ชุยหังยืนรออยู่ตรงนั้นนานกว่าครึ่งชั่วโมงเต็มๆ กว่าจะมีรถขับผ่านมา
หลังจากขึ้นนั่งบนรถแล้ว ในใจของเขายังคงหวาดผวาไม่หาย เอาแต่คอยถามคนขับรถว่ายังจำสถานที่ที่ตนต้องการจะไปได้ไหม จากตรงนี้ถึงมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคเหลืออีกไกลแค่ไหน แล้วต้องใช้เวลาเดินทางนานเท่าไหร่
ด้านคนขับรถก็ใจดีมากถามเขากลับว่าเขาหลงทางมาหรือเปล่า
ชุยหังอึดอัดใจจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองถูกคนขับรถนิสัยแย่ลากมาถึงที่นี่ แต่ตัวเองโชคดีหนีรอดออกมาได้ หลังจากที่คนขับรถฟังแล้วนอกจากถอนหายใจเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เขารู้ว่าชุยหังเป็นนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิค แต่คนขับรถยังคงสงสัยอยู่นิดหน่อยว่า นักศึกษาทุกวันนี้วิธีเอาตัวรอดป้องกันตัวเองจากพวกหลอกลวงแย่ขนาดนั้นเลยหรอ ทำไมถึงได้ถูกหลอกลากออกมาจากสถานีรถได้ง่ายขนาดนี้
ชุยหังรู้สึกเหมือนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน เรื่องแบบนี้พูดออกไปก็มีแต่ทำให้ขายขี้หน้าเปล่าๆ
แต่ว่าอันที่จริงเขานึกหวาดกลัวเสียมากกว่า ถ้าหากว่ารถทหารคันนั้นไม่ขับผ่านมาล่ะก็พวกกระเป๋าเดินทางของตนเองจะทำยังไงล่ะ
เมื่อคิดแบบนี้แล้วไม่ว่ายังไงตนควรจะขอบคุณพี่ชายทหารคนนั้น ช่างเถอะเอาเป็นว่าเรื่องที่เขาไม่ยอมขับรถมาส่งนั้น ตนก็จะไม่เก็บมันมาใส่ใจก็แล้วกัน
ในที่สุดประตูมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของชุยหังแล้วตอนนี้ ชุยหังรู้สึกเหมือนชีวิตพึ่งรอดตายมายังไงอย่างนั้นแทบอยากจะโผเข้าไปกอดคนขับรถอย่างแนบแน่น ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของเขาในตอนนี้แน่
ประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคกว้างใหญ่ยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก พอเดินเข้าประตูไปก็เห็นว่าด้านในมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้วย ด้านในสระมีน้ำพลุที่พ่นน้ำกระจายออกด้านนอกไม่ยอมหยุด ดูไปแล้วก็ให้ความรู้สึกเป็นศิลปะอยู่ไม่น้อยเลย
ริมสระน้ำมีต้นหลิวที่แม้จะเลยผ่านฤดูกาลช่วงใบสีเขียวอ่อนมาแล้วแต่เมื่อกิ่งก้านยาวๆ เคลื่อนไหวตามสายลมโบกพัด ก็นับว่าเป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงามไม่น้อย
ชุยหังรบกวนคนที่เดินผ่านมาให้ช่วยถ่ายรูปของตนคู่กับประตูใหญ่ให้สองสามรูป จากนั้นเขาก็เลือกเอารูปภาพหนึ่งรูปที่ไม่ได้ลบทิ้งอีกทั้งยังเห็นตัวอักษรบนป้ายหน้ามหาวิทยาลัยอย่างชัดเจนแชร์ลงบนโมเมนต์กลุ่มเพื่อน
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเล่าประสบการณ์เรื่องที่ตนถูกหลอกให้นั่งบนรถโจร เพราะไม่อย่างนั้นพ่อกับแม่ของเขาต้องเป็นห่วงมากแน่นอน
ไม่นานบนโมเมนต์กลุ่มเพื่อนก็เต็มไปด้วยคนเข้ามากดไลค์และแสดงความคิดเห็น
มีคนพูดว่า: [ในที่สุดพ่อหนุ่มล้าสมัยก็เข้าเมืองแล้ว ดูสิเมืองใหญ่กำลังโบกมือทักทายนายอยู่]
[ตอนไปไปคนเดียว ตอนกลับอย่าลืมสอยสาวสวยกลับมาด้วยนะ]
[มองแต่ประตู แทบไม่อยากมองนายเลย นี่ถือว่าแอบถ่ายนะ]
[เรือของมหา’ ลัยนายล่ะ ไม่ใช่การเดินเรือหรอกหรอ]
[ว่าที่กัปตันเรือในอนาคต ขอแสดงความเคารพครับ]
…
ภาควิชาของชุยหังคือ เทคนิคการเดินเรือ นับเป็นหนึ่งในสาขาวิชาพิเศษของมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคแห่งนี้ และเป็นชุดแรกๆ เลยด้วย
ชุยหังตอบกลับความคิดเห็นทีละอันๆ จนครบแล้วก็เดินลากกระเป๋าลากของตัวเองเข้าไปด้านใน
ปรากฏว่าได้ยินเสียงดัง “ แกร๊ก ” ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ตอนเขาหันกลับไปมองก็พบว่าล้อของกระเป๋าลากหักออกไปแล้ว…
คนมันจะซวย ขนาดดื่มน้ำเย็นยังรู้สึกเสียวฟัน [1] เลย
เขาทำได้แค่เปลี่ยนมาเป็นยกตรงที่จับกระเป๋าแทน แต่เนื่องจากคุณภาพของกระเป๋าไม่ค่อยจะดีแถมข้างในกระเป๋ายังยัดข้าวของไว้มากจนเกินไปทำให้ที่จับกระเป๋าก็หลุดออกเหมือนกัน…
ชุยหังอารมณ์ยุ่งเหยิงไปหมดรู้สึกว่า ทำไมตัวเองถึงได้น่าสมเพชขนาดนี้นะ
ยังดีที่ตอนนี้ในมหาวิทยาลัยยังไม่ค่อยมีคนมากมายนัก เขาอุ้มกระเป๋าเดินทางเดินกว่าจะไปโผล่ตรงที่มหาวิทยาลัยจัดเตรียมไว้ให้พวกคนที่มาก่อนล่วงหน้าก็เหนื่อยจนทั่วทั้งร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
เพราะตอนนี้ยังไม่ถึงช่วงรายงานตัวอย่างเป็นทางการ ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยจึงจัดพวกคนที่มาก่อนล่วงหน้าจากหลากคณะให้เข้ามาอยู่ด้วยกัน
คงเพราะบรรยากาศภายในห้องดูน่าเบื่อ ในที่สุดสี่คนภายในห้องจึงเริ่มสนทนากันขึ้นมา
“พวกนายมาจากคณะไหนกันบ้างหรอ” คนหนึ่งในห้องที่ติดสำเนียงทางใต้พูดขึ้น
——
[1] ดื่มน้ำเย็นยังรู้สึกเสียวฟัน (喝口凉水都寒牙缝) แปลว่า โชคร้ายจนถึงขั้นสุด ทำอะไรก็ไม่ราบรื่นเลย