คนขับรถเห็นท่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีแล้วก็กำลังจะขับรถหลบหนี แต่ในจังหวะนั้นเองชุยหังก็รีบพุ่งเข้าไปเปิดท้ายรถ วินาทีที่รถสตาร์ทขึ้นและกำลังจะออกตัวนั้นเองเขาก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ดึงเอากระเป๋าเดินทางของตัวเองลงมาจนหมด
เสียงกระเป๋าหล่นกระทบลงบนพื้น ในตอนนั้นเองชุยหังก็รีบจำหมายเลขทะเบียนรถคันนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาก็ลากกระเป๋าเดินมาที่รถทหารคันนั้นอีกครั้งก่อนจะเคาะกระจกรถเบาๆ
กระจกรถหนาทึบค่อยๆ เลื่อนลงช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาคมเข้มที่อยู่ภายในรถ
“นายอยากตายหรือไง” คนๆ นั้นโพล่งประโยคนี้ออกมาใส่หัวใส่หน้าเพียงประโยคเดียว
ชุยหังตอบกลับ: “คนเมื่อกี้เป็นพวกโจรขับรถหลอกขโมยของ ถ้าผมไม่ลงจากรถคันนั้นได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ เลย”
ชายคนนั้นกลับพูดว่า: “ดูจากความสามารถของนายแล้วฉันกลับคิดว่าคนที่เกิดปัญหาใหญ่น่ะน่าจะเป็นเขามากกว่า”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นรถทหารเขาจะยอมไปง่ายๆ แบบนี้หรอ มันต้องลงจากรถมาขู่เข็ญเอาเงินจากผมแน่ ไม่แน่อาจจะต่อยตีผมด้วยซ้ำ” ชุยหังตอบกลับ
เรื่องแบบนี้ในโทรทัศน์มีให้เห็นออกจะบ่อยและแน่นอนว่าเขาเองก็จำใส่ใจเลยด้วย
“เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็รีบไปได้แล้ว” พี่ทหารบนรถพูด
ชุยหังนิ่งตะลึงไป นี่เขาจะไม่พาตัวเองกลับไปส่งหรอ
“แล้วถ้าเกิดว่าอีกเดี๋ยวเขากลับมาล่ะ” เขาพูดเป็นนัยๆ
“นายก็เอาเงินค่ารถให้เขาไปก็หมดเรื่องแล้ว” พี่ทหารพูดพลางขำออกมาอีกด้วย แต่เหตุการณ์เมื่อกี้นี้ยังทำเขาหวาดกลัวอยู่เลยนะ
“ไม่มีทาง ผมไม่แจ้งตำรวจก็ดีเท่าไหร่แล้ว” ชุยหังว่า
“นายเก่งขนาดนี้แล้วยังจะขวางรถอยู่อีกทำไม” พี่ทหารถามกลับ
ชุยหังตอนนี้เริ่มจะเฉาลงแล้ว : “ผมเก่งอะไรซะที่ไหนกันเล่า ถ้าผมเก่งเมื่อกี้คงจะไม่ยืมรถทหารคันนี้ของพี่มาข่มขู่เขาหรอก”
“ในเมื่อข่มขู่เสร็จแล้ว ฉันไปได้แล้วใช่ไหม” พี่ทหารถามต่อ
ชุยหังรีบพูดขึ้นมาอย่างร้อนรน : “แล้วที่นี่มันที่ไหนกันล่ะ ผมถูกทิ้งไว้ที่นี่ก็หามหา’ ลัยไม่เจอแล้ว”
“ที่นี่คือเมืองเอ้อ” พี่ทหารหัวเราะออกมาจนเผยให้เห็นฟันขาวๆ
ชุยหังแอบคิดในใจว่า ไร้สาระชะมัด แต่แน่นอนว่าไม่สามารถพูดออกมาตรงๆ ได้
ถนนสายนี้แม้แต่รถผ่านไปผ่านมาก็น้อยมาก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนถึงจะเรียกรถให้พากลับไปส่งที่มหาวิทยาลัยได้
“นายเรียนที่มหา’ ลัยไหนล่ะ” พี่ทหารถาม
ชุยหังพูดอย่างรวดเร็ว: “มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิค”
นัยน์ตาของพี่ทหารมีแสงแปลกๆ พลันสว่างออกมาก่อนจะพูดว่า : “ไม่ใช่ทางผ่าน เอาแบบนี้แล้วกัน นายเดินต่อไปตามถนนสายนี้อีกประมาณห้านาทีก็จะเจอสี่แยก แถวนั้นมีรถผ่านไปมาเยอะ”
ชุยหังพยายามอดทนอดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ก่อนจะพูดเพียงว่า : “อ้อ”
จากนั้นก็เดินลากกระเป๋าเทอะทะเดินไปตามทิศทางที่พี่ทหารพึ่งจะบอก
“นายจะไม่ขอบคุณฉันหน่อยหรอ” พี่ทหารจู่ๆ ก็ยืนหน้าออกมาถาม
“อืม ขอบคุณมาก ผมขอบคุณแทนทุกคนในครอบครัวของผมด้วย ขอบคุณหัวหน้าของพี่ที่อบรมสั่งสอนลูกน้องทหารได้ออกมาเป็นคนดีขนาดนี้” ชุยหังพูดด้วยความโกรธเคืองอารมณ์ไม่ดี
แค่นึกถึงว่าตัวเองต้องเดินต่อไปตามถนนนี้จนถึงสี่แยก แล้วยังนั่งรอรถที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ แค่คิดก็รู้สึกคับคั่งใจแล้ว
พี่ทหารแค่ได้ฟังก็หลุดขำออกมาแล้ว เจ้าเด็กคนนี้น่าสนใจ
“ครั้งหน้าอย่ามาขวางหน้ารถแบบนี้อีกนะ เดี๋ยวจะเกิดเรื่องเอาง่ายๆ” เขายังคงตะโกนตามหลังชุยหังมา
ชุยหังแค่ได้ยินก็อารมณ์เสียแล้ว : “โอเค ครั้งหน้าต่อให้ต้องถูกขังก็จะไม่มีทางวิ่งขวางหน้ารถแบบนี้อีกแล้ว โดยเฉพาะรถทหารแบบพี่”
พี่ทหารได้ยินก็รู้สึกว่า เจ้าเด็กนี่ไม่รู้จักซาบซึ้งในพระคุณเอาเสียเลย แต่ว่าตนเองก็มีเรื่องสำคัญจริงๆ ล่าช้าไม่ได้เด็ดขาด
ช่างเถอะ ในเมื่ออีกไม่กี่วันตนก็อาจจะมีโอกาสได้เจอเขาอีก