี่แล้วจะให้นายเลี้ยงข้าวฉันมันเรื่องอะไร? นี่นายจะทำให้ฉันดูน่าเกลียด?] ชย่าอวี่ชิวเมื่อมีเหตุผลพอเพียงก็สามารถพูดได้อย่างเต็มที่
ชุยหังก็ไม่ได้ยืนกรานอะไร ตอบกลับไปเพียงแค่ว่า: [ถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากันเถอะ ฉันดูก่อนว่าวันพรุ่งนี้จะกลับไปได้ไหม]
[โอเค ถ้าพรุ่งนี้นายกลับมาฉันจะไม่ไปไหนแล้วจะรอนายอยู่ที่มหา’ ลัย]
ทั้งสองคนถือว่าตกลงกันดีแล้ว ชุยหังครุ่นคิดว่า ในเมื่อบอกกับชย่าอวี่ชิวไปแล้ว ถ้าไม่บอกพวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่
เขาส่งข้อความไปหาจ้าวหลินว่า: [พี่ใหญ่ วันพรุ่งนี้พวกนายหยุดใช่ไหม]
[หยุดสิ พวกเราห้าคนตกลงกันว่าจะไปเล่นที่ทะเลสาบตะวันออก] จ้าวหลินตอบกลับเขาอย่างรวดเร็ว
[อ้อ งั้นพวกนายเที่ยวเล่นให้สนุกนะ] ชุยหังรู้สึกว่าครั้งนี้ตนค่อนข้างมาไม่ถูกเวลาเลย
จ้าวหลินตอบเขากลับมาอีกว่า: [เหลาอู่ นายมีเรื่องอะไรหรือเปล่า]
[ไม่มีอะไร พวกนายไปเที่ยวเถอะ]
[นายไม่มีเงินแล้วใช่ไหม] จ้าวหลินถามขึ้นมาอีกประโยค
ชุยหังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาคงจะคิดว่าตนอยากจะยืมเงินมั้ง
แต่ว่าเช่าบ้านหลังนี้ก็หลูจื้อเป็นคนจ่ายเงินทั้งหมด เงินพวกนั้นที่ที่บ้านให้ตนไว้ตอนที่ตนออกจากบ้านมาเมื่อปีที่แล้วตนก็ยังใช้ไม่หมด ก่อนหน้านี้หลูจื้อก็มีทิ้งไว้ที่นี่บ้างจำนวนหนึ่ง เพียงพอสำหรับให้เขาใช้จ่ายแล้ว
อีกอย่างตัวเขาก็ไม่ใส่พวกของแบรนด์อะไรอยู่แล้ว ไม่ได้ให้ความสำคัญกับวัตถุชีวิตอะไรด้วย ทำไมพวกเขาถึงคิดว่าตนขาดเงิน?
หรือเพราะตนจากมาช่วงนี้ พวกเขาก็รู้สึกว่าตนไม่ใช่นักศึกษาคนหนึ่งอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นคนในสังคมคนหนึ่งไปแล้ว?
[นายคิดมากไปแล้ว พวกนายไปเที่ยวเถอะ อีกไม่กี่วันฉันก็ต้องทำงานแล้ว]
[งั้นโอเค ค่อยติดต่อกันทีหลังนะ] คำพูดปิดท้ายของจ้าวหลินทำให้ชุยหังรู้สึกว่า นี่ใช่ชาวโลกไร้น้ำใจต่อกัน [1] ในตำนานหรือเปล่านะ
แต่หลังจากคิดในอีกแง่มุมหนึ่ง พวกเขาต่างก็มีชีวิตของตัวเอง เมื่อก่อนตอนที่ตนอาศัยอยู่ในห้อง 426 นั้นอันที่จริงก็นับว่าเป็นการพบปะกันของวัฒนธรรมชีวิตที่แตกต่างกันเท่านั้น
ตอนนี้ตนจากมาแล้วและถึงแม้ว่าจะกลับไปในอนาคตก็จะไม่ได้เข้าไปอยู่ 426 อีกแล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่ไม่มีตนอยู่แต่กลับต้องแสร้งว่ามีตนอยู่ข้างๆ แบบนี้อีกต่อไปแล้ว
ห้องพักสำหรับห้าคนอันที่จริงมันก็ดีมากทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีตนก็เป็นพวกต่างด้าวในห้องพักนี้อยู่แล้ว พวกเขาทุกคนเป็นคนเงียบ ๆ ตนต่างหากที่เป็นคนทำให้บรรยากาศภายในห้องมันเลวร้ายลง เมื่อก่อนคิดว่าพี่ใหญ่กับเหล่าซื่อต่างก็นับว่าเป็นคนรู้งาน แล้วก็นับว่าเข้ากันกับตนได้ไม่เลว แต่ว่าความรู้สึกที่ขาดหายไปนั้นย่อมไม่มีทางเทียบกับความรู้สึกของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันได้
เรื่องแบบนี้ไม่สามารถโทษใครได้
ความรู้สึกมักจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา พวกเขาไม่มีมิตรภาพที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน แล้วก็ไม่เคยมีประสบการณ์ผ่านเรื่องราวสำคัญใหญ่โตพิเศษอะไรด้วยกัน
ต่างจากคนในกองทัพพวกนั้น ทุกครั้งที่ออกไปปฏิบัติภารกิจ พวกเขาต่างก็แบกความอันตรายต่อชีวิตไปด้วย
ดังนั้นความรู้สึกของพวกเขาจึงย่อมที่จะบริสุทธิ์มากยิ่งกว่า
ชุยหังไม่ได้พูดอะไรกับเขาต่อ ทุกคนต่างก็มีหนทางที่แตกต่างกันต้องเดิน ใครก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าคนที่อยู่ข้างกายจะสามารถอยู่กับตนไปได้ตลอดชีวิต
ระหว่างทางมีบางคนถูกทิ้ง มีบางคนเดินหายไปต่างก็เป็นเรื่องปกติมาก
ชีวิตยังต้องดำเนินไปตามปกติ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าดวงอาทิตย์จะไม่มีวันขึ้นอีกแล้วเพียงเพื่อเรื่องนี้
ชุยหังเป็นคนไม่ลืมมิตรภาพเก่าๆ แต่คนอื่นๆ ไม่เป็นเหมือนเขา
บางคนเดินๆ อยู่ก็แยกย้ายต่างคนต่างไปแล้ว
——
[1] ชาวโลกไร้น้ำใจต่อกัน ‘ 世 态炎凉 ’ เป็นสุภาษิตหนึ่งที่อธิบายถึงสภาพของโลกที่จะประจบและแอบอิงผู้มีอิทธิพล ตอนที่มีอำนาจก็จะมีคนที่ยินดีเข้ามาใกล้ชิดและเมื่อสูญเสียอำนาจพวกเขาจะแปลกแยกและไม่แยแส