ชุดฝึกทหารมีทั้งหมดสามชุดด้วยกัน มีกางเกงสีเขียวทหาร เสื้อแขนสั้นลายพราง พร้อมเสื้อคลุมลายทหารสีฟ้าครามอีกหนึ่งตัว
ชุยหังไม่อยากได้หมวกเบเรต์สีเขียวทหารอันนี้มากที่สุด ลองจินตนาการภาพทุกคนๆ ยืนสวมหมวกสีเขียว [1] กันเต็มสนามกีฬา ภาพนั้นช่างเป็นอะไรที่รุนแรงเสียจริงๆ เลย
เขาเอาหมวกยัดเก็บเอาไว้ในถุง แล้วเดินกลับหอพักพร้อมกับทุกคน
หลังจากที่ได้เสื้อผ้ามาแล้วสิ่งที่จะทำต่อก็ง่ายแล้ว นั่นก็คือเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ถ่ายรูปกัน
แถบห้องพักของเขาหลายห้องต่างก็ส่งเสียงครึกครื้นซึ่งทุกคนน่าจะกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
หลังจากชุยหังเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วมีเพียงสิ่งเดียวที่รู้สึกได้คือ ขากางเกงมันยาวเกินไป อีกอย่าง เป้ากางเกงก็อยู่ต่ำมากด้วย
ถ้าหากออกแรงดึงกางเกงขึ้นสูงกว่านี้เอวกางเกงมันก็จะเลื่อนขึ้นมาคลุมท้องเขาจนมิดแน่
ถ้ารู้เร็วกว่านี้คงพูดโกหกเรื่องส่วนสูงของตัวเองหรอก ตัวเองสูง ร้อยหกสิบแปด มาใส่กางเกงของคนสูงร้อยเจ็ดสิบเอ็ด แบบนี้อันที่จริงมันก็ต่างกันพอสมควรอยู่
แต่ว่าพวกเขาไม่ได้พูดอะไร ก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน
“เหล่าต้า เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วทำอะไรต่ออะ” ถังเฉิงถาม
จ้าวหลินหยิบหมวกขึ้นสวมไว้บนหัวอย่างถูกระเบียบ ซึ่งมันดึงดูดสายตาประหลาดๆ ของชุยหังให้มอง พลางพูดว่า: “ตอนบ่ายสองพวกเราต้องลงไปรวมตัวที่สนามกีฬา”
“ไปทำไม” ชุยหังถาม
“กิจกรรมประชุมพบปะผู้คุมฝึกสอน ให้พวกเราได้เจอหน้าผู้คุมฝึกสอนก่อนไง”
“ทำไมเร็วจัง” วังเฉียงรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ทันได้ทำความคุ้นเคยกับชีวิตสบายๆ ที่นี่เลยแต่ต้องเริ่มฝึกทหารซะแล้ว ถึงกับมึนไปเลย
ด้านชุยหังเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้ เดิมคิดว่ายังพอมีเวลาอีกวันสองวันถึงจะเริ่มการประชุม คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ดูเหมือนว่ามันไม่มีเวลานี้ให้พวกเขาตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ
“รีบเริ่มฝึกจะได้รีบๆ จบไปไง ไม่อย่างนั้นจะต้องยืดเวลาไปถึงเมื่อไหร่” จ้าวหลินพูด
ชุยหางตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะพูดว่า: “เหล่าต้า พี่ก็มีท่าทีของความเป็นพี่ใหญ่อยู่จริงๆ นะเนี่ย ช่างแตกต่างจริงๆ เลยนะ”
“เชรด เหลาอู่ นายระวังนะเขาว่าคนที่เพิ่งเข้ามารับงานใหม่มักไฟแรงเดี๋ยวฉันจะได้เผานายก่อนคนแรก”
“ลืมมันไปซะเถอะ เหล่าต้าผมว่าพี่ดูแลหมวกเขียวบนหัวพี่ให้ดีๆ เถอะ” ชุยหังพูดจบแล้วก็รีบหามุมหลบทันที
แต่ด้านจ้าวหลินกลับพูดอย่างไม่แคร์อะไรว่า: “ยังไงซะทุกคนก็ต้องใส่อยู่ดี ฉันจะคอยดูว่าถึงตอนนั้นพวกนายจะใส่ไม่ใส่”
หลังพูดจบก็หันไปส่องกระจกเล็กๆ ที่อยู่ตรงข้างหัวเตียงของตัวเอง แล้วจัดการคอเสื้อให้เป็นระเบียบ จากนั้นจัดเน็คไทสีเขียวเข้มให้เข้าที่ แล้วจัดระเบียบหมวกบนหัวอีกรอบ
“มหา’ ลัยนี้ก็ท่าจะบ้า ทำไมแค่ฝึกทหารต้องสวมหมวกเขียวด้วย แบบนี้มันก็เหมือนแอบแช่งกันไม่ใช่หรอ ถ้าเกิดมีแฟนก็คงต้องเลิกกับแฟนอะไรแบบนั้นหรอ” ถังเฉิงพูด
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาชุยหังถึงกับต้องใจกระตุกอย่างแรง รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
นึกถึงหลิวเฮ่อที่อยู่เมืองบ้านเกิดของตัวเอง หลังจากวันนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีกเลย
บางทีอาจเป็นเพราะระยะห่างทำให้ความรู้สึกของทั้งสองคนเปลี่ยนเป็นจืดจางว่างเปล่าไปแล้วจริงๆ สินะ
ยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนเป็นความสัมพันธ์แบบเพลโตนิค (แบบรักบริสุทธิ์) [2] มาเป็นเวลานานด้วยแล้ว หลายคนต่างบอกว่าในวงการนี้ หากไม่มีการผูกมัดทางเพศมันก็ยากที่จะมั่นคง
“เหลาอู่ เป็นอะไรไป คิดถึงแฟนสาวหรอ” ถังเฉิงเหลือบเห็นสีหน้าของชุยหังที่ดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่จึงถามขึ้น
ชุยหางส่ายหน้าไปมาและตอบ: “แฟนที่ไหนกันเล่า ขนาดตัวเองยังเลี้ยงไม่ได้เลย”
“จริงหรือเปล่าเนี่ย ไม่ใช่ว่ากันว่าคนตงเป่ยมักจะมีความรักเร็วไม่ใช่หรอ” ถังเฉิงทำท่าทางเหมือนไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่
“ที่นายรู้มีแต่เรื่องที่ได้ยินมา อันที่จริงเด็กตงเป่ยส่วนใหญ่ต่างก็เป็นเด็กไร้เดียงสาเหมือนฉันทั้งนั้นแหละ” ชุยหังพูด
“งั้นช่างมันเถอะ อย่างนายยังเรียกไร้เดียงสาหรอ จากที่ฉันดูในห้องเราก็มีแต่นายนั่นแหละที่ดูไม่ไร้เดียงสาน่ะ” ถังเฉิงพูดเยาะเขา
ชุยหังพูดต่อ: “พี่สี่พูดแบบนี้นับว่าเป็นการทำลายชื่อเสียงนะ ฉันจะไปหาทนายของฉันมาฟ้องร้องนาย ระวังฉันจะร้องค่าเสียหายจากนาย ฉันจะขู่กรรโชกจนแม้แต่กางเกงในก็ไม่มีเหลือให้ใส่เลยนะนายเชื่อไม่เชื่อ”
——
[1] สวมหมวกเขียว (戴绿帽子)มีความหมายแฝงในสำนวนจีน แปลอีกความหมายคือการถูกสวมเขา
[2] รักบริสุทธ์หรือเพลโตนิคเลิฟ (柏拉图的关系)กล่าวถึงความรักที่ไม่มีเรื่องทางเพศมาเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ทั้งบุคคลที่อายุต่างกัน และบุคคลที่เพศต่างกัน หรือเพศเดียวกัน