ตอนที่ 32 ครูฝึกรังแกฉัน
หลังจากที่ตากแดดอันร้อนแรงกว่าสามชั่วโมงเต็มๆ หลูจื้อก็ก้มมองเวลาก่อนจะทำเป็นสัญญาณให้ครูฝึกคนอื่นๆ ว่าได้เวลาแล้ว จากนั้นครูฝึกคนอื่นๆ ก็ทยอยพานักเรียนห้องตัวเองเดินไปทางโรงอาหาร โยกไปเอนมา หิวจนท้องร้องจ๊อกๆ
หลูจื้อกลับยังคงเหลือห้องสามเอาไว้เป็นห้องสุดท้ายจากนั้นก็พูดขึ้นว่า: “วันนี้เป็นแค่การฝึกเล็กๆ ที่ให้พวกคุณลองได้สัมผัสก่อนเท่านั้น เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ตลอดจนสองสัปดาห์จะเป็นการฝึกทหารอย่างเป็นทางการ จำไว้ว่าคะแนนของการฝึกทหารจะถูกบันทึกเข้าไว้ในงานทะเบียนของพวกคุณ จะมีผลกระทบต่อทุนการศึกษาและความประทับใจแรกของท่านอาจารย์เมื่อเปิดภาคเรียนด้วย พวกคุณจัดการดูแลเอาเองก็แล้วกัน”
แม่งเอ้ย นี่นับว่าเป็นการแสดงอำนาจใช่ไหม
ชุยหังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีแรงที่จะคิดอะไรอีกแล้ว ตอนนี้แม้กระทั่งเรื่องของหลิวเฮ่อก็ไม่คิดถึงมันเลย
พระอาทิตย์ก็ยังคงห้อยอยู่เหนือศีรษะแบบนั้น เหมือนกับบ้านของใครที่ใช้ไฟโดยไม่ต้องเสียค่าไฟยังไงอย่างนั้น กระจายแสงกระจายความร้อนแบบเต็มที่
ตอนเที่ยงแล้ว บนพื้นร้อนมากจนเหมือนจะเห็นไอร้อนลอยขึ้นมา เหลือบมองพื้นด้วยตาเปล่าก็เริ่มรู้สึกว่ารูปร่างของมันเริ่มจะไม่ค่อยปกติแล้ว
“เพราะผมเป็นผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลการฝึกทหารของคณะพวกเราในครั้งนี้ ดังนั้นห้องสามจึงนับว่าเป็นห้องเรียนแบบอย่างของการฝึกทหารครั้งนี้ ทางที่ดีพวกคุณควรจะเข้มงวดกับตัวเองสักหน่อย ตั้งมาตรฐานให้สูงอีกหน่อย อย่างทำตัวเสแสร้งไหลไปตามน้ำส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ ได้ยินหรือยัง”
“ได้ยินแล้วครับ” ทุกคนต่างพากันตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
เพื่อจะได้รีบไปกินข้าว ทุกคนต่างก็ให้ความร่วมมืออย่างดี
หลูจื้อพูดต่อ: “ดี ชุยหังนำทีมเดินไปทางโรงอาหาร นัดรวมตัวที่นี่เวลาบ่ายสองโมงตรง ทุกคนต้องสวมชุดแขนสั้นมาจำได้หรือยัง”
“จำได้ครับ”
“ชุยหัง ตะโกนเสียงสัญญาณ” หลูจื้อหันไปพูดกับชุยหัง
ชุยหังยังคงงงงวย ตะโกนสัญญาณอะไร
หลูจื้อมองดูชุยหังที่ดูเหมือนจะคิดไม่ออกพลางพูดขึ้น: “หนึ่งสองหนึ่ง แบบนี้พูดได้ไหม”
“อ้อ” ชุยหังตอบรับคำ ก่อนจะรู้สึกในทันทีว่าที่ตัวเองพึ่งจะตอบรับไปดูเหมือนจะไม่ถูกต้องจากนั้นก็ตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “ได้ครับ”
“กลับหลังหัน” ในที่สุดหลูจื้อพูดสามคำนี้ออกมา
ชุยหังฝืนใจตะโกนเสียงสัญญาณออกมา: “หนึ่งสองหนึ่ง หนึ่งสองหนึ่ง หนึ่งสองหนึ่ง…”
พอกลับถึงหอพักชุยหังอยากจะพักน่องขาของตัวเอง จากนั้นเอาน้ำมันนวดมาทาจริงๆ เพราะตอนนี้ทั่วทั้งร่างกายของเขารู้สึกปวดชากล้ามเนื้อไปหมด
“เหลาอู่ทำไมวันนี้นายดูเหม่อๆ” ถังเฉิงถาม
ชุยหังตกใจก่อนจะถามขึ้น: “ใช่หรอ ฉันเหม่อหรอ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะนายเอาแต่เหม่อลอย ครูฝึกจะเอาแต่ไปเดินวนเวียนอยู่รอบตัวนายหรอ นายคิดว่านายโตมาดูดีเหมือนกับสาวน้อยหรือไง”
ทุกคนดูเหมือนจะไม่รู้สึกว่าหลูจื้อกำลังจับตามองชุยหังอยู่
แต่ว่าชุยหังกลับไม่ได้คิดแบบนั้น คนที่แอบเหม่อลอยคงไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวแน่นอน แล้วทำไมเขาไม่ไปดูคนอื่นบ้างล่ะ
เฮ้อ คะแนนระดับมหาวิทยาลัยนี่มันช่างเอามายากเย็นเสียจริงๆ
เขาซักๆ มันนิดหน่อย จากนั้นเอาเสื้อผ้าที่จะใส่ตอนบ่ายมาแขวนไว้ข้างเตียงนอน ชุยหังก็เตรียมจะนอนแล้ว
แต่ว่าในใจกลับมีเรื่องที่ปล่อยวางไม่ลงสักที
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่ามีข้อความใหม่เข้ามาบ้างหรือเปล่า
ผลลัพธ์ก็คือไม่มีเลย
หลิวเฮ่อทำอะไรอยู่กันแน่นะ หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องที่เขาเต็มใจสมัครมาเรียนไกลๆ ก็เลยยังโกรธอยู่?
ในเมื่อนี่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของตนตลอดทั้งชีวิต คงไม่สามารถจะทำตามอารมณ์ของเขา อะไรๆ ก็ยึดเอาตามนิสัยเขาหรอกนะ
เหตุผลแบบนี้ทำไมเขายังไม่เข้าใจอีกล่ะ?
เขาพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์มือถือ… [ฉันคิดถึงนายแล้ว ครูฝึกรังแกฉัน]
แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้กดส่งมันออกไป รู้สึกจนปัญญาแล้วจริงๆ
ต่อให้เขาจะเป็นห่วงก็คงไม่มีวิธีไหนที่จะมาช่วยตนในตอนนี้ได้ อีกอย่างตอนนี้เขาคงขี้เกียจแม้แต่จะกังวลหรือเป็นห่วงเรื่องของชุยหังไปแล้วด้วยซ้ำ
อันที่จริงสิ่งที่เขาเป็นกังวลก็คือ ตัวเองส่งข้อความไปไม่เคยขาด แต่หลิวเฮ่อกลับเลือกที่จะไม่ให้ความสำคัญ
ถ้าเกิดไม่ส่งไป อย่างน้อยเขาก็มีเหตุผลเอาไว้คอยปลอบตัวเองว่าพวกเขาคงจะกำลังยุ่งมากจริงๆ
ตอนที่ 33 เป้ากางเกงแตก
หลังจากนอนไปแล้วตื่นหนึ่ง ชุยหังไม่เพียงแต่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีชีวิตชีวากลับยิ่งง่วงนอนมากกว่าเดิม โดยเฉพาะแสงแดดในยามบ่ายที่ช่างทำตามอำเภอใจเหลือเกิน แผ่กระจายความร้อนของตัวเองโดยที่ไม่มีปิดบังซ่อนเร้นเลยแม้แต่นิด
“ไปเถอะ ตื่นได้แล้ว ต้องไปรวมตัวแล้ว” ขนาดเขาพูดยังไม่มีเรี่ยวแรงเลย
ตอนเช้ายืนระเบียบอยู่เสียตั้งนาน ตอนนี้เลยรู้สึกว่าร่างกายเหมือนจะไม่ค่อยสบายเลย
หลังจากที่เปลี่ยนเป็นเสื้อแขนสั้นเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำให้ตัวเองตื่นตัวมีชีวิตชีวามากขึ้น
รอจนพวกเขากลับไปถึงสนามอีกครั้งก็เห็นว่าพวกครูฝึกยืนรออยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว
ไม่รู้ว่าทำไมพอเห็นหลูจื้อยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อก่อนที่ชุยหังมีความคิดอยากจะบ่นอยากจะว่าก็ถูกกดเอาไว้หมด
อันที่จริงเดิมทีพวกเขาก็เป็นคนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรกัน แต่เพราะการฝึกทหารของพวกเขา ครูฝึกยังจำเป็นต้องมาถึงก่อนและกลับช้ากว่าพวกเขา นอกจากนี้ยังต้องคอยสอนท่านั้นท่านี้ให้พวกเขาไม่ได้หยุด ในสภาพอากาศแบบนี้ขนาดพวกเขาที่ใส่แค่หมวกเบเร่ต์ยังรู้สึกคันๆ หัวเลย ยิ่งไปกว่านั้นครูฝึกต้องสวมหมวกหม้อตาลตั้งแต่ต้นจนจบ
“เอาล่ะ มาถึงแล้วก็ยึดรูปแบบแถวตามเมื่อเช้านี้ วันนี้ตอนบ่ายจะทำการฝึกท่าระเบียบทหารก่อน จากนั้นจะสอนทุกคนร้องเพลงทหาร”
แค่ได้ยินว่ายังคงเป็นการฝึกท่าทหารทุกคนก็รู้สึกอยากจะอ้วกแล้ว
ไม่ได้รู้สึกว่ามันง่ายเกินไปแต่เป็นเพราะจืดชืดและน่าเบื่อมากต่างหาก
หลูจื้อรู้ว่าทุกคนกำลังคิดอะไรจึงพูดขึ้น: “ไม่ต้องบ่นและไม่ต้องคิดอะไร การฝึกท่าทหารจืดชืดน่าเบื่อ ผมจะบอกอะไรพวกคุณให้ นั่นมันเพราะพวกคุณไม่ได้เป็นทหาร เพราะถ้าพวกคุณเป็นทหารท่าทางที่พวกคุณยืนระเบียบเมื่อเช้านี้ ถ้าไม่ถูกทำโทษให้ยืนหนึ่งวันหนึ่งคืนน่ะถึงแปลก”
หลังจากที่ทุกคนได้ยินก็พลันเงียบลงทันที
ถึงแม้ว่าหลูจื้อจะเข้มงวดมาก แต่ถ้ามองในมุมมองของการฝึกฝนนี่นับว่าออมมือให้มากแล้ว ไม่ได้ยึดเอามาตรฐานของการฝึกฝนทหารจริงๆ ที่เข้มงวดมากเกินไปมาใช้กับพวกเขา
เพราะเรื่องเมื่อตอนเช้าชุยหังเลยได้แต่แอบเตือนสติตัวเองในใจว่าห้ามเหม่ออีกเด็ดขาด ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา อย่าได้ให้หลูจื้อหาโอกาสมาโจมตีตัวเองได้อย่างเด็ดขาด
แต่ว่าเป็นเพราะไม่มีอะไรบดบังบวกกับแสงอาทิตย์ที่ยังคงสาดส่องลงมาอยู่ตลอดเวลา ก็ทำให้เหงื่อของเขาไหลออกมาได้สำเร็จ มันไหลตามแก้มหยดลงมาไม่หยุด
อย่าได้มองคนอื่นเลย เขารู้ไม่ว่าใครก็เป็นเหมือนกันกับเขา
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว หลูจื้อถึงได้อนุญาตให้ทุกคนได้พักครู่หนึ่ง ชุยหังรู้สึกว่าตอนนี้เขามองเห็นดาวดวงน้อยๆ เต็มดวงตาไปหมดแล้ว
กลางวันแสกๆ แบบนี้ถ้ามองเห็นดาวก็แสดงให้เห็นว่าตอนนี้เขาตามัวไปแล้ว
พักไปสิบนาทีก็ได้ฝึกท่าทหารอีกกว่าครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ทุกคนรู้สึกว่าไม่ได้กำลังฝึกความแข็งแกร่งของร่างกายแต่ว่ากำลังอาบแดด…
ในที่สุดหลูจื้อก็ให้ทุกคนได้ขยับเขยื้อนร่างกาย ขยับแขนขยับขา เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดการแข็งตัวเป็นตะคริวทีหลัง
หลังจากที่ทุกคนพากันออกกำลังกายอยู่พักหนึ่ง หลูจื้อก็ตะโกนขึ้น: “นั่งลงกับที่”
ชุยหังเข้าใจในทันทีว่าทำไมหลูจื้อถึงพาพวกเขามาที่สนามหญ้านี้แล้ว
ทุกคนทยอยนั่งลงไป ตอนที่ชุยหังกำลังจะนั่งลงก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูค่อนข้างพิเศษดังขึ้น
“แควก…”
ชุยหังรู้สึกว่าด้านหลังของตัวเองมีลมทะลุเข้ามา เย็นสบาย…ความรู้สึกแบบนี้เพียงครู่เดียวเขาก็รับรู้ถึงความรู้สึกไม่ปลอดภัย
เขารู้ในทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เมื่อวานหลูจื้อก็เคยพูดเตือนเขาไปแล้วว่ามันอาจจะเกิดขึ้นได้คือรอยเย็บกางเกงแตกแล้ว…
สวรรค์เอ๋ย แผ่นดินเอ๋ย นี่ตั้งใจจะให้ฉันเป็นคนไร้ศีลธรรมหรือยังไง ในใจของชุยหังเหมือนมีแกะเป็นหมื่นตัวกำลังวิ่งไปมา ใบหน้าก็ยังคงกลั้นเอาไว้ไม่กล้าจะขยับเขยื้อนอะไรอีกทั้งนั้น
เพราะเขาอยู่ข้างหน้าสุด ดังนั้นคนที่อยู่ด้านหลังต่างก็เห็นมันอย่างชัดเจน
“เป็นอะไร”
คนที่ชุยหังไม่หวังจะให้เห็นว่าเป้ากางเกงของเขาแตกเอ่ยปากถามขึ้นมาแล้ว