ตอนที่ 28 นึกว่าจะกลั้นไม่ร้องไห้ได้
เดินไปรอบๆ มหา’ ลัยกับชย่าอวี่ชิวอยู่นานจนจะครบรอบ กว่าชุยหังจะกลับถึงห้องพัก
“เหลาอู่ไปทำอะไรมาอะ” จ้าวหลินลืมตาขึ้นมาถาม
“ไม่มีอะไรหรอกไปเดินเล่นกับเพื่อนจากบ้านเดียวกันมาน่ะ” ชุยหังตอบกลับเสียงเบา
“งีบสักหน่อยเถอะ อากาศร้อนมากเลย พรุ่งนี้ก็ไม่มีทางโชคดีแบบนี้แล้ว” จ้าวหลินพูดจบก็หลับตาลงนอนต่อ
ชุยหังเองก็ไม่อยากทำให้คนที่เหลือตื่นเลยถอดเสื้อออกจากนั้นค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนเตียงนอนอย่างเบาไม้เบามือ เปิดพัดลมเบาๆ แล้วนอนลงไป
ภายในใจมีเรื่องอยู่เยอะแยะมากมาย ชุยหังก็ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน
ตอนที่ตื่นขึ้นมาแสงแดดก็ไม่ได้แรงเหมือนอย่างเดิมแล้ว
ชุยหังมองคนอื่นๆ ในห้องนอน ตอนนี้ทุกคนตื่นนอนกันหมดแล้ว บางคนเล่นโทรศัพท์ บางคนนั่งเอียงหันมองออกไปข้างนอก
“กี่โมงแล้ว” เขาขยี้ตาไปมาเบาๆ อย่างงัวเงียพลางถาม
“ใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว แต่ว่าที่นี่กลางวันยาว ฟ้าก็เลยยังดูไม่มืด” ครั้งนี้จังเผิงเป็นคนพูดตอบคำถามชุยหังขึ้นมาเอง
ชุยหังพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจอะไร: “ไปเถอะ พวกเราควรจะไปกินข้าวกันได้แล้ว”
“นายนี่มันเอาแต่กินจริงๆ เลยนะ นอกจากนอนแล้วก็รู้จักแต่กิน” จ้าวหลินอดไม่ได้ที่จะพูดแซะ
ชุยหังพูด: “เหล่าต้า พี่ต้องขนาดนี้เลยหรอ ก็ตอนนี้มันถึงเวลากินข้าวแล้วจริงๆ นี่นา…”
“เอาเถอะ นายพูดมีเหตุผล ฉันก็หิวแล้วเหมือนกัน” จ้าวหลินพูด
ชุยหังพยายามอดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะพูดแขวะออกไปเอาไว้ในใจ จากนั้นนอนฟุบกับเตียงนอนพลางมองไปทางจ้าวหลิน แล้วพูดกับเขาว่า : “เหล่าต้าสายตานี้ผมมอบให้พี่ พี่คิดเอาเองแล้วกัน”
จ้าวหลินหันไปพูดกับคนอื่นว่า : “ไปเถอะ พวกเราไปกินข้าวกัน กินเสร็จมื้อนี้ข้าวสามมื้อของวันนี้ก็เรียบร้อยแล้ว อีกเดี๋ยวฟ้าก็มืดแล้ว พรุ่งนี้ต้องเริ่มฝึกทหารแล้วด้วย”
ชุยหังพูดขึ้น : “เหล่าต้า ไม่รู้เลยนะเนี่ยนึกว่าพี่อยากจะพูดว่า พรุ่งนี้ต้องขึ้นลานประหารแล้วซะอีก”
“เชรด นายไปไม่ได้แปลว่าพวกเราไปซะหน่อย” จ้าวหลินพูด
ชุยหังหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า : “สบายใจได้ ถ้าวันนั้นมันมาถึงจริงๆ ฉันจะไม่มีทางปล่อยพวกนายไปแน่ๆ”
ทุกคนหัวเราะออกมา ความมีอารมณ์ขันของชุยหังทำให้เขาเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีในห้องพักของพวกเขา
ระหว่างทางเดินไปโรงอาหาร สุดท้ายชุยหังก็อดใจไม่ไหวที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมา
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังนั่นก็คือในโทรศัพท์มือถือไม่มีข้อความที่ยังไม่ได้อ่านปรากฏขึ้นมาเลย ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีหมายเลขที่ไม่ได้รับสายเลยด้วย
ใครหลายคนมักพูดว่าคู่รักในวัยมัธยมพอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วสุดท้ายก็ต้องมีวันเลิกรา ยิ่งความสัมพันธ์แบบของเขากับหลิวเฮ่อแล้วก็ยิ่งยากที่จะรักษาให้ยืนยาวได้
เมื่อก่อนหลายคนมักบอกว่าระหว่างเพศเดียวกันถึงเรียกว่าเป็นรักแท้ ความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างเพศมีไว้แค่แพร่พันธุ์คนรุ่นหลังก็เท่านั้น
แต่ว่าความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบมันเอาไม่อยู่แล้ว ในฤดูกาลแห่งความเร่งรีบแบบนี้ ในยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เขาจะสามารถเอาข้อเรียกร้องอะไรที่มาทำให้ฝ่ายตรงข้ามมั่นคงกับตัวเองไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ล่ะ
ถึงแม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ แต่ชุยหังก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของตัวเองส่งผลกระทบต่อทุกคน
เขาพยายามให้ตัวเองแสดงออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพยายามรักษามันไว้จนถึงตอนค่ำและกำลังจะเข้านอน
ชุยหังที่กำลังนอนตากพัดลมอยู่บนเตียงได้สักพัก สุดท้ายน้ำตาของเขาก็ไหลออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว
ในความฝันเขาเห็นพื้นหลังสีเขียวปรากฏขึ้น ทำให้นึกถึงบทกลอนบทหนึ่งคิดถึงบันทึกบนเรือ [1] ที่กำลังแล่นไปหาคนที่อยู่ไกลแสนไกล แต่ว่าพอเรือของเขาไปถึงกลับไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องการส่งคืนกลับมาเลย
ความรู้สึกนี้มันทำให้คนรู้สึกใจสลาย
ลมพัดเบาๆ ตอนกลางดึก ความคิดถึงทำให้น้ำตารินไหลออกมา ไม่รู้ว่าความอ่อนแอในใจมาจากไหนเพียงแต่มันค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นอย่างเงียบๆ
ไม่รู้ว่าทำไมความฝันของชุยหังถึงได้มีหลูจื้อปรากฎขึ้นมา ผู้ชายที่เคยถูกตัวเองด่าคนนั้นกลับกลายมาเป็นครูฝึกของตัวเองอย่างบังเอิญ
แต่ใบหน้าของหลิวเฮ่อกลับค่อยๆ เลือนลางจางหายไปเรื่อยๆ
ตอนที่ 29 มาสาย
เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนที่ชุยหังตื่นขึ้นมานั้นคนอื่นๆ ในห้องก็กำลังพากันจัดที่หลับที่นอนของตัวเองแล้ว
แสงแดดอบอุ่นที่ดูจะมากเกินไป ส่องทะลุเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ทั่วทั้งห้องสว่างจ้าไปหมด
“พวกนายทำไมตื่นกันเร็วจังเลย” ชุยหังขยี้ตาไปมาพลางเอ่ยถาม
“นี่มันตั้งกี่โมงกี่ยามแล้ว” ถังเฉิงพูด
วันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะตั้งใจเซตผมเป็นพิเศษ ดูแล้วค่อนข้างจะนุ่มนวลมากทีเดียว
ชุยหังพูด: “อีกเดี๋ยวก็ต้องใส่หมวกเขียวแล้วนายยังจะทำผมไปทำไม เซตผมซะยังกับโดนหมาเลียหัวมาเลย”
ถังเฉิงหัวเราะแล้วพูดตอบ: “เหลาอู่ปากนายนี่นะ ฉันล่ะอยากหาเข็มกับด้ายมาเย็บให้นายจริงๆ เลย”
“ได้ยังไงล่ะ ถ้าเกิดปากฉันโดนเย็บติดกันล่ะก็ชีวิตของพวกนายหลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว” ชุยหังกล่าว
“พวกเราคงจะเงียบสงบมาก เหมือนกับโลกนี้มันหยุดนิ่งไปเลยล่ะ” จ้าวหลินพูด
ชุยหังบิดขี้เกียจไปมาก่อนจะลุกขึ้นนั่ง พลางเอาผ้าห่มคลุมขาของตัวเองเอาไว้ เพื่อไม่ให้ชิ้นส่วนลับตาคนมันโผล่ออกมา
“กี่โมงแล้ว” เขาถามขึ้น
“นายรีบเร็วเข้าเถอะ เหลืออีกแค่ครึ่งชั่วโมงก็เวลาการประชุมระดมพลแล้ว”
“อะไรนะ” ตอนนี้ชุยหังตื่นเต็มตาแล้ว
“เจ็ดโมงครึ่งแล้ว แปดโมงรวมตัวนายยังจะนอนอีก” วังเจิ้นเฉียงพูด
ชุยหังสะบัดผ้าห่มเปิดออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพลิกตัวปีนลงจากเตียงนอน หยิบเอากางเกงและเสื้อขึ้นมาใส่เรียบร้อย แล้วหยิบกะละมังใส่ของวิ่งไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
ทุกขั้นทุกตอนเสร็จภายในห้านาที เขารีบเดินกลับมาก่อนจะจัดการสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าตัวเอง
“หมวกของฉันล่ะ เนคไทฉันอยู่ไหน” เขารีบควานหาของอย่างกระวนกระวาย ยิ่งรีบมากเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกว่าการวางข้าวของของตัวเองยิ่งยุ่งเหยิงมากเท่านั้น
ในที่สุดก็หาของเจอจนครบเอามาสวมใส่เรียบร้อยเขาก็พูดขึ้น: “ไปเถอะ พวกเราไปกินข้าวกัน”
“ใจนายนี่ช่างกล้าจริงๆ นะยังอยากจะไปกินข้าวอีก…” จ้าวหลินหมดคำจะพูดแล้วจริงๆ
เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะไปที่สนามทั้งอย่างนี้เลย คิดไม่ถึงว่าชุยหังยังมีกะใจอยากจะไปหาของกิน อีกอย่างยังอยากไปทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาจำกัดแบบนี้ด้วย
“นายมั่นใจหรอว่าเวลาจะพอ? เหลืออีกแค่ยี่สิบนาทีเองนะ” วังเฉียงถาม
ชุยหังพูดต่อ: “เขาบอกว่ารวมตัวแปดโมง ไม่ได้บอกว่าพิธีเริ่มแปดโมงตรงสักหน่อย พวกเราไปถึงตอนแปดโมงตรงก็โอเคแล้ว ไม่อย่างนั้นพอจบการประชุมระดมพลต้องเริ่มฝึกทหารทันที พวกนายไม่กลัวว่าจะทั้งร้อนทั้งหิวเป็นลมล้มพับไปหรอ”
พูดจบเขาก็เดินออกไปข้างนอกเลย
หลังจากที่ทุกคนฟังที่เขาพูดก็รู้สึกว่ามีเหตุผลก็พากันเดินตามออกไป
“อย่าลืมเอากุญแจด้วยนะ” ชุยหังที่อยู่ด้านหน้าสุด เดินไปด้วยพลางจัดการเข็มขัดของตัวเองไปด้วย
ในเมื่อขากางเกงของเขามันค่อนข้างจะยาวมาก ถ้าไม่จัดให้ดีๆ ล่ะก็อาจจะเหยียบขากางเกงเข้าก็ได้
อาหารเช้าก็กินอะไรที่ค่อนข้างง่ายหน่อย ชุยหังกินโจ๊กข้าวกล้องเข้าไปหนึ่งถ้วย ซาลาเปารูปดอกไม้อีกสองก้อน ไข่ต้มหนึ่งฟองก็เป็นอันยุติการต่อสู้ของเขาแล้ว แต่ถังเฉิงกลับยังคงค่อยๆ เขี้ยวค่อยๆ กลืนอยู่เลย ชุยหังพูดขึ้น: “เร็วเข้าเวลาไม่พอแล้ว”
ถังเฉิงไม่มีทางเลือกทำได้แค่วางอุปกรณ์ทานอาหารลงแล้วพูด: “ไปเถอะ กินไม่หมดล่ะ บอกให้นายรีบๆ ตื่น พอตื่นแล้วก็เอาแต่เร่งๆ อยู่นั้น”
จากนั้นทั้งหกคนก็พากันรีบมุ่งหน้าไปทางสนามกีฬาอย่างรวดเร็ว
สนามกีฬามีคนมาถึงจำนวนมากแล้ว ดูท่าทางเหมือนจะกำลังรอพวกเขา
“ดูเวลาสิ ยังไม่ถึงแปดโมงใช่ไหม” ชุยหังเดินนำอยู่ข้างหน้าพลางถามขึ้นมา
จ้าวหลินที่อยู่ข้างหลังก้มมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วพูดขึ้น: “ยังเหลืออีกห้านาที”
“ถ้าอย่างนั้นก็โอเค ไปเถอะ” บนใบหน้าของชุยหังก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
พอพวกเขาไปถึงสนามก็เห็นว่าเพื่อนห้องอื่นๆ ยืนประจำตำแหน่งของตัวเองเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว
แต่ห้องของพวกเขาดูเหมือนว่ากำลังรอพวกเขาอยู่ ยังยืนกระจัดกระจายอยู่เลย
หลูจื้อยืนอยู่ด้านหน้าสุดของแถว พอเห็นพวกชุยหังเดินเข้ามาก็พูดขึ้น: “ชุยหังรีบวิ่งเร็วเข้า”
——
[1] บันทึกบนเรือ บทกลอน “ออกเดินทางจากเมืองไป๋ตี้เฉิง” ของกวีเอกหลี่ไป๋ เป็นบทกลอนที่แต่งขึ้นระหว่างล่องเรือผ่านแม่น้ำแยงซีกลับไปหาคนที่อยู่ไกลแสนไกลห่างกันกว่าพันลี้