ตอนที่ 42 ประชันร้องเพลง
เสียงครูฝึกของห้องอื่นๆ ดังก้องกังวานราวกับเสียงระฆัง แต่ทางพวกเขาอาจารย์หม่าร้องไปแค่ไม่กี่ประโยคก็ยังต้องกลับไปคิดแล้วคิดอีก อีกทั้งยังมองเนื้อเพลงในโทรศัพท์มือถือไม่หยุดเพราะกลัวว่าจะสอนผิด
สอนไปได้สักพัก อาจารย์หม่าก็เอ่ยถาม: “นักศึกษาในบรรดาพวกเรามีใครร้องเพลงที่ครูฝึกหลูเคยสอนเมื่อคราวก่อนได้แล้วบ้าง”
โจวเฉวียนลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้น: “ชุยหังครับ”
ไม่นานทุกสายตาก็เลื่อนมามองทางชุยหังทั้งหมด
ชุยหังรู้สึกได้ว่าในหัวของเขามีเสียงวิ๊งดังขึ้นอีกครั้ง เขาไม่อยากคิดที่จะทำตัวเองให้เป็นที่สนใจหรือดูโดดเด่นทั้งนั้น เพราะในตอนนี้เขาพึ่งจะได้สัมผัสวินาทีที่ไม่มีหลูจื้ออยู่ด้วยได้แค่เพียงไม่นานเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะถูกอาจารย์หม่ากับโจวเฉวียนลากออกมาอีกแล้ว
แต่พอมองไปทางห้องอื่นๆ ที่ต่างก็กำลังเรียนอย่างเป็นลำดับขั้นตอนเป็นระเบียบภายใต้ความช่วยเหลือของครูฝึกแล้ว เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือผลักภาระอะไร
มีบางอย่างที่เรียกว่าทำเพื่อชื่อเสียงของส่วนรวมจุดประกายขึ้นมา ดังนั้นชุยหังจึงฝืนใจลุกขึ้นยืน ไม่ว่าจะเป็น ‘หิมะทับถมต้นสนเขียวตระหง่านตรง’ ‘เสียงแตรดังกังวานก้าวย่างพร้อมเพรียง’ ‘สายลมพัดผ่านทั่วทั้งแผ่นดิน’ พวกเขาต่างก็ต้องรีบทำความเข้าใจอย่างรวดเร็ว
ตอนที่เขากำลังสอนทุกคนอยู่นั้นก็รู้สึกว่าความหน้าด้านของตัวเองมันกำลังขยายตัวขึ้น แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีความรู้สึกเก้อเขินขนาดนี้มาก่อนเลย
วินาทีนี้เขารู้สึกว่าแค่ตัวเองส่งเสียงออกไปแค่คำเดียว เพื่อนห้องอื่นๆ ต่างก็กำลังมองเขาอยู่
แต่ว่าเขาก็กัดฟันอดทนผ่านมันมาได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหวังอยากจะให้หลูจื้ออยู่ข้างๆ เขามากที่สุด เพราะถ้ามีเขาอยู่ตัวเองก็คงจะไม่ต้องออกมาลำบากใจขนาดนี้แน่
เวลาหนึ่งชั่วโมงเดินมาถึงอย่างรวดเร็ว ครูฝึกทุกคนต่างก็ไปรวมตัวกันแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังหารืออะไรกันอยู่ ส่วนทางด้านพวกเขาตอนนี้อาจารย์หม่ากับโจวเฉวียนก็ออกไปแล้วเหมือนกัน มองดูไปแล้วเหมือนพวกรถไม่มียี่ห้อยังไงอย่างนั้น พอหลูจื้อไม่อยู่ พวกเขาก็เหมือนขาดคนที่เป็นแกนหลักไปเลย
ไม่นานอาจารย์หม่ากับโจวเฉวียนก็เดินกลับมา จากนั้นก็อธิบายกฎในการแข่งประชันเพลง ก็คือตะโกนเสียงสัญญาณจากนั้นให้ฝ่ายตรงข้ามร้องเพลง เรียกถึงห้องไหนห้องนั้นก็จำเป็นต้องร้อง
อาจารย์หม่าได้กำชับเป็นพิเศษว่าครูฝึกของพวกเขาไม่อยู่ เพราะฉะนั้นต้องระวังให้มาก ห้องอื่นๆ อาจจะคิดกำจัดพวกเขาออกไปก่อนเป็นห้องแรก
ไม่นานห้องหนึ่งก็นำร้องขึ้นมาก่อนหนึ่งเพลงภายใต้การนำของครูฝึกของพวกเขา หลังจากนั้นก็ตะโกนเรียกสัญญาณ: “ห้องสอง จัดมาหนึ่ง ห้องสอง จัดมาหนึ่ง หนึ่งสองสามสี่ห้า รอจนเหนื่อยแล้ว สองสามสี่ห้าหก รอจนอึดอัดแล้ว…”
เพราะห้องสองมีครูฝึกอยู่ด้วยดังนั้นไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร ก็ร้องกลับไปหนึ่งเพลงในไม่ช้า หลังจากนั้นก็เริ่มตะโกนขึ้นอีก : “ห้องสาม จัดมาหนึ่ง จัดมาหนึ่ง ห้องสาม หนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ด พวกเรารอจนร้อนใจ…”
เมื่อครู่คนในห้องสามต่างก็พากันสับสนอลหม่าน เพราะรู้สึกว่าพอหลูจื้อไม่อยู่พวกเขาก็เป็นเหมือนเม็ดทรายกระจัดกระจายในถาด
ชุยหังก็ไม่รู้ว่าในหัวของเขาคิดอะไรอยู่ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนจากนั้นก็นำเพื่อนร้องเพลงขึ้นมา: “สายลมพัดผ่านทั่วทั้งแผ่นดิน…”
เขาพยายามหันหลังให้กับเพื่อนห้องอื่นๆ สายตาก็พยายามเหลือบมองขึ้นข้างบน ไม่กล้าสบสายตาคนอื่นๆ
เขาไม่อยากให้คนอื่นเห็นความตื่นเต้นของเขา แต่ก็ไม่อยากให้ห้องสามต้องแพ้ด้วย
ถึงจะแพ้ก็ไม่อาจยอมแพ้ โดยรวมก็หมายความประมาณนี้
รอจนกระทั่งพวกเขาร้องจบ จู่ๆ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังกังวานขึ้นมา: “ห้องสี่ จัดมาหนึ่ง!”
ชุยหังหันไปมองทางที่มาของเสียง ที่แท้ก็คือหลูจื้อนั่นเอง
ในที่สุดเขาก็มาแล้ว วินาทีนี้ชุยหังรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย
ภายใต้การนำของหลูจื้อ พวกเขาก็ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ในทันที จากนั้นก็ทุ่มเทเข้าไปในการประชันร้องเพลงทันที
ตลอดทั้งช่วงบ่ายนี้ เสียงของพวกเขาไม่ได้แหบแห้งเพราะการร้องเพลง แต่เป็นเพราะการตะโกนเรียกสัญญาณช่วยกัน เรียกกันไปเรียกกันมา
ชุยหังนั่งอยู่ในตำแหน่งของตัวเอง มองไปทางหลูจื้อที่กำลังบัญชาการคำสั่งอย่างทุ่มเท ด้วยใบหน้าผ่อนคลาย
ตอนที่ 43 ความรักแพ้ระยะทาง
เสียงเพลงดังต่อเนื่องขึ้นมาเป็นระลอกๆ จนแทบจะพลิกหลังคาออกอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าคอของคนส่วนใหญ่จะแหบแห้งแตกกันหมดแล้ว แต่ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย กลับกันมันยิ่งน่าตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ
หลูจื้อให้ทุกคนพอแค่นี้ก่อน เพราะถ้าคอพังกันหมดละก็แย่แน่นอน
ดังนั้นหลังจากสิ้นสุดกิจกรรมการประชันเพลงลง ก็เหมือนเป็นการประชุมสัมมนาแบบผสมยังไงอย่างนั้น
ครูฝึกของแต่ละห้องต่างก็เลือกตำแหน่งแล้วเข้าไปนั่งอยู่ตรงกลางของห้องที่ตัวเองดูแล จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนานครื้นเครงราวกับพี่น้องกันขึ้นมา
หลูจื้อนั่งลงข้างๆ ชุยหัง จากนั้นยกมือขึ้นวางทาบบนไหล่ของชุยหังพลางพูด: “ใช้ได้หนิ เก่งมาก นำร้องเพลงได้เองแล้วด้วย”
ชุยหังรู้สึกว่ามือของเขาแข็งแรงมากจริงๆ ข้อพับก็แข็งแรงมากๆ แต่ว่าเขามาจับชุยหังแบบนี้คือ เห็นชุยหังเป็นที่ฝึกมือคว้าจับ [1] หรือยังไง?
เขาเอียงหัวนิดหน่อยก่อนจะพูดตอบ: “ก็พอได้ แต่ก็ยังไม่เท่าสมัยยังวัยรุ่น”
“ปีนี้นายอายุเท่าไหร่แล้ว?” หลังหลูจื้อได้ฟังคำตอบของชุยหังก็เริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
ชุยหังพูดตอบ: “ไม่น้อยแล้ว บรรลุนิติภาวะมาสามปีแล้ว”
“21สินะ? มีแฟนยัง” หลูจื้อถามออกมาตรงๆ
คิดไม่ถึงว่าลึกๆ แล้วหลูจื้อก็แอบเป็นคนชอบเรื่องซุบซิบเหมือนกัน
ชุยหังเหลือบตามองเขาก่อนจะพูดว่า: “ครูฝึกครับ แล้วครูฝึกมีหรือยังครับ”
“นายเดาว่าไง”
“น่าจะไม่มี ใครจะไปคิดสั้นขนาดนั้น” ชุยหังพูดแขวะ
หลูจื้อหัวเราะออกมาแล้วพูดต่อ: “ถ้าอย่างนั้นคนที่ตกหลุมรักนายจะไม่เป็นคนตาบอดหมดหรอ”
เพื่อนร่วมห้องได้ยินเข้าต่างพากันหัวเราะคิกคักออกมา
วินาทีนี้ชุยหังไม่มีอารมณ์ที่จะมาต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว เมื่อกี้ตะโกนเยอะจนคอแหบแห้งแตกไปหมดแล้ว ไม่สามารถพูดตลอดเวลาได้ ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่าคอแห้งฝืดแล้วก็เจ็บขึ้นมา
“ครูฝึกครับ ผมอยากไปดื่มน้ำครับ” ชุยหังพูด
หลูจื้อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูด: “ได้ ไปเถอะ”
ความพยายามของชุยหังเมื่อครู่นี้เขาก็เห็นด้วยตาของตัวเอง อีกอย่าง ชุยหังคงอยากจะหลบๆ เขาสักหน่อยล่ะมั้ง
ชุยหังเดินออกมาถึงตรงมุมแล้วถือโอกาสที่ไม่มีใครทันได้สังเกตเดินออกจากโรงอาหาร แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมากดเปิดเครื่อง
สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังมากก็คือมันยังไม่มีข้อความใดๆ ตลอดจนการแจ้งเตือนหมายเลขที่ไม่ได้รับสาย
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลิวเฮ่อจะไม่เท่ากับว่าตายไปทั้งที่ไม่มีโรคหรอ
หรือว่าความบริสุทธิ์จะพ่ายแพ้ให้ระยะห่าง?
เขากดต่อสายไปหาหมายเลขของหลิวเฮ่อโดยตรง อยากจะพูดอะไรกับเขาสักประโยค
ตอนนี้ต่อสายติดแล้ว เสียงรอสายที่คุ้นเคยดังขึ้นและเขาก็กำลังรอประโยคแรกของหลิวเฮ่อว่าจะพูดอะไรกับเขา
“ฮัลโหล สวัสดีครับ”
ทางด้านหลิวเฮ่อกดรับสายแล้ว แต่ว่าเสียงนี้มันไม่ใช่เสียงของหลิวเฮ่อ
ชุยหังตะลึงงัน ไม่ทันได้สติตอบสนองกลับมา คนๆ นี้เป็นใคร
ฟังจากเสียงแล้วดูเหมือนจะเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น คงจะไม่ต่างไปจากเขามากเท่าไหร่
“ฮัลโหล ได้ยินผมไหมครับ” ทางนั้นถามกลับอีกครั้ง
“ผมโทรผิดหรือเปล่าครับ นี่ใช่โทรศัพท์ของหลิวเฮ่อหรือเปล่า” ชุยหังพยายามทำให้ตัวเองนิ่งสงบที่สุดแล้วถามออกไป
ทางนั้นตอบกลับออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ: “ใช่ครับ ผมเป็นเพื่อนของเขา เขากำลังอาบน้ำอยู่ คุณคือ?”
อาบน้ำ? หลิวเฮ่อกำลังอาบน้ำ แล้วเด็กชายแปลกหน้าคนนี้ก็มารับโทรศัพท์แล้วยังบอกว่าเป็นเพื่อนของเขาอีก
ใจของชุยหังเหมือนกับถูกฟ้าผ่าลงมาแล้วแตกสลายลงในทันที
เขาเหมือนได้ยินเสียงมีดคมๆ กรีดลงตรงกลางใจของเขาแรงๆ ความรู้สึกอึดอัดใจ ความเจ็บปวดนั้น แพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างกายอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีอะไร พวกนายสนุกให้พอใจนะ” ชุยหังรู้สึกว่าน้ำเสียงของตัวเองเปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่มีวิธีที่จะทนรับได้แล้วว่าเด็กผู้ชายคนนี้พูดอะไร
เขากลัวจริงๆ ว่าอีกเดี๋ยวพอหลิวเฮ่ออาบน้ำเสร็จแล้วจะกลับมาพูดอะไรบางอย่างกับเขา
กดตัดสายทิ้งไปแล้ว น้ำตาของเขาไหลลงมาในทันที อะไรก็ไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้อีกแล้ว
——
[1] ท่ามือคว้าจับ (擒拿手)เป็นศิลปะท่ากังฟูของเส้าหลิน