[นิยายแปล] ซาซากิกับพีจัง! – ตอนที่ 2 คำเชิญสู่ต่างโลก (2)

วันรุ่งขึ้นเป็นวันธรรมดา ขี้ข้าบริษัทที่ถูกบีบบังคับให้ต้องมางานตรงเวลาก็ต้องเตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังที่ทำงาน

ทว่า ขั้นตอนวันนี้ดูจะแตกต่างออกไปจากเดิมนิดหน่อย

 

“ มาถึงได้ภายในชั่วพริบตาเลยจริงด้วย….. ”

 

พอพีจังกล่าวร่ายมนตร์คาถา ก็พลันมีวงแหวนเวทมนตร์ล่องลอยขึ้นมาอยู่บริเวณเท้าเราเนี่ยแหละ แล้วฉับพลันหลังจากนั้น ทิวทัศน์รอบตัวก็เปลี่ยนแปลงจากบ้านพักกลายเป็นตรอกถนนฝั่งตรงข้ามของที่ทำงานเฉย ทำการเดินทางผ่านระยะกว่าหลายสิบกิโลได้ภายในเวลาเพียงแค่พริบตาเลยทีเดียวเชียว

เพราะแบบนี้วันนี้ก็เลยหลีกเลี่ยงจากรถไฟคนแน่นเอี๊ยดได้ ไม่มีอะไรจะน่าปลื้มปีติยินดีมากไปกว่านี้แล้ว

หวนนึกถึงหน้าของชายวัยกลางคนที่แก่กว่าเราอยู่เท่าตัวนึงและมักจะคอยปะทะต่อกรแก่งแย่งที่นั่งกันอยู่เรื่อยเสมอมา ต้องปล่อยให้ศึกตัดสินกับเขาต้องจบลงด้วยความพ่ายแพ้เนื่องจากไม่ได้ก้าวลงสนามนี่มันก็ช่างน่าเจ็บใจเหลือเกิน แต่ถ้าคิดว่าได้ก้าวขึ้นไปยังสเตจถัดไปก่อนล่วงหน้าแล้ว แบบนี้เองก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งไม่แพ้กัน

 

[ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ?]

“ เอ้อก็อาจจะใช่แหละ แต่มันก็น่าตกใจอยู่ดีนะ ”

[ให้ว่าแล้วเมื่อวานเจ้าก็ได้สัมผัสไปครั้งนึงแล้วนี่]

“ เมื่อวานมันนั่นไง คิดว่าเป็นวิธีการสำหรับเดินทางไปต่างโลกอะไรงี้ ”

[แนวคิดที่เป็นหลักการมันก็แบบเดียวกันนั่นล่ะ]

 

แอบซุบซิบๆแลกเปลี่ยนคำพูดอยู่กับพีจังที่เกาะอยู่เหนือไหล่

เคราะห์ดีไปที่บริเวณรอบๆไม่มีใครอื่นอยู่เลย

พีจังบอกว่าถ้าใช้เวทมนตร์แล้ว ก็จะเดินทางไปถึงบริษัทได้ภายในพริบตาเดียวเลยไง แล้วพอลองขอร้องดูเชิงปุ๊บ ก็แว๊บมาได้จริงๆซะด้วยนั่น เพราะงี้แหละตอนนี้เลยโคตรจะตื่นเต้นสุดๆจนไม่สมกับวัยไปเลยเชียว เป็นเวทมนตร์ที่ทำให้สัมผัสได้ถึงความเป็นไปได้อันสุดยอดเยี่ยมกระเดียมทองไปเลยไม่ใช่หรือไร

 

“ เจ้าเวทนี่ผมเองก็ใช้ได้รึเปล่านะ? ”

[ตัวเจ้าในตอนนี้ได้รับพลังเวทของเราไปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม้จะมีอำนาจที่จำเป็นสำหรับใช้งานอยู่กับตัว แต่ก็ยังไม่อาจใช้เวทมนตร์ได้ ทว่า หากขยันหมั่นฝึกฝนอยู่ทุกวันแล้วละก็ ซักวันก็คงจะสามารถใช้ได้อย่างเช่นเราเองนั่นละ แต่เวทบางบทก็คงจะต้องใช้เวลาซักระยะ]

“ อ๊ะ ประเด็นนี้อยากขอฟังแบบละเอียดๆมากกว่านี้หน่อยนะ…. ”

[ไว้กลับจากทำงานแล้วจะบอกให้ฟัง]

“ จริงเหรอ? ขอบคุณมากนะ พีจัง ”

[เราจะกลับไปรออยู่ที่บ้านของเจ้าแล้วกัน]

 

รู้สึกตื่นเต้นตั้งตารออยากให้เลิกงานไวๆขึ้นมาเลย

วันนี้รีบเคลียร์งานให้เสร็จแล้วกลับบ้านแต่เนิ่นๆดีกว่าแฮะ

 

“ ถ้าอยากจะถ่ายก็ช่วยใช้ที่ขับถ่ายข้างในกรงทีนะ ”

[ไม่ต้องเป็นกังวลไป เรารู้อยู่แล้ว]

 

ในฉับพลันที่พึมพำออกมาสั้นๆแบบนั้น ร่างของพีจังก็หายวับไปยังที่ไหนซักแห่งพร้อมกับวงแหวนเวทมนตร์

ขนาดที่ขับถ่ายก็ยังจดจำได้ในทันทีเลยเหรอเนี่ย ทำไมถึงเป็นนกกระจอกชวาที่ชาญฉลาดมากถึงขนาดนี้นะ

มากความสามารถขนาดนี้แต่ราคาตัวแค่สามพันเยนเอง สุดจะคุ้ม

ยังฉงนอยู่จนถึงตอนนี้ว่าทำไมราคาถึงได้ถูกกว่าตัวอื่นๆมากขนาดนั้น

 

 

 

 

สภาพของที่ทำงานก็ยังคงเหมือนเคย

เป็นบริษัทการค้าระดับกลางค่อนไปทางเล็กที่มีอยู่เกลื่อนกลาดทั่วไป ไม่ได้มีชื่อเสียงเรียงนามโด่งดังอะไรเลย นอกจากยอดขายจะไม่สวยแล้ว เงินเดือนก็ยังจะไม่งามอีก แน่นอนว่าค่า OT ก็ไม่ได้ ชีวิตความเป็นอยู่มันก็เลยลำบากยากจนตลอดทางตั้งแต่เข้าบริษัทมายันตอนนี้เลย

ถึงอย่างนั้นแต่ที่ทำให้ย้ายที่ทำงานไม่ได้ มันก็เป็นเพราะปัญหาของตัวเราเองที่พอทำงานๆอยู่รู้สึกตัวอีกทีก็อายุเกินเลข 3 ไปซะแล้วนี่แหละ สำหรับเราที่เคยสัมผัสยุคน้ำแข็งของการจ้างงานมากับตัวแล้ว สังคมมันนับว่าเป็นสิ่งที่น่าขนพองสยองเกล้าสุดขีดทีเดียว ดังนั้นก็เลยถูกใช้งานเยี่ยงเบ๊มาจนยันอายุปูนนี้

แล้วก็คิดว่าต่อจากนี้ไปก็คงจะถูกใช้งานไปเรื่อยๆจนกว่าจะตายเลยด้วย

 

“ รุ่นพี่ครับ หนังสืออนุมัตินี่น่ะครับ รุ่นพี่ช่วยดูให้ผมหน่อยได้รึเปล่าครับ? ”

“ อื๋อ~? ”

 

มีเพื่อนร่วมงานที่อยู่โต๊ะข้างๆ ส่งเสียงเข้ามาทัก

เค้าเป็นเด็กใหม่ที่เข้าบริษัทมาได้ 4 ปีแล้วแน่ะ

พอจบวิทยาลัยเทคนิคแล้วก็เข้ามาทำงานเลย ปีนี้ก็เลยมีอายุได้ 24 ปี

อยู่มาตั้ง 4 ปี หากเป็นที่บริษัทอื่นๆคงจะถูกนับเป็นคนมากประสบการณ์ในระดับนึงไปแล้ว และในบริษัทเราแล้วเขาคนนี้ก็ถือเป็นพวกพ้องที่เก่งมากความสามารถพอตัวเลย แต่เพราะพนักงานที่เข้ามาก่อนเขาต่างก็เป็นคนที่อายุห่างกว่าเกือบเท่าตัวหมด จนถึงตอนนี้พ่อหนุ่มแกก็เลยยังถูกคนโน้นคนนี้เรียกว่าเป็นเด็กใหม่อยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ช่างเป็นคนหนุ่มที่น่าสงสารเหลือเกิน

แต่ถ้าให้พูดตามความเห็นส่วนตัว ก็คิดว่าเขาคนนี้เนี่ยแหละทำงานเก่งที่สุดในแผนกนี้แล้ว

 

“ ……อืม คิดว่าประโยคตรงนี้มันดูขัดๆอยู่นะ ”

“ อ๊ะ ดูขัดจริงด้วยสินะครับเนี่ย ”

“ หัวหน้าฝ่ายแกเป็นคนขี้โวยวายด้วยนี่นะ คิดว่าไปใส่คำอธิบายเพิ่มมาหน่อยนึงน่าจะดีกว่า ”

“ ขอบคุณรุ่นพี่มากๆครับ ”

“ เอาจริงๆ เธอก็ไม่ควรจะต้องมาเสียเวลาทำอะไรไม่เข้าเรื่องแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เชิญถามมาได้สบายๆเลยไม่ต้องเกรงใจหรอก ให้ว่าแล้วงานพวกนี้โยนมาให้ผมทำแทนก็ได้นะ แล้วเธอก็หันไปทำงานที่สมกับเป็นงานจริงๆแทนซะจะดีกว่า ”

“ งานที่มันเป็นงานจริงๆนี่เช่นอะไรเหรอครับ? ”

“ ก็นั่นไง พวกงานแบบที่เอาไปใช้กับบริษัทอื่นได้ด้วยอะไรงี้…… ”

“ ………… ”

“ ……..เป็นอะไรไปเหรอ? ”

“ เปล่าครับ แค่คิดว่ารุ่นพี่พูดถูกเผงเลยเท่านั้นน่ะ ”

“ ใช่มะ? ”

 

ยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย น่าจะมีสถานที่ดีๆให้เขาได้เฉิดฉายอยู่อีกมากมายนัก

ไม่เห็นจำเป็นต้องมาเสียเวลาทำงานต๊อกต๋อยอยู่ในบริษัทคร่ำครึแบบนี้ซักนิด

 

“ ไปสูบบุหรี่ด้วยกันซักมวนไหมครับ? ”

“ อ่าไม่ละ ผมไม่สูบบุหรี่น่ะ ”

“ ถ้างั้นไปหาอะไรดื่มให้ชุ่มคอแทนก็ได้นะครับ ”

“ อ่า ถ้างั้นก็ได้อยู่ละมั้ง…… ”

 

พอถูกชวนแล้วก็ลุกขึ้นจากโต๊ะเริ่มต้นเดินไป

ตามปกติแล้วก็คงจะมุ่งตรงไปยังตู้ขายน้ำอัตโนมัติที่ถูกตั้งอยู่ในชั้นเดียวกันนี่แหละ แต่ทว่า เท้าของพ่อหนุ่มเค้ากลับเดินตรงผ่านตู้ขายน้ำมุ่งไปข้างนอกตึก แม้จะแอบสงสัยว่านั่นเขาจะไปที่ไหนกันแน่ แต่ก็ตัดสินใจไล่ตามหลังไปอย่างว่าง่าย

และที่หมายปลายทางซึ่งพวกเรามาถึงในที่สุด ก็คือตรอกถนนใกล้ๆตึกที่มีสำนักงานของเราตั้งอยู่

ถนนกว้างซัก 2-3 เมตรได้มั้ง

แล้วก็ไม่เห็นจะมีตู้ขายน้ำอยู่ที่ไหนเลย

คิดจะพูดอะไรในสถานที่ซึ่งแทบจะไม่มีคนแบบนี้กันหว่า

พอกำลังฉงนแบบนั้นอยู่ หนุ่มเพื่อนร่วมงานก็เริ่มพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

 

“ รุ่นพี่ สนใจจะแยกตัวออกจากบริษัทไปด้วยกันกับผมไหมครับ? ”

“ เอ๊ะ? ”

“ ผมว่าจะลาออกจากบริษัทนี้ในเดือนหน้าครับ ”

“ …….งี้นี่เอง ”

 

เป็นเรื่องที่ชวนหนักอึ้งยิ่งกว่าที่คิดไว้

พอลองฟังแบบละเอียดๆดูแล้ว ก็ทราบว่าพ่อหนุ่มเขาเริ่มเตรียมตัวที่จะเปิดกิจการของตัวเองมาตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว ดูเหมือนว่าจะคุยทำเรื่องกับซัพพลายเออร์ที่เขารู้จักอยู่ไปหลายที่แล้ว ในด้านของทีมงานนี่ เห็นว่าเขาลองเอาเรื่องไปเสนอให้เพื่อนๆสมัยที่เรียนด้วยกันฟัง จนรวบรวมสมาชิกมาได้พอประมาณแล้วด้วยหรือไงนี่

 

“ พอดีอยากจะได้คนที่มีประสบการณ์มากล้น เคยผ่านน้ำร้อนมาก่อนอย่างรุ่นพี่มาช่วยเป็นกำลังให้ด้วยอีกแรงน่ะครับ ”

“ …………… ”

 

แต่เพราะว่าโดยรวมแล้วต่างก็มีแต่คนหนุ่มๆ ก็เลยคิดอยากจะหาคนที่มีอายุหน่อยมาเข้าร่วมด้วยซักคนนึง……เนี่ยเหมือนว่าจะเข้ามาทักเราด้วยอารมณ์ราวๆนั้นแน่ะ รู้สึกยินดีสุดๆไปเลยแหละนะที่อุตส่าห์คิดจะชวนกันด้วย แต่มันออกจะกะทันหันฉุกละหุกพอควรจนเล่นทำเอาสะดุ้งเลย

 

“ พอจะเป็นไปได้ไหมครับ? คิดว่าผลตอบแทนจะต้องดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่ๆครับ ”

“ นะ นั่นสิเน้อ…. ”

 

มันก็คงจะให้คำตอบในที่นี่เลยไม่ได้หรอกเอ้อ

เพิ่งจะรับพีจังมาเลี้ยงไปเมื่อวานเองด้วยอีกตะหาก จะทั้งเวลาทั้งปัญญาก็ไม่มีทั้งคู่เลยแหละตอนนี้

 

“ ขอเวลาให้ได้คิดดูหน่อยได้มั้ย? ”

“ ครับ ได้แน่นอนฮะ ถ้ายังไงซะจะลองดูท่าทางอยู่จากข้างนอกก่อนซักหนึ่งปีก็ไม่เป็นไรครับ คนหนุ่มอย่างพวกเราเล่นคิดจะตั้งกิจการกันเองแบบนี้ จะกังวลก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกครับ จะหวั่นใจมันก็แน่อยู่แล้วครับ ”

“ เอ้ยไม่ใช่แบบนั้นสิ พอดีตอนนี้ชีวิตส่วนตัวมันออกจะยุ่งๆหน่อยน่ะนะ ”

“ เอ๊ะ? อ๊ะ หรือว่ากำลังวางแผนจะแต่งงาน…. ”

“ ……เปล่าๆ นั่นก็ไม่ใช่หรอกนะ ”

“ งะ งั้นเหรอครับ? ขอโทษด้วยฮะ ดันถามอะไรแปลกๆไปซะได้ ”

“ แต่ดีใจมากเลยที่อุตส่าห์มาชวนกันด้วย ขอบใจมากนะ ”

“ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอกครับ ถ้ารุ่นพี่ช่วยพิจารณาหน่อยจะเป็นพระคุณอย่างมากเลยครับ ”

“ อือ ”

 

เหมือนว่าพ่อหนุ่มเค้าจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนแน่ะ ก็มีคิดว่าเป็นคนเก่งมาซักพักแล้วล่ะ แต่คิดจะตั้งกิจการด้วยอายุแค่นี้เลยเหรอเนี่ย สุดยอดไปเลยนี่นา ถูกคนสุดยอดแบบนั้นเข้ามาทักทายขอแรงตรงๆแบบนี้มันก็พลอยทำให้รู้สึกดีใจตามไปด้วยนะ

ถ้าเกิดมีอะไรที่พอจะช่วยเป็นประโยชน์ให้ได้ ไว้ตอนนั้นค่อยลองให้คำตอบกับเขาดูอีกทีก็แล้วกัน  

 

 

 

 

เป็นในช่วงที่เดินทางจากบริษัทกลับมาอยู่หน้าประตูห้องอพาร์ตเม้นท์

เผอิญพบเห็นบุคคลนึงอยู่หน้าประตูห้องข้างๆ

เด็กมัธยมต้นที่สวมชุดกะลาสีของโรงเรียนในละแวกใกล้ๆนี้ เค้ากำลังนั่งกอดเข่าเอาหลังพิงบานประตูอยู่แหละ ที่กองอยู่ข้างตัวก็คือกระเป๋าซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของทางโรงเรียน พอสังเกตเห็นตัวแล้วหันมองไป คุณเธอเองก็แหงนมองขึ้นมาหาด้วยเช่นกัน แววตาของสองเราต่างบรรจบกัน

 

 

“ ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ ”

 

ได้รับคำทักทายมาด้วย

ช่วงนี้สภาพอากาศก็เริ่มจะชักหนาวขึ้นมาเรื่อยๆแล้ว ขนาดมองผ่านหางตาแต่สภาพของสาวแกที่เอามือกอดรอบเข่าแล้วขดตัวกลมนั่นก็ช่างชวนให้รู้สึกหดหู่เหลือเกิน ไม่เห็นมีท่าทีเหมือนสวมเครื่องป้องกันความหนาวอยู่ใต้กระโปรงเลย ถุงน่องที่ถูกดึงขึ้นมาจนสุดมันแพลมโผล่ออกมาให้เห็น ยิ่งวันนี้มีลมพัดมาเป็นช่วงๆด้วย คงจะหนาวน่าดูชม

 

“ อากาศชักจะหนาวแล้วนะ ไม่เป็นไรเหรอ? ”

“ ……ไม่เป็นไรค่ะ ”

 

ไม่ได้เพิ่งจะเคยพูดคุยกับเด็กสาวคนนี้เป็นครั้งแรก

พบหน้ารู้จักกับเด็กคนนี้มาตั้งแต่สมัยที่เธอยังสะพายกระเป๋าสะพายของเด็กประถมอยู่เลยเชียวล่ะ

เด็กคนนี้กับแม่ของเธอได้อาศัยอยู่ภายในอพาร์ตเม้นท์แห่งนี้มาตั้งแต่ก่อนหน้าที่เราจะย้ายเข้ามาซะอีก และหากเชื่อตามคำพูดของเจ้าตัวที่นั่งแหมะอยู่หน้าห้องแล้ว ก็เหมือนว่าน้องแกจะไม่สามารถเข้าห้องได้จนกว่าที่แม่จะกลับมาถึงบ้านแหละ อย่างที่พูดกันว่าพ่อแม่รังแกฉัน หรือจะเรียกว่าเป็นพวกเลี้ยงลูกแบบปล่อยปละละเลยตามมีตามเกิดก็ได้มั้ง

ช่วงนั้นไม่มีโอกาสให้ได้พูดกันเลยด้วยซ้ำ ทำมากสุดก็แค่แจ้งเรื่องให้กับหน่วยงานของภาครัฐแบบไม่ประสงค์ออกนามเท่านั้นเอง แล้วจากนั้นก็ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เรื่อยมา ก็รู้สึกสงสารอยู่หรอกนะ แต่ถ้าเข้าไปทักชวนคุยแบบมั่วๆแล้วละก็ทางนี้มีหวังได้โดนตำรวจรวบไปแหงๆ งานดูแลเด็กแบบเนี้ยมันสมควรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐบาลไงใช่มะ

 

“ เอ้านี่ ถุงอุ่นแบบใช้แล้วทิ้ง ถ้าไม่รังเกียจละก็…… ”

“ รับไว้ได้หรือคะ? ”

“ ร้านขายลดราคาถูกมากๆพอดีน่ะ เลยเผลอซื้อมาเยอะเกินไปหน่อย ”

“ ……ขอบคุณค่ะ ”

 

แต่แม้จะแจ้งเรื่องกับทางหน่วยงานไป กลับไม่เห็นวี่แววว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเลย

แล้วพอผ่านไปได้หลายเดือนหลังจากนั้น

ในตอนที่ออกจากงานเลี้ยงฉลองของบริษัท ขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้ายกลับมาถึงอพาร์ตเม้นท์ได้ในยามมืดค่ำดึกดื่นนั่นเอง ที่พบเห็นเธอคนนี้กำลังนั่งกอดเข่าด้วยท่วงท่าเดียวกับตอนนี้อยู่หน้าประตูห้อง และเสียงท้องร้องดัง จ๊อกกก ของคุณเพื่อนบ้านที่ดังสนั่นยิ่งกว่าเสียงปลดกลอนประตูนั่นแหละที่กลายต้นเหตุ

ตัวเราในตอนนั้นคงจะรู้สึกสงสารเวทนาเธอคนนี้ขึ้นมาละมั้งนะ

ทำให้ตัดสินใจมอบขนมปังหวานที่อยู่ในห้องให้ไป นี่แหละคือการปฏิสัมพันธ์ครั้งแรกสุดกับเธอคนนี้

หลังจากนั้นเป็นต้นมา หากเผอิญเจอหน้ากันแล้วก็จะมอบของเล็กๆ น้อยๆ ให้อยู่เรื่อยเสมอมา

 

“ งั้นก็ไปก่อนนะ ”

“ ค่ะ…… ”

 

พยักหน้านิดๆให้กับคุณเพื่อนบ้านแล้วจึงเข้ามาในห้อง

จะไม่เชิญเข้ามาภายในห้องเป็นอันขาด ต่อให้เจ้าตัวสมยอมก็ตามที แต่หากเอาตัวผู้เยาว์เข้ามาในห้องแล้วก็จะถือว่าเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์อยู่ดี แถมเท่าที่ลองตรวจสอบดูแล้ว ต่อให้เพิ่งทำความผิดเป็นครั้งแรกแต่ก็เห็นว่าจะโดนโทษในทันทีไม่มีรอลงอาญาเป็นส่วนมากเลยด้วยแหละ

ถ้าอีกฝั่งเป็นผู้ปกครองใจไม้ไส้ระกำที่ปล่อยปละละเลยลูกเต้าได้อย่างต่อเนื่องด้วยละก็ยิ่งแล้วใหญ่ คงจะแบกรับความเสี่ยงมากขนาดนั้นไม่ได้หรอก

ดังนั้นก็เลยต้องพูดคุยให้น้อยที่สุดด้วย

ถือเป็นการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จนกว่าที่เธอจะแยกออกไปยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้นั่นแหละ

 

 

 

 

ในเย็นวันนั้น ก็ได้พีจังช่วยทำการเล็คเชอร์เกี่ยวกับเวทมนตร์ให้ฟังอยู่ที่บ้าน

พอกลับมาปุ๊บ กินข้าวเย็นอาบน้ำทำความสะอาดทั้งกายและใจให้เรียบร้อยเสร็จสรรพแล้วก็ลุยกันเลย ตำแหน่งคือเราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งหันหน้าเข้าชนกับโต๊ะ แล้วก็พีจังที่บินออกจากกรงมาเกาะอยู่บริเวณแนวด้านบนของตาข่ายซึ่งตั้งอยู่เหนือกล่องสามชั้นตรงมุมห้อง

เนื่องจากเป็นห้องเดี่ยวแสนคับแคบ ตำแหน่งนี้ก็เลยคงจะเป็นระยะห่างระหว่างเรากับพีจังไปซักพักนึงเลยนั่นแหละ

 

“ ………งี้นี่เอง ถ้าร่ายมนตร์พร้อมกับลองจินตนาการสร้างอิมเมจดูแล้วเวทมันจะพุ่งออกมาสินะ ”

[เจ้าได้รับพลังส่วนหนึ่งของเราไปแล้ว ฉะนั้นด้านพลังเวทนี่ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล น่าจะสามารถใช้เวทมนตร์ส่วนมากได้โดยไม่ต้องพะวงว่าพลังเวทจะหมดเลยกระมัง หากเจ้ากล่าวคำร่ายได้ถูกต้องเหมาะสม และวาดอิมเมจได้มั่นคงพอสมควรก็จะเรียกใช้เวทมนตร์ได้เองนั่นล่ะ]

“ ฟังดูธรรมดาผิดคาดเนอะ ”

[ธรรมดาอย่างไรกัน?]

“ อ่าเปล่าๆหรอก อย่าไปสนใจเลย ”

 

ถ้าอย่างนั้นปัญหามันก็จะมากองอยู่ตรงความยุ่งยากของคำร่ายนี่แหละ ถ้าเล่นบอกว่าคำร่ายยาวกินเนื้อที่กระดาษเอกสารหน้าหนึ่งได้นี่ก็ขอสารภาพแบบซื่อๆเลยว่าน้ำหน้าอย่างเราคงมีปัญญาจำได้แค่สองสามบทเท่านั้นแหละ ถ้ายาวขนาดราวๆเดียวกับคำร่ายในเกมแฟนตาซีจะดีมาก แต่ของจริงจะเป็นยังไงนี่สิ

 

“ คำร่ายนี่มันยาวประมาณซักเท่าไหร่เหรอ? ”

[ขึ้นอยู่กับประเภท มีทั้งบทที่สั้นแล้วก็บทที่ยาว บทที่สั้นที่สุดนั้นแค่เอากลุ่มคำมาเรียงกันไม่กี่พยางค์ก็เรียบร้อย กลับกันแล้ว บทที่ยาวนั้นก็มีบางประเภทที่ยาวเท่าเนื้อหาของหนังสือหนึ่งเล่มเลยทีเดียว เกี่ยวกับอย่างหลังนี่คงไม่อาจจดจำได้หมดหรอก]

“ขอบเขตค่อนข้างกว้างเลยสินะ ”

 

ยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีก

ทำเอานึกถึงการอ่านออกเสียงในคาบภาษาญี่ปุ่นสมัยยังเป็นเด็กนักเรียนขึ้นมาเลย จะว่าไปแล้ว โอคาวะอุจิคุงที่พอถูกอาจารย์เรียกตัวให้อ่านปุ๊บ ก็ถึงสะบัดยกหนังสือเรียนขึ้นมาแผ่อยู่กลางหน้า พร้อมกับกู่ก้องร่ำร้องกล่าวคำร่ายของเวทมนตร์ในอนิเมะที่กำลังฮิตๆช่วงนั้นนี่ ป่านนี้เป็นยังไงแล้วบ้างน้า ยังแข็งแรงดีอยู่รึเปล่าน้า

ปรากฎว่าโคตรจะแป้กทั่วทั้งห้องกริบหมด ถ้าตอนนั้นไม่เผอิญว่าออดหมดคาบดังขึ้นพอดีแล้วละก็ มีหวังได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแหงเลย

 

[ถ้าชินแล้วก็จะสามารถใช้โดยไม่ต้องกล่าวคำร่าย แต่ในกรณีนั้นก็จำเป็นที่ต้องวาดอิมเมจให้ชัดเจนและแจ่มแจ้งมากขึ้นด้วย เกี่ยวกับตรงนี้มันออกจะอธิบายลำบากหน่อย แต่ถ้าทดลองใช้ดูซักร้อยครั้ง พันครั้งแล้วเดี๋ยวก็จะค่อยๆซึมซับเข้าไปในร่างกายจนสามารถใช้ได้เองนั่นละ]

“ พอลองฟังแบบนี้ดูแล้ว ก็เหมือนว่าจะเป็นอะไรที่ต้องใช้ทักษะยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้อีกนะเนี่ย ”

[อืม เพราะเช่นนั้นละการจะจดจำเวทมนตร์จึงกินเวลานาน]

 

นึกว่าจะเป็นอะไรที่สะดวกมากกว่านี้แท้ๆ ท่าจะลำบากแฮะแบบนี้

สรุปก็คือคล้ายๆกับการวาดภาพนั่นแหละมั้ง มือใหม่เนี่ยต้องวาดโครงก่อนแล้วค่อยต่อเติมเสริมแต่งไปเรื่อยๆ กลับกันแล้วมือโปรนี่คือสามารถแต่งแต้มรายละเอียดได้ด้วยฝีมือตัวเองเลย บางคนก็อาจจะเซียนถึงขั้นเริ่มลงเส้นจริงตั้งแต่แรกเลยก็ได้เหมือนกัน

ต้องใช้คำร่ายกับไม่ต้องนี่ก็คงคล้ายๆกันนั่นแหละนะ

พอคิดแบบนี้แล้ว ก็เริ่มจะรู้สึกว่าเป็นอะไรที่มีเส้นชัยอยู่ห่างไกลม๊ากมากขึ้นมาเลยเนี่ย

ไอ้เราก็วาดภาพไม่เก่งด้วยไงประเด็น

 

“ ส่วนตัวแล้ว ผมอยากจะใช้เวทเคลื่อนย้ายตำแหน่งที่พีจังแสดงให้ดูเมื่อเช้านี้น่ะ ”

[นั่นมันเป็นเวทมนตร์ระดับสูงพอสมควรเลย แม้คำร่ายจะไม่ได้ยืดยาวอะไรมาก แต่การจะวาดอิมเมจให้ได้ลงตัวนั่นถือเป็นอะไรที่ยากอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว เจ้าเองก็เพิ่งจะเริ่มต้นเรียนรู้ใช้เวทมนตร์ ไม่อยากจะแนะนำให้ฝึกใช้เวทนี้เป็นเวทแรกซักเท่าไหร่]

“ งี้นี่เอง ”

 

แต่ถึงอย่างนั้นเราก็อยากจะใช้เวทเคลื่อนย้ายพริบตาอะน้า  

ข้ามรถไฟคนแน่นเอี๊ยดได้เลยนะ ทำให้เวลาเดินทางกลายเป็นศูนย์ได้เลยเชียวนะ สำหรับขี้ข้าบริษัทที่ต้องมาทำงานอยู่ในเมืองหลวงแล้วเนี่ย มันถือเป็นสิ่งที่มีมูลค่าหาที่เปรียบมิได้เลยทีเดียวเชียว—หน้าร้อนก็ไปอยู่บ้านเช่าราคาถูกๆในฮอกไกโด หน้าหนาวก็โผล่ไปจองที่พักราคาเป็นกันเองในโอกินาว่า แล้วระหว่างนั้นก็มาทำงานในเมืองหลวงไปด้วย…เนี่ยฝันแบบนั้นจะกลายเป็นจริงได้เลยเชียวนะ

ไม่ว่ายังไงก็อยากจะใช้ให้ได้สุดๆ

เอ้อแล้วก็ วันนี้เราเปิดแอปแผนที่แสดงตำแหน่งของบริษัทกับทิวทัศน์โดยรอบให้พีจังตรวจสอบก่อนที่จะให้เขาพาไปส่งถึงที่แน่ะ เห็นพีจังบอกว่าหากไม่ใช่สถานที่ที่เคยไปมาก่อนครั้งนึงมันจะลำบากเอาเรื่องอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาถึงได้ง่ายผิดคาดเช่นนี้……พูดไปแล้วก็ทำหน้าตกใจอยู่เหมือนกัน

ถ้าเอารูปถ่ายจากดาวเทียมมาใช้ประสานกับเวทมนตร์นี้คงจะน่ากลัวพิลึก

 

“ ถ้างั้นก็อยากจะขอเรียนเวทมนตร์พร้อมกันทีเดียวสองบทน่ะ ได้รึเปล่า? บทนึงขอเป็นเวทมนตร์ที่พีจังคิดว่าน่าจะจำได้ง่ายที่สุด แล้วก็อีกบทนึงเป็นเวทเคลื่อนย้ายตำแหน่ง ฟังดูเป็นไง? ”

[ละโมบเหมือนกันนี่ เจ้ามีความสนใจในเวทมนตร์มากถึงเพียงนั้นเลยเชียวหรือ?]

“ ไม่เชิงใช่เวทมนตร์เดี่ยวๆ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือสนใจในเวทมนตร์เคลื่อนย้ายตำแหน่งแน่ะ ”

[งั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็จงขยันฝึกฝนให้มากๆเสียเถอะ เราจะสอนคำร่ายให้เอง แล้วก็ ในช่วงระยะนี้เดี๋ยวเราจะช่วยพาไปส่งยังบริส่งบริษัทอะไรนั่นให้ด้วยก็ย่อมได้ เวทมนตร์บทนั้นหากได้สัมผัสด้วยตัวเองโดยตรง แล้วน่าจะช่วยให้วาดอิมเมจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น]

“ ขอบใจมากนะ ช่วยได้มากเลยล่ะพีจัง ”

 

ช่วงเวลาในยามค่ำคืนก็ผ่านไปด้วยเหตุนี้แหละ

เกี่ยวกับคำร่ายที่จำเป็นในการใช้เวทมนตร์นี่ ใช้วิธีการจดสิ่งที่พีจังพูดออกมาปากเปล่าลงไปในสมุดโน๊ต เวทมนตร์เคลื่อนย้ายตำแหน่งนี่คือยาวขนาดครึ่งหน้ากระดาษเอกสารเลย กลับกันแล้วเวทมนตร์อีกบทมีความยาวแค่ประมาณกลอนวรรคเดียวเอง

ไว้ค่อยจำเจ้าพวกนี้ไปพลางระหว่างทำงานก็แล้วกัน

จะอะไรๆก็ควรจะทำแบบพอดีๆ ถ้ารีบเร่งจะทำอะไรที่ไม่คุ้นชินให้ได้แบบเร็วๆ แบบนั้นไม่นานเดี๋ยวก็คงจะหมดไฟหมดกะใจไปแหงๆ ค่อยพยายามไปทีละนิดทีละหน่อยเรื่อยๆเนี่ยแหละเหมาะกับเราที่สุดแล้ว..….แต่ เกี่ยวกับเวทมนตร์เคลื่อนย้ายตำแหน่งเนี่ย มันช่างทรงเสน่ห์มากยิ่งจนอยากจะรีบฝึกสุดๆไปเลยนะ

Options

not work with dark mode
Reset