ตอนที่ 302 ละลายความโกรธให้เป็นความอยากอาหาร
เจ้าของร้านรีบพูดขึ้นมา: “ไม่ต้องแล้ว นับที่ฉัน นับที่ฉัน”
แต่ว่าชุยหังกลับไม่คิดจะปล่อยดอกไม้คณะไปพลางพูดว่า: “ทำไม หน้าใหญ่ขนาดนั้นเลย? จะให้เจ้าของร้านเลี้ยงจริงๆหรอ ต่อไปถ้าไม่มีเงินกินข้าวก็อย่าออกมา ขายหน้าขายตา”
ดอกไม้คณะใบหน้าแดงกร่ำก่อนจะหยิบแบงค์ยี่สิบหยวนออกมาจากกระเป๋าหนึ่งใบโยนไปให้เจ้าของร้านพร้อมพูดว่า: “ไม่ต้องทอนแล้ว”
จากนั้นก็วิ่งอย่างบ้าคลั่งออกไป
ถ้าเธอยังอยู่ต่อไป เธอเดาว่าคงจะถูกชุยหังด่าจนร้องไห้เหมือนกัน
“เถ้าแก่ ขอโทษด้วยนะครับ เพิ่มเกี๊ยวให้ผมอีกชุดหนึ่งด่าจนเหนื่อยแล้ว” ชุยหังมองแผ่นหลังของพวกเขาที่ห่างออกไปไกลก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมา
หลังจากพูดจบเขาก็นั่งลงตรงนั้น พลางหอบหายใจ
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้เขาโกรธมากจริงๆ
ชย่าอวี่ชิวพูดขึ้น: “ขนาดนั้นเชียวหรอ ทำไมถึงได้โกรธขนาดนี้?”
“ฉันก็แค่ทนดูพฤติกรรมน่าระอานั่นของพวกเขาไม่ได้ ฉันอยากเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น มันมีความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาสักเส้นขนไหม คุณธรรมแย่แบบนั้นยังคิดจะมาก้าวก่ายฉัน ยังอยากจะหัวเราะเยาะฉัน มันถึงคราวพวกเขาไหม” ชุยหังกล่าว
เถ้าแก่รีบยื่นซุปเกี๊ยวสองชามส่งมาให้ จากนั้นก็พูดว่า: “เจ้าน้องคนนี้อารมณ์รุนแรงเหมือนกันนะ”
ชุยหังพูดขึ้น: “ไม่ใช่ผมอารมณ์รุนแรงหรอกครับ ประเด็นคือคนประเภทนี้หาเรื่องโดนด่า”
“เอาล่ะ อย่าไปสนใจเลยว่าพวกเขาจะพูดยังไง ทั้งหมดต่างก็เป็นนักศึกษาจะมีความเกลียดชังมากแค่ไหนกัน” เถ้าแก่พูดแล้วเดินไปทำงานต่อ
ชุยหังก็ไม่ได้ตั้งใจอยากจะพูดอะไรกับเจ้าของร้านอีก ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีทางอธิบายปัญหารสนิยมทางเพศอะไรทั้งนั้น
อย่างไรเสียเมื่อครู่นี้ตนก็ยอมรับไปอย่างไม่เสแสร้งแล้ว เขาจะคิดยังไงมันเป็นปัญหาของเขา
ตนมาที่นี่ก็เพียงแค่บริโภค แล้วก็กินอาหารรสชาติบ้านเกิดแท้ๆก็เท่านั้น
ส่วนเรื่องอื่นๆตราบใดที่มันไม่ได้สะกิดใจเขาจริงๆ เขาก็ไม่อยากสนใจหรอก
แม้ว่าเถ้าแก่จะพูดคุยหัวเราะกับเขาและก็ไม่ได้เลือกปฏิบัติกับตน แต่ตนจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจริงใจ?
เถ้าแก่ทำอาชีพนี้ ทุกวันต้องต้อนรับส่งลูกค้าอยู่ทุกคนจะสามารถให้ความสำคัญคนได้สักกี่คน?
ดังนั้นเขาไม่อยากพูดมากเกินไป พูดมากไปแล้วก็มีแต่จะทำให้เหนื่อยใจ
หลังจากเกี๊ยวมาเสิร์ฟแล้ว ชย่าอวี่ชิวยังเป็นกังวลอยู่นิดหน่อยว่าชุยหังจะสามารถกินได้หมดจริงหรือเปล่า
แต่เมื่อดูจากอารมณ์นั่นของชุยหังแล้ว ดูเหมือนจะละลายความโกรธให้เป็นความอยากอาหารไปแล้ว
“นายนี่กินเก่งจริงๆนะ ปกติเวลาฉันโกรธจะกินอะไรไม่ลงเลย” ชย่าอวี่ชิวกล่าว
ชุยหังพูดขึ้นว่า: “ฉันแบ่งประเภทคน ถ้าฉันโกรธกับคนที่เป็นคนใกล้ชิดถึงจะกินอะไรไม่ลง แต่คนที่หาเรื่องโดนด่าแบบนี้มายั่วยุฉัน ฉันถึงไม่มีทางทำร้ายตัวเองไง”
ชย่าอวี่ชิวถูกทฤษฎีของชุยหังเข้าครอบงำแล้ว ผู้หญิงสองคนเมื่อครู่นี้เป็นฝ่ายผิดก่อนจริงๆ
ไม่ว่าชุยหังจะมีรสนิยมทางเพศยังไงมันเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา?
แต่ว่าทัศนคติของพวกเขา อันที่จริงก็เป็นตัวแทนของคนหลายคน
“นายคิดว่าพวกเขากลับไปแล้วจะบอกกับคนอื่นไหมว่าเจอนายแล้ว?” ชย่าอวี่ชิวถาม
ชุยหังพูดขึ้น: “พูดอะไร บอกว่าเจอฉันแต่ถูกฉันด่าจนลืมเช็คบิลมันน่าอับอายไม่พอหรอ”
“ทักษะในการด่าคนของนายเนี่ยเรียนมาจากใครหรอ”
“”ฉันก็ไม่ได้ด่าคนนะ ฉันเป็นคนที่มีอารยธรรมมากมาตลอด นายเห็นฉันเคยด่านายไหม” ชุยหังแสร้งทำเป็นว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทางเหมือนตัวเองบริสุทธิ์มาก
ชย่าอวี่ชิวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำได้เพียงแค่ยิ้มๆ
ตอนที่เถ้าแก่ยกเกี๊ยวที่ชุยหังพึ่งจะสั่งเพิ่มภายหลังมาเสิร์ฟนั้น ชุยหังก็ยังคงกินอยู่อย่างเดิมไม่หยุด
เมื่อครู่นี้ด่าคนด่าไปตั้งหลายประโยคขนาดนั้น ชุยหังยังรู้สึกจริงๆว่าตนเสียแรงไปไม่น้อยเลยจริงๆ
หลายวันนี้ไม่ว่าจะเป็นจัดการแก้ไขเรื่องบนเวยป๋อหรือออกมาเจอเพื่อนทำไมถึงมักต้องด่าคนอยู่เสมอเลย?
แต่ว่าสิ่งนี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคืออย่าให้ความสุขต้องสูญเสียไปเพื่อคนที่ไม่คู่ควร ไม่ใช่ว่าพวกเขาแค่ไม่อยากให้ตนมีความสุข แล้วก็อยากให้ตนมีชีวิตที่น่าเวทนาสักหน่อยหรอ?
งั้นก็ต้องขอโทษทีเพราะตนอยากจะคืนตอนจบแบบนี้ให้พวกเขาจริงๆ
แค่คำพูดที่ตนด่าทอพวกเขามันก็เพียงพอให้พวกเขาดื่มด่ำไปได้สักหม้อแล้ว
ต่อแต่นี้ไปหากมีใครมารังแกเขา เขาก็จะไม่มีทางทนแน่นอน
ตอนที่ 303 หอกระเรียนเหลือง
“พวกเราสองคนอย่าเดินกวัดแกว่งอยู่บริเวณใกล้มหา’ลัยเลย อีกเดี๋ยวนายได้ด่ากับคนอื่นขึ้นมาอีกมันจะแย่เอา” ชย่าอวี่ชิวกล่าว
เดิมทีชุยหังอยากจะบอกว่าเขาไม่สนใจ ยังไงซะที่ตนเพิ่งจะด่าไปเมื่อครู่นี้ก็สะใจมากทีเดียว
แต่ต่อมาภายหลังคิดๆดูแล้ว ถ้าหากบังเอิญเจอคนคณะเดียวกันกับชย่าอวี่ชิว ทำให้พวกเขาเข้าใจผิดชย่าอวี่ชิวว่าเป็นคนประเภทนี้เหมือนกัน แล้วหลังจากกลับไปก็วิพากษ์วิจารณ์ลับหลังชย่าอวี่ชิวขึ้นมา ตนคงจะได้รู้สึกผิดมากจริงๆ
“ได้ พวกเราไปที่ไหนกันดี” ชุยหังเอ่ยถาม
“ทะเลสาบตะวันออกนายเคยไปหรือยัง” ชย่าอวี่ชิวถาม
ชุยหังเกือบจะพ่นน้ำซุปเกี๊ยวที่กำลังดื่มอยู่ออกมา
ทะเลสาบตะวันออก?
ถ้าหากพวกเขาไปจริงๆแล้วบังเอิญเจอกับพวกเพื่อนรูมเมทของเขาคงจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ไหม
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ไม่อยากเจอพวกเขา แต่ตอนที่อยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยเมื่อครู่นี้ก็ไม่แม้แต่จะเรียกพวกเขา แล้วยังรู้อีกว่าพวกเขาจะไปทะเลสาบตะวันออกตนก็ไม่ได้พูดอะไร ถ้าไปตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“สถานที่แบบนั้นมีอะไรน่าดู พวกเราไปหอกระเรียนเหลืองเถอะ” ชุยหังกล่าว
“อืม ก็ได้ ยังไงซะนายก็เป็นคนตัดสินใจฉันรับผิดชอบอยู่กับนาย”
ชุยหังกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วพูดว่า: “อย่าพูดเหมือนกับว่านายไม่ได้รับความเป็นธรรมมากยังไงอย่างนั้น มหา’ลัยนี้ฉันก็เหมือนจะกลับมาหานายนี่แหละ”
“ก็ได้ ฉันรู้สึกเป็นเกียรติโอเคยัง ถ้าฉันไม่รู้สึกเป็นเกียรติเกรงว่าอีกเดี๋ยวจะหาเรื่องโดนด่าเอา” ชย่าอวี่ชิวว่า
ชุยหังยิ้มแล้วพูดว่า: “นายลืมไปเถอะ ไม่มีอะไรฉันจะด่านายทำไมล่ะ นายไม่ได้ยั่วโมโหฉันซะหน่อย”
หลังจากทั้งสองคนกินเกี๊ยวเสร็จและจ่ายเงินเรียบร้อยก็นั่งรถไปที่หอกระเรียนเหลือง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชุยหังมาที่นี่แล้ว ครั้งก่อนเขาเคยมาที่นี่ด้วยกันกับพวกเพื่อนรูมเมทของเขา
มาคราวนี้ความรู้สึกแตกต่างกัน
“ไปดูบทกวีนั้นกันเถอะ” ชย่าอวี่ชิวกล่าว
ชุยหังยังไม่ได้ตอบสนองกลับ ก่อนจะพูดขึ้นว่า: “บทกวีอะไร”
“ต้องเป็นตอนที่มีคนด่านาย การตอบสนองของนายถึงจะรวดเร็วใช่ไหม” ชย่าอวี่ชิวถามชุยหังอย่างติดตลก
ชุยหังแผ่มือออกแล้วพูดว่า: “ตอนที่ด่าคนเลือดลมมันพุ่งพล่าน คำพูดพวกนั้นมันก็ออกมาของมันเองฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ฮ่าๆ ก็บทกวีที่เกี่ยวกับหอกระเรียนเหลืองที่เคยเรียนเมื่อตอนมัธยมต้นไง ของชุยเฮ่า[1]” ชย่าอวี่ชิวกล่าว
ชุยหังพูดขึ้น: “จริงด้วยสิ บทกวีของบ้านเมืองเรายังก็ควรจะไปดู ไปมองด้วยความเคารพศรัทธาเสียหน่อย ไม่แน่อาจจะให้แรงบันดาลใจฉันได้สักหน่อย”
“นายอย่าเอาหน้าตัวเองไปแนบทองเลย อีกคนเขียนบทกวี อีกคนด่าทอคนอื่นมันไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันตั้งแต่แรกแล้ว…” ชย่าอวี่ชิวบ่นพึมพำ
ชุยหังเพียงแค่ยิ้มๆ ยังไงซะสำหรับการล้อเล่นขำๆกันระหว่างเพื่อนแบบนี้ความสามารถในการยอมรับของเขานับว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง
ฟ้าโปร่ง แม่น้ำ ต้นไม้ เมืองฮั่นหยางมองเห็นได้อย่างแจ่มชัด พุ่มหญ้าหอมที่เกาะนกแก้วเขียวชอุ่ม พระอาทิตย์ตกลงดิน บ้านเกิดเมืองนอนอยู่แห่งหนใด หมอก คลื่นบนผืนน้ำทำให้คนโศกเศร้าใจ
มองไกลออกไปจากหอกระเรียนเหลือง มองแม่น้ำแยงซีเกียงที่อยู่ห่างไกลออกไปมันกลับเป็นเหมือนภาพอีกฉากหนึ่งจริงๆ
เมื่อครั้งก่อนตอนที่มากับเพื่อนรูมเมทพวกเขาแค่เดินอยู่บริเวณรอบๆภายนอก ไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าไป
แค่ว่าครั้งนี้มีเพียงแค่พวกเขาสองคน นอกจากนี้ยังเป็นชย่าอวี่ชิวที่ประสบเรื่องราวบางอย่างมาก่อนชุยหังก็ไม่อยากตระหนี่มากเกินไป
ดังนั้นจึงถือโอกาสตอนที่ชย่าอวี่ชิวไม่ทันสังเกตเขาจึงซื้อตั๋วเข้าไปก่อนล่วงหน้า
ในความเป็นจริงแล้วระหว่างเพื่อนไม่สนใจหรอกว่าจะใช้เงินไปเพื่ออีกฝ่ายไปแล้วเท่าไหร่ แต่ดูตรงที่ว่ามีน้ำจิตน้ำใจไหม
ชุยหังยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดในเมืองเอ้อมองวิวทัศน์ของเมืองเอ้อและรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กมากอีกครั้ง
มองคลื่นน้ำแยงซีเกียงที่กำลังซัดสาดดูเหมือนว่าความกังวลรำคาญใจของเขาจะถูกแม่น้ำพัดพาเอาไปด้วยแล้ว
“ตรงนั้นทำไมมีแม่กุญแจมากมายขนาดนั้น” ชย่าอวี่ชิวถามขึ้นมาหนึ่งประโยค
ชุยหังมองไปตามนิ้วมือของชย่าอวี่ชิวที่กำลังชี้ไปอีกด้านหนึ่ง แม่กุญแจถูกคล้องไว้บนสายรัดสีแดงแถวใหญ่ แขวนเอาไว้ตรงนั้น
“ไปดูหน่อยก็รู้แล้วไม่ใช่หรอ” ชุยหังกล่าว
จากนั้นทั้งสองคนก็ไปถึงที่นั่นและพบว่ามีคู่รักจำนวนมากใส่ชื่อของตัวเองเอาไว้จากนั้นล็อคใส่ไว้ด้วยกันแล้วแขวนไว้ อันนี้ก็เก็บเงินเช่นกัน
ชุยหังพูดขึ้นว่า: “ประสาท มีเงินแล้วเอามาใช้ในทางแบบนี้ เผื่อในอนาคตเลิกกันไปแล้วพาคนใหม่อีกคนมา ไม่ต้องไปซื้อกุญแจมาปลดแม่กุญแจอันก่อนออกก่อนเลยหรือไง”
[1] ชุยเฮ่า (崔颢) เป็นชาวเปี้ยนโจว ปัจจุบันคือเมืองไคเฟิง มณฑลเหอหนาน ตอนอายุมากชุยเฮ่ามาเที่ยวที่อู่ซัง ได้มาเยือนหอกระเรียนเหลือง ประทับใจความงดงามของหอและทิวทัศน์ของแม่น้ำแยงซีเกียงในบริเวณนี้ จึงเขียนบทกวี ‘หอกระเรียนเหลือง’ ขึ้นจนกวีสมัยราชวงศ์ซ่งยกย่องว่าเป็นซือ ๗ บทที่ดีเด่นที่สุดของราชวงศ์ถัง