ตอนที่ 40 ยิ้มหาน้องแกสิ
ชุยหังนอนฟุบอยู่บนเตียงของตัวเองก่อนจะหันไปมองคนอื่นๆ ทางด้านวังเจิ้นเฉียงก็เอาแต่ค่อยๆ พลิกไปพลิกมาไม่หยุดดูเหมือนว่าเขาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี วังเฉียงก็คุกเข่าอยู่บนที่นอนแล้วใช้มือตบเบาๆ ไปเรื่อยๆ ด้านจังเผิงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย
เวลายังเวลายังคงผ่านไปเรื่อยๆ คนแรกที่ทำเสร็จคือจ้าวหลิน ถึงแม้ว่าก้อนเต้าหู้ของเขาจะไม่ได้เป็นมาตรฐานเสียทีเดียว แต่ถ้าว่าตามพวกเขาตอนนี้ที่ค่อนข้างจะตื่นเต้นเป็นกังวลอยู่นิดหน่อยก็นับว่าทำได้ดีมากแล้ว
“ฉันไม่ทำแล้วอย่างมากก็แค่ทนหิวไปหนึ่งมื้อ” วังเฉียงก็เริ่มที่จะยอมแพ้แล้ว
“ไอ้เด็กโง่ รีบทำเร็วเข้า ห้องอื่นเขาก็ทำกัน อย่าทำให้ตัวเองรั้งท้ายสิ” ชุยหังพูดทิ่มแทงเขาออกไป
ในขณะที่เขาพูดประโยคนี้ออกไป ผ้าห่มที่อยู่ในมือก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลยสักนิด…
จากนั้นเขาก็ทอดสายตามองออกไปนอกประตู เมื่อเห็นว่าหลูจื้อไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ก็รีบหอบผ้าห่มโดดลงจากเตียงหอบไปวางไว้หน้าจ้าวหลินพลางพูด : “เหล่าต้า เร็วเข้า ชั่วโมงเร่งด่วนต้องการความช่วยเหลือ พี่พับยังไงช่วยผมทำหน่อย”
ในเมื่อเขาพับได้ดี ถ้าตอนนี้ไม่ใช้ประโยชน์สักหน่อยแบบนั้นมันช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
จ้าวหลินคิดไม่ถึงว่าชุยหังจะมาร้องขออะไรแบบนี้ก็ตะลึงไปนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดว่า : “ได้สิ”
ไม่นานผ้าห่มของชุยหังก็ถูกพับจนเรียบร้อย เพราะมันยังมีร่องรอยที่หลูจื้อเคยพับไว้ อีกทั้งฝีมือของจ้าวหลินก็ไม่เลวเลยด้วย ยังไงซะก็ดีกว่าที่ตัวเองเคยทำไว้
หลังจากที่เห็นว่าของชุยหังทำเสร็จแล้วคนอื่นๆ ก็ทยอยมาขอความช่วยเหลือบ้าง
ชุยหังรีบวิ่งไปทางจังเผิงแล้วช่วยเขาทำ
“พี่สามเดี๋ยวผมช่วย”
“ได้” จังเผิงตอบกลับอย่างง่ายๆ โดยไม่พูดอะไรให้มากความ
เวลาผ่านไปกว่ายี่สิบนาทีแล้ว ภายใต้การช่วยเหลือของชุยหังผ้าห่มของจังเผิงยิ่งพับก็ยิ่งยุ่ง ยังดีที่จ้าวหลินฉลาด เขาเปิดตู้ของตัวเองออกโดยไม่พูดอะไรแล้วหยิบเอากระดาษแข็งจากด้านในออกมาสองสามแผ่นพลางยื่นให้จังเผิงแล้วพูดว่า : “ยัดเข้าไปแล้วค่อยพับ”
จริงด้วย ทำไมพวกเขาถึงคิดไม่ถึงนะ?
หลังจากที่พับผ้าห่มของจังเผิงเสร็จเรียบร้อยแล้วตามวิธีของเขา ตอนนี้มันดูดีขึ้นมากแล้ว
พวกเขารีบลงมือช่วยกันเอารองเท้าที่วางเกินอยู่เก็บให้เรียบร้อย แล้วเอากะละมังวางไว้แบบของชุยหัง
พวกเขาเพิ่งทำเสร็จไปได้ไม่นานหลูจื้อก็เดินเข้ามา มองการเก็บกวาดทำความสะอาดภายในห้องพักของพวกเขาแต่ไม่ได้พยักหน้าแล้วก็ไม่ได้ส่ายหน้าด้วย
จากนั้นเขาก็เห็นว่ามีถุงห้อยอยู่บนหัวเตียงของชุยหังจึงพูดขึ้น : “เมื่อกี้ฉันตั้งใจไม่พูดถึงไอ้นี่ พวกนายก็ไม่รู้สึกตัวกันสักหน่อยเลยหรอ”
ชุยหังรีบหยิบถุงลงมาแล้วพูดว่า : “ครูฝึกหลูครับ อันนี้คืนให้ครูครับ ขอบคุณครับ”
ตอนนี้หลูจื้อถึงได้รู้ว่าที่แท้มันเป็นเสื้อของเขาเอง
แต่ว่าเขากลับเอ่ยถามขึ้นโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ : “นี่ถือว่านายติดสินบนฉันหรอ”
“ไม่นับมั้งครับ…นี่มันเป็นของๆ คุณเองนะครับ…”
“ของของฉันจะวิ่งไปอยู่กับนายได้ยังไง” หลูจื้อถาม
ชุยหังตะลึงงัน พลางคิดในใจว่า น้องแกสิ เมื่อวานนายเป็นคนเอามามัดใส่เอวของเขาเองไม่ใช่หรอ
“เมื่อวานนี้กางเกงผมเป้าเปิดแล้วคุณก็เอาเสื้อของคุณให้ผมยืม…” ชุยหังพูดเสียงเบา
ในที่สุดหลูจื้อก็หัวเราะออกมาพลางพูด: “ฉันนึกว่านายลืมไปแล้วซะอีก”
ปีศาจร้ายตัวจริงเสียงจริง เขาไม่ให้คนอื่นหัวเราะชุยหัง แต่ตัวเขาเองกลับหัวเราะออกมาได้อย่างสำราญใจ
สุดท้ายก็นับว่าโชคดีที่ห้องของพวกเขาผ่านไปได้อย่างถูๆ ไถๆ แต่หลูจื้อพูดแล้วว่านับจากนี้ทุกวันหลังตื่นนอนต้องพับผ้าห่มเป็นระเบียบเรียบร้อยแบบนี้ก่อนแล้วค่อยไปรวมตัวที่สนาม ตอนที่พวกเขาไปฝึกจะมีอาจารย์ที่รับผิดชอบมาตรวจสอบโดยเฉพาะ ถ้าหากตรวจพบว่าทำไม่ดีจะถูกขานชื่อกลางสนามขณะฝึก แล้วทำการลงโทษให้ลุกนั่งห้าสิบครั้ง
ตอนที่ 41 ไม่เห็นหลูจื้อแล้ว
เล่นอะไรเนี่ย พวกเขาไม่ใช่ทหารสักหน่อย ยังต้องลุกนั่งห้าสิบทีอีก
แต่ว่าเรื่องความใจดำของหลูจื้อนั้น จากตัวอย่างของชุยหังในสองวันที่ผ่านมาทุกคนต่างก็มีประสบการณ์กันหมดแล้วจึงไม่มีใครกล้าขัด ดูเหมือนว่าทุกวันต้องตื่นเร็วกว่าปกติสามสิบนาทีเพื่อจะลุกมาพับผ้าห่มเสียแล้ว
เฮ้อ ชีวิตวัยหนุ่มสาวที่ปล่อยตามอำเภอใจของพวกเขาเอย ความวุ่นวายของสายลมในยามเช้าเอย…
ในที่สุดก็สิ้นสุดการอบรมการฝึกดูแลภายในห้องพัก พวกเขาถูกลากมารวมตัวกันที่สนามอย่างรวดเร็ว เพื่อดำเนินฝันร้ายต่อจากเมื่อวาน
ต้องขอบอกว่ากางเกงที่จ้าวหลินช่วยเย็บให้ชุยหังเมื่อวานนี้ช่างดูเรียบเนียนจริงๆ แทบจะไม่เห็นความผิดปกติเลยสักนิด
หลูจื้อยังคงเดินวนไปเวียนมาอยู่รอบๆ ตัวชุยหังไม่หยุด ร่างกายของเขาไม่มีกลิ่นเหงื่อเลย แต่กลับเป็นเหมือนกลิ่นหอมสดชื่นของสบู่หลังจากที่อาบน้ำเสร็จมากกว่า
เพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็น ดูเหมือนว่าหลูจื้อจะจับตาดูชุยหังมากผิดปกติ นอกจากเพื่อนรูมเมทห้อง426ไม่กี่คน ที่รู้ว่าก่อนหน้านี้ชุยหังกับหลูจื้อแอบมีเรื่องโกรธแค้นกันนิดหน่อยแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่รู้เรื่องนี้เลย
อาจเป็นเพราะหลูจื้อมีความรู้สึกดีเป็นพิเศษต่อชุยหังล่ะมั้ง ใครๆ ก็ต่างพูดว่ามีครูฝึกบางคนมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างทารุณ อีกทั้งความรู้สึกของชุยหังที่มักจะส่งต่อคนอื่นนั้นพูดได้แค่สองคำ นั่นคือปากหมา
“กางเกงเย็บได้ไม่เลวเลยนะ นายเป็นงานเย็บปักถักร้อยด้วย?” หลูจื้อถามขึ้น
“พี่ใหญ่ของผมเป็นคนเย็บให้ผม” ชุยหังพูด
“ฉันไม่ได้ให้นายพูด นายไม่ต้องตอบ” หลูจื้อตอบกลับมาหนึ่งประโยค
น้องแกสิ ชุยหังได้แต่แอบด่าอยู่ในใจ แต่ต้องอดกลั้นไม่ให้ตัวเองกรอกตาอย่างหุนหันพลันแล่น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องลำบากเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
“ไม่พอใจหรอ หรือว่านายอยากจะให้เป็นแบบวันนั้น ที่เป็นตัวแทนในนามของครอบครัวนาย กล่าวขอบคุณครอบครัวฉัน?” หลูจื้อถามขึ้นอีก
ชุยหังไม่ได้สนใจเขา แม้แต่ดวงตาก็ไม่ยอมขยับมันเลยสักนิด
หลูจื้อยิ้มกว้างจนเผยให้เห็นฟันขาวๆ เต็มปากก่อนจะเดินจากไป
ไม่ง่ายเลยกว่าจะฝืนทนมาจนถึงตอนเที่ยง พวกเขาฝืนร่างกายอันแสนเหนื่อยล้า จนในที่สุดก็ผ่านพ้นความทรมานในช่วงเช้ามาได้
พอกลับมาถึงห้องพักทุกคนก็พากันล้มตัวนอนลงอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าจะไปกดถูกก้อนเต้าหู้ที่พับไว้เรียบร้อยแล้ว ต่างก็ไม่กล้าแตะต้องมันเลยสักนิด เกรงว่าถ้าแตะโดนแล้วพรุ่งนี้จะไม่สามารถพับมันกลับมาให้เป็นเหมือนเดิมได้
เดิมทีช่วงบ่ายยังคงต้องฝึกทหาร แต่ไม่รู้เพราะอะไรท้องฟ้าที่เดิมทียังสว่างสดใสก็พัดเอากลุ่มเมฆหมอกหนาเข้ามามากมาย ไม่นานก็เริ่มฝนตกฟ้าร้องลงมา
ต่อให้ครูฝึกพวกนี้จะอำมหิตมากแค่ไหนก็ไม่มีทางจะเอาพวกนักศึกษาพวกนี้ให้ไปยืนตากฝนกลางสนามหรอก แต่ก็ไม่สามารถยกเลิกการฝึกไปเลยได้
ต่อมาพวกชุยหังก็ได้รับประกาศว่าให้ทุกห้องไปพร้อมกันที่โรงอาหารเพื่อฝึกซ้อมร้องเพลงทหารต่อ จากนั้นจะทำการแข่งขันประชันเพลงระหว่างห้องเรียน
อันที่จริงนี่นับว่าเป็นความบันเทิงรายการหนึ่งของกองทหารเลย ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถเคลื่อนตัวออกไปข้างนอกได้ ย่อมต้องคิดหาวิธีการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวภายในแทน
ด้านนอกฝนตกปรอยๆ พวกเขาแบ่งออกเป็นห้องๆ นั่งอยู่ตามเก้าอี้ในโรงอาหารอย่างเป็นระเบียบ พนักงานทั่วทั้งโรงอาหารมองมาทางพวกเขาราวกับดูละครสัตว์ยังไงอย่างนั้น คุณป้าที่ตักข้าวคนนั้นยังทำท่าชี้นิ้วไปมา ส่วนพี่ชายตัวอ้วนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ห้องครัวยังหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายพวกเขาสองสามรูปเลย นี่มันคนอะไรกันเนี่ย!
จำนวนนักเรียนแต่ละห้องเรียนเยอะเกินไป พื้นที่ว่างในโรงอาหารมีจำกัด เหล่าครูฝึกจนแทบจะรวมเข้าด้วยกันแล้ว
พวกเขาปรึกษาหารือกันก่อนจะตัดสินใจว่าจะสอนพวกเขาร้องเพลงทหารสองสามเพลง จากนั้นหนึ่งชั่วโมงสุดท้ายจะเริ่มต้นการแข่งขันประชันเพลงระหว่างห้องเรียน
ครูฝึกผู้ดูแลแต่ละห้องต่างก็มากันหมดแล้ว แต่หลูจื้อที่เมื่อเช้ายังมาพูดจาทิ่มแทงเขาคนนั้นกลับยังไม่ปรากฏตัวเลย
ตอนนี้หัวหน้าห้องโจวเฉวียนลุกไปถามครูฝึกของห้องสองมา ครูฝึกคนนั้นบอกว่าไม่ต้องรีบร้อน ครูฝึกหลูมีธุระ ดังนั้นจะมีครูคนอื่นมาสอนแทน
คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเขา อาจารย์หม่าจะปรากฏตัวแทน
มองดูร่างกายอันผอมแห้งของอาจารย์หม่าแล้ว พวกเขาต่างก็พากันคิดว่าแค่เรื่องจิตวิญญาณความแน่วแน่ก็แพ้แล้ว ยิ่งเทียบรูปร่างกับเหล่าพี่ทหารที่ได้มาตรฐานเหล่านั้นแล้วระดับรูปโฉมหน้าตาของอาจารย์หม่าคือแทบไม่มีคะแนนพิเศษอะไรเลย