ตอนที่ 52 ถูกครูฝึกลากเข้าป่า
ชุยหังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกผลงานศิลปะที่ถูกเอาไปแสดงตามงานนิทรรศการไม่มีผิด ถูกหลูจื้อแบกไปแบกมา เขาก็ดูเหมือนไม่เหนื่อยเลย
เขายังแอบคิดว่ารู้แบบนี้ก่อนหน้านี้ตนคงจะกินเยอะๆ ให้กลายเป็นคนอ้วนซะก็ดี ให้กลายเป็นพวกผู้ชายแมนๆ ใจดำแบบหลูจื้อตอนนี้ไปเลย
ถึงแม้ว่าในใจของเขาจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขารู้ดีว่าถ้ายิ่งต่อต้าน หลูจื้อก็จะยิ่งฮึกเหิม คนเป็นทหารไม่รู้ว่าทำไมกับคนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ถึงได้เอาแต่ผูกขาดพยาบาทแบบนี้
แววตาของผู้หญิงบางคนไม่รู้ว่าเห็นอะไรเข้าถึงได้ฉายแววเป็นประกายขึ้นมาแปลกๆ
ชุยหังกำลังครุ่นคิด แย่แล้ว คงไม่ใช่สาววายหรอกนะ?
เรื่องความน่าจะเป็นที่แสนน้อยนิดแบบนี้ ตนคงไม่มีทางหลงเข้าไปเหยียบกับระเบิดง่ายๆ แบบนั้นหรอก
แต่ว่าพอคิดกลับกัน สายวายก็สาววายสิ ในเมื่อสาววายก็ไม่ใช่ว่าพอเห็นผู้ชายสองคนอยู่ด้วยกันแล้วจะคิดว่ามีเรื่องราวไปเสียหมด เพียงแต่ถ้าเจอคนสองคนที่พวกเขารู้สึกว่าเหมาะสมแต่ไม่ได้คบกัน จะรู้สึกเสียใจมากก็เท่านั้น
ถ้าหากพวกเขาเป็นสาววายจริงๆ ไม่รู้ว่าในหัวสมองของพวกเขาตอนนี้ จะมีนิยายที่เกี่ยวกับครูฝึกผุดขึ้นมากี่ฉบับแล้วนะ ไม่แน่อาจจะคิดว่าเขาเป็นฮวามู่หลานที่มาเป็นทหารแทนผู้เป็นบิดา แต่ไม่ทันได้ออกรบก็ถูกจับได้เสียก่อน นับแต่นี้ก็ถูกลวนลามต่างๆ นานา และทำให้เชื่องด้วยวิธีต่างๆ
ตอนช่วงระหว่างพัก ชุยหังคิดถึงเรื่องที่ตัวเองถูกนำไป ‘แสดง’ แล้วก็พลันหน้าแดงขึ้นมา
เพื่อนคนอื่นๆ ต่างก็พากันเหนื่อยมากจนไม่มีแรงแม้แต่จะพูดล้อเล่นแล้ว ต่างก็พากันใช้เวลาในการผ่อนคลายร่างกายอย่างเต็มที่
“ชุยหังวันนี้ทำได้ไม่เลวเลยนะ” หลูจื้อเดินเข้ามาหาแล้วพูด
ชุยหังไม่ได้พูดอะไร แอบคิดในใจว่า ไม่เลวน้องแกสิ นายดีใจมีความสุขแต่ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
“วันนี้ทำไมนายเอาแต่ทำหน้าบูดบึ้งอยู่ได้ ใครหาเรื่องนายหรอ” หลูจื้อค่อนข้างอึดอัดใจจึงถามออกมาตรงๆ
นี่เขาเลือกที่จะทำเป็นสูญเสียความทรงจำไปเลยเชียวหรือ ลืมไปแล้วว่าเมื่อกี้นี้มันเกิดอะไรขึ้นใช่ไหม
ชุยหังกำลังคิดว่า ปีศาจตนนี้จะอยู่ห่างจากเขาหน่อยไม่ได้หรอ
พอหลูจื้อเข้ามา พวกเพื่อนรอบตัวเขาทั้งจ้าวหลิน ถังเฉิงต่างก็พากันถอยออกไปจนหมด ต่างก็กลัวว่าจะเป็นเหมือนช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ [1] แล้วถูกครูฝึกลากไปจัดการเข้า
“โกรธหรอ” หลูจื้อถาม
ชุยหังพูดตอบ: “เปล่าครับ”
เขาพยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูราบเรียบที่สุด พยายามไม่ให้มีสีหน้าและความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น และฟังอารมณ์อะไรไม่ออกเลยด้วย
“ไม่เหมือนนี่นา แบบนี้โกรธชัดๆ” หลูจื้อกลับไม่ยอมเชื่อ
“ไม่มีจริงๆ ผมมีอะไรต้องโกรธ” ชุยหังพูด
“ไม่พูดความจริง ไม่ใช่นิสัยที่ดีนะ” หลูจื้อพูด
ชุยหังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พลางพูด: “ครูฝึกครับ ผมไม่ได้โกรธจริงๆ”
ไม่รู้ว่าหลูจื้อเป็นบ้าอะไร จู่ๆ ก็ลุกขึ้นพลางฉุดชุยหังให้ลุกด้วย จากนั้นก็เดินลากเขาเข้าไปในป่าไม้ข้างสนามกีฬา
ก่อนหน้านี้ชุยหังเคยได้ยินมาว่า ป่าไม้แห่งนี้เป็นสถานที่แปลกที่พวกรุ่นพี่ผู้ชายไร้ยางอายเคยใช้ปล้นชิงพวกรุ่นพี่รุ่นน้องสาวๆ ที่นี่ ต่อให้เจ้าหลูจื้อคนมุทะลุคนนี้อยากจะคุยส่วนตัวกับเขาและปัญหาเรื่องโกรธหรือไม่โกรธก็ควรจะดูสถานที่ก่อนสักหน่อยไหม
“ว่ามา โกรธแล้วใช่ไหม” หลูจื้อถามขึ้นมาอีก
“เปล่า ไม่มีจริงๆ” ชุยหังอธิบาย
“ไม่โกรธแล้วจะดึงหน้าซะยาวยืดขนาดนี้หรอ ไม่เป็นไร ต่อให้นายยอมรับว่าโกรธฉันก็จะไม่ขอโทษหรอก” หลูจื้อพูดอย่างมั่นอกมั่นใจบวกกับความจริงแท้แน่นอน
ชุยหังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทำยังไงก็เถียงไม่สู้เขา แทบอยากจะเอาหัวชนสักทีให้มันจบๆ
คิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็คิดออกหนึ่งประโยค มันเป็นคำพูดที่เมื่อวานหลูจื้อพูดกับเขา ตอนนี้เขาจะคืนมันให้หลูจื้อ
“ครูฝึกคงไม่ได้ตกหลุมรักผมเข้าแล้วใช่ไหม ครูมีแฟนแล้วไม่ใช่หรอ”
หลูจื้อตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าชุยหังจะกล้าพูดแบบนี้กับเขา
“นายพูดบ้าอะไรน่ะ ฉันก็แค่ถามนายว่าโกรธแล้วหรือเปล่า นายจะพูดเรื่องไร้สาระพวกนั้นกับฉันทำไม” หลูจื้อมึนไปแล้ว
ชุยหังมองแล้วดูเหมือนประโยคนี้จะใช้ได้ผลจึงถามไปอีกประโยค: “เพราะแบบนั้นผมถึงถามครูไง ครูสนว่าผมจะโกรธหรือไม่โกรธเพราะครูตกหลุมรักผมแล้วใช่ไหม”
ตอนที่ 53 เรียกอาซ้อ
หลูจื้อถูกคำพูดของชุยหังทำให้นิ่งไปแล้ว ชุยหังที่เป็นแบบนี้เขาก็พึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“ฉันไม่ใช่พวกชอบเพศเดียวกันสักหน่อย นายคิดอะไรเนี่ย” หลูจื้อถาม
“คิดถึงคุณไง” ชุยหังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
ใครใช้ให้นายเอาแต่ล้อฉันเล่น ครั้งนี้มาดูสิว่าใครมันจะแน่กว่ากัน
ตอนนี้หลูจื้อมึนไปแล้ว คำตอบนี้มันเหนือจากที่เขาคาดการณ์เอาไว้มาก
“นายแม่งวันนี้เป็นอะไรวะ ถามนายก็ไม่ตอบดีๆ แล้วยังมาตีหน้าบึ้งใส่ฉันอีก ไม่พอใจฉันหรอ มีความเห็นอะไรก็พูดมาตรงๆ เลย” หลูจื้อดูเหมือนจะเริ่มโกรธขึ้นมาแล้วนิดหน่อย
นายโกรธ นายเอาแต่แกล้งทรมานฉันแท้ๆ นายยังจะกล้าโกรธอีก?
ชุยหังมองท่าทีของเขาแล้วก็รู้สึกโกรธเอามากๆ
“ไม่มีความเห็น ใครจะกล้ามีความเห็นอะไรได้ ผมกลัวตาย ครูฝึกครับ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ” วินาทีนี้ชุยหังรู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้า และไม่สนใจด้วยว่าหลังจากนี้หลูจื้อจะแก้แค้นเขายังไง แต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะอยู่ในป่านี้กับหลูจื้อตามลำพังแล้ว
หลูจื้อมองเขาจากทางด้านหลังพลางตะโกนขึ้นเสียงดัง: “เจ้าเด็กน้อย นายคอยดูเถอะ”
ชุยหังแอบคิดในใจ คอยดูก็คอยดู ใครเขากลัวที่ไหนอ่ะ ยังกับว่าฉันกลัวนายนักล่ะ
ตอนนี้อารมณ์ของเขาไม่ดีเอามากๆ เลยจริงๆ เรื่องของหลิวเฮ่อที่คอยเฝ้าทำร้ายเขามาโดยตลอดมันยังไม่ทันผ่านไป
หรือจะพูดว่ามันพึ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
เพื่อนๆ ที่เห็นชุยหังเดินโมโหเป็นฟืนเป็นไฟกลับมาก็ไม่รู้ว่าระหว่างเขากับหลูจื้อเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็ไม่สามารถจะถามออกไปสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ทำได้เพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆ เขาแล้วทำให้เขาสบายใจขึ้นสักหน่อย แต่เพื่อคะแนนยังไงก็ต้องทนครูฝึกเอาไว้ก่อน
ชุยหังคิดในใจว่าทำยังไงตัวเองถึงจะสบายใจขึ้นมาบ้างสักหน่อย
ต้องอดทนกับหลูจื้อ นี่ตนยังอดทนกับเขาไม่พออีกหรอ
เขาเอาแต่คอยกลั่นแกล้งตนตลอด บอกว่าชุยหังดูไม่แมน ในวันที่ฝนตกหนักยังจะเรียกเขาออกไปอีก แล้วนี่ยังทำอย่างกับชุยหังเป็นผลงานศิลปะเอาไปแสดงตรงนั้นทีตรงนี้ที นี่ตนก็ทนมาตลอดไม่ใช่หรอ
เขาเป็นผู้ชายแท้ที่มีแฟนอยู่แล้ว ดูท่าทางแล้วยังดูเหมือนจะดูถูกพวกชอบเพศเดียวกันอีกด้วย ถ้าไม่มีเรื่องอะไรจะมายั่วเย้าเขาไปเพื่ออะไร
ประสาท เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
ชุยหังรู้สึกคับอกคับใจแต่ไม่มีวิธีไหนจะแสดงมันออกมา
ความรู้สึกแบบนั้นเขาสะกดมันไว้แบบสุดๆ แล้วจริงๆ
เดิมชุยหังคิดว่าถ้าลงโทษหลูจื้อแบบนี้แล้วเขาคงจะไม่มาเข้าใกล้ตนอีกแล้ว
อย่างมากสุดช่วงวันที่เหลืออยู่นี้ตนก็แค่ใช้ชีวิตปะปนผ่านไปวันๆ แบบนี้ เขาอยากจะประเมินแบบไหนก็แล้วแต่เขาจะประเมินไปเถอะ
คะแนนการฝึกทหารนี้เอาไม่ได้ ตนก็หาวิธีการอื่นเพิ่มคะแนนจากส่วนอื่นก็เรียบร้อยแล้ว
แต่พอถึงเวลาพักกินข้าวกลางวัน หลูจื้อก็ปรากฎตัวขึ้นอีกแล้ว
“ชุยหัง มานี่”
เขายังคงใช้คำพูดที่ไม่สามารถต่อต้านได้แบบเดิม
ชุยหังพูด: “ครูฝึกผมยังกินข้าวไม่เสร็จเลยครับ”
“ถือมา ถือมาให้หมด” หลูจื้อพูด
ชุยหังเหลือบมองพวกเหล่าต้าที่นั่งอยู่ข้างตัวเอง ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยกถาดข้าวตัวเองขึ้นแล้วเดิมตามหลูจื้อไปที่โต๊ะอีกตัวหนึ่ง ไปนั่งร่วมโต๊ะกับครูฝึกอีกคน
“ผบ.หมวดครับ พวกเราต้องเรียกอาซ้อ [2] แล้วใช่ไหมครับเนี่ย” ครูฝึกตัวอ้วนท้วมประจำห้องสองพูดล้อขึ้นมา
ชุยหังอยากจะบ้าแล้ว เรียกน้องแกสิ แกสิอาซ้อ อาซ้อบ้านแกสิ!
ครูฝึกคนอื่นๆ ร้องแซวขึ้นมาจากอีกด้าน หรือว่าตอนนี้ในกองทัพเขาเปิดกว้างขนาดนี้แล้วหรอ เปิดรับเรื่องแบบนี้ได้มากถึงระดับนี้แล้วหรอ
ชุยหังแอบสาปแช่งอยู่ในใจ แม่งเอ้ย ถ้ายังหัวเราะอีกขอให้กินคำนึงสำลักคำนึง ขอให้อาหารไม่ย่อยตลอดทั้งวัน
“พอแล้ว อีกเดี๋ยวมะเขือเทศจะถูกนายบดจนเละเป็นซอสแล้ว” หลูจื้อมองชุยหังที่มัวแต่เอาช้อนจิ้มมะเขือเทศที่อยู่ในถาดไม่ยอมหยุดมือ
นี่ตัวเองแสดงออกชัดเจนมากขนาดนั้นเลยหรอ เขาก้มหน้าลงต่ำและไม่ยอมฟังเสียงพูดคุยหัวเราะของพวกครูฝึกเหล่านั้น
“เรียกอาซ้อบ้าอะไรล่ะ ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย” จู่ๆ หลูจื้อก็พูดประโยคนี้ขึ้นมา
——
[1] ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ หมายถึง คนใหญ่คนโตขัดแย้งมีปัญหากัน หรือผู้นำของแต่ละฝ่ายนั้นมีปัญหาทะเลาะกัน แต่ส่งผลให้ผู้น้อยหรือประชาชน
[2] อาซ้อ (大嫂)แปลว่าพี่สะใภ้