[นิยายแปล] ซาซากิกับพีจัง! – ตอนที่ 3 คำเชิญสู่ต่างโลก (3)

ปัญหามันเกิดขึ้นในวันถัดมา ภายในชั้นออฟฟิศที่ทำงานของเราเนี่ยแหละ

ต้นเหตุก็คือเวทมนตร์

ช่วงพักกลางวัน เราได้ถือสมุดโน๊ตด้วยหนึ่งมือแล้วลองฝึกเอ่ยคำร่ายบทนึงในทันทีไม่มีรีรอ ไม่ใช่เวทเคลื่อนย้ายตำแหน่ง แต่เป็นบทที่พีจังอธิบายว่าเป็นเวทอย่างง่ายนั่นแน่ะ เห็นบอกว่าถ้ากล่าวคำร่ายและวาดอิมเมจได้สำเร็จแล้ว จะมีเปลวเพลิงขนาดย่อมๆโผล่มาอยู่ที่ปลายนิ้ว ง่ายๆก็คือเวทมนตร์ที่คล้ายกับไฟแช็คนั่นแหละ

เหตุการณ์เกิดขึ้นภายในห้องน้ำ

พอลองกล่าวคำร่ายตามดูปุ๊บเท่านั้นแหละ เปลวเพลิงลูกเบ้อเริ่มเทิ่มกว่าที่คิดมันลุกโชนขึ้นมาเลย

ไม่ใช่ระดับไฟแช็คแล้ว แรงซะหยั่งกับเอาสเปรย์ของเหลวไวไฟมาฉีดอัดใส่ไฟแช็คที่จุดไฟขึ้นมาซะมากกว่า เปลวเพลิงที่โหมลุกไหม้ขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่นั่น มันเล่นทำเอารู้สึกเสียวแว๊บใจแทบหยุดเต้นขึ้นมาเลย

พริบตาหลังจากนั้นสัญญาณเตือนไฟก็พลันทำงานขึ้นมา เรียกได้ว่าโกลาหลอลหม่านกันยกใหญ่เลยทีเดียว ถ้าเรื่องแดงขึ้นมาละก็ซวยแน่นอนไม่ต้องสืบ ถึงกับต้องรีบเผ่นหนีออกมาอย่างแตกตื่นตะลีตะลานเลย แล้วจึงแว้บกลับมายังชั้นออฟฟิศที่เกิดเป็นเสียงดังเซ็งแซ่ ตีเนียนเข้ามารวมกลุ่มกับทุกคนที่แตกตื่น  ก่อนจะทำเป็นหันมองไปทางห้องน้ำด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้

เคราะห์ดีที่สุดท้ายก็ไม่มีใครสืบได้ว่าคนร้ายเป็นใคร เรื่องก็เลยจบลงด้วยข้อสรุปที่ว่าคงจะมีคนแอบไปสูบบุหรี่ในห้องน้ำ เราที่ไม่มีประวัติเคยสูบจึงถูกปลดออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยก่อนเป็นรายแรก รอดตัวมาได้ด้วยประการฉะนี้

หลังจากกลับถึงบ้าน พอเล่าเรื่องให้พีจังฟังแล้ว ก็ได้รับคำพูดที่ชวนให้ดีใจกลับมา

 

[ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความถนัดมากกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้เสียอีก]

“ ความถนัด? ”

[ไม่คิดเลยว่าจะทำสำเร็จได้ภายในครั้งเดียว นับเป็นสิ่งที่สุดยอดมากเลยเชียวนะ]

“ ถูกพีจังชมแบบนี้แล้วมันก็ชักจะรู้สึกดีใจขึ้นมาเลยนะ ”

[จงภูมิใจเสียเถอะ ไม่แน่ซักวันเจ้าอาจจะก้าวล้ำไปเหนือยิ่งกว่าเราเลยก็เป็นได้]

“ งี้แสดงว่าถ้าพยายามเข้ามากๆ ก็พอจะมีหวังใช้เวทเคลื่อนย้ายตำแหน่งได้เหมือนกันใช่มะ? ”

[คิดว่าต่อให้เร็วขนาดไหนก็คงจะจำเป็นต้องใช้เวลาฝึกหลายปีอยู่หรอก แต่ถ้ามีเซนส์ระดับนี้ก็คงจะย่นช่วงเวลาลงมาได้มากพอสมควรเลยกระมัง ทว่า ถึงจะอย่างนั้นมันก็ยังไม่ใช่ของที่จะสามารถใช้งานได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วันอยู่ดี ถึงแม้จะเป็นเพียงทีละเล็กทีละน้อยแต่ก็อย่าได้ลืมที่จะหมั่นฝึกฝนให้ได้ตลอดเชียว]

 

เพราะมีฐานะเป็นคนยุคปัจจุบันที่เติบโตมาโดยถูกรายล้อมไปด้วยการสอบสารพัดสารเพอย่างเช่น สอบเข้าม.ปลายเอย สอบเข้ามหาลัยเอย สอบวัดระดับต่างๆนาๆแล้ว การเผชิญหน้ากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานหลายปีเนี่ยคือชินแล้วละ กีตาร์ที่เป็นงานอดิเรกก็ด้วย รู้สึกตัวอีกทีก็เริ่มเล่นมาได้หลายปีแล้วเหมือนกัน

 

“ เพิ่งจะรบกวนไปแหม่บๆ เมื่อวานก็จริง แต่ช่วยสอนเวทมนตร์บทอื่นให้เลยทีได้มั้ย? ”

[นั่นสินะ เช่นนั้นแล้วบทต่อไปเอาเป็น…..]

 

พีจังสอนคำร่ายให้อย่างยินดี

ก็เพราะงี้แหละคอมพิวเตอร์ที่บ้านก็เลยมีการแบ่งโฟลเดอร์แยกออกมาเยอะไปหมด เวทโจมตีเอย เวทฟื้นฟูเอย ธาตุไฟเอย ธาตุน้ำเอย….เนี่ยมีกลุ่มไฟล์ที่โคตรจะแฟนตาซีงี้ถูกสร้างขึ้นมาเต็มจอ รู้สึกหยั่งกะกลายเป็นนักเขียนนิยายไปแล้วเลยยังไงยังงั้น

การจำคำร่ายพวกนี้น่าจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปซักพัก

ภายในบรรดานั้นก็มีบทที่คำร่ายยาวทะลุเกินหนึ่งหน้ากระดาษเอกสารอยู่ด้วย

พีจังก็อุตส่าห์จำได้เยอะแยะขนาดนี้นะเนี่ย เชื่อเขาเลย

ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงนิดๆ ก็รวบรวมเหล่าโจทย์ที่ต้องจำเอาไว้เป็นเท็กซ์ไฟล์ได้หมด

และแล้ว หากศึกษาเวทมนตร์เสร็จเรียบร้อย ก็ถึงคราวไปพักระยะสั้นกันที่ต่างโลกล่ะ  

 

[ถ้าเช่นนั้นแล้ว ก็รีบมุ่งหน้าไปยังโลกฝั่งโน้นกันเลยเถอะ]

“ อ๊ะ เกี่ยวกับตรงนั้นน่ะ ช่วยรอเดี๋ยวก่อนได้มั้ยอะ? ”

[มีอะไรหรือ?]

“ พอดีอยากรู้หน่อยน่ะ ว่าระหว่างที่เราไปฝั่งโน้น โลกฝั่งนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง ”

 

ถ้ากลับมาปุ๊บแล้วปรากฎว่าเลยเวลาเข้างานไปนานเนแล้วนี่คงจะขำไม่ออกแหงๆ วันนี้เป็นวันอังคาร แถมพรุ่งนี้ก็เป็นวันพุธ ตลอดอีกสามวันข้างหน้านี้ พอเข็มนาฬิกาชี้ไปยังเก้าโมงเช้าปุ๊บ เราก็จำเป็นต้องไปเสนอหน้าอยู่บนโต๊ะทำงานในบริษัทให้ได้เรียบร้อย

บริษัทกำหนดให้มีการเช็คชื่อตอนเช้า แถมยังเช็คแบบเข้มงวดมากพอตัวเลยอีกด้วย ถ้าเกิดมาไม่ทันเช็คชื่อตรงนี้ก็จะถือว่ามาทำงานสายไปในทันที ดูฝ่ายบริหารที่มีประธานเป็นผู้นำเค้าจะชอบใจกับระบบนี้น่าดูอยู่หรอก แต่พนักงานกากเดนปลายแถวอย่างพวกเรานี่โคตรจะเกลียดเลย

เป็นกฎระเบียบที่เริ่มถูกเอามาใช้เมื่อ 5 ปีก่อน ในช่วงที่รายได้ของบริษัทเริ่มจะตกลงมาอย่างเห็นได้ชัดแหละ

 

[การไหลเวียนของกาลเวลามันไม่แน่นอนเท่ากันหมด เมื่อคืน เราได้ลองคำนวณเวลาที่อยู่โลกฝั่งโน้น แล้วแปลงให้กลายเป็นเวลาของโลกฝั่งนี้แล้ว หากเราไม่ได้คิดผิดพลาด จะเห็นว่าเข็มยาวของนาฬิกาที่ถูกตั้งอยู่ตรงนั้นหมุนไปราว 3 เส้นขีดได้]

 

ไปเช็คดูมาตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า

พีจังนี่ช่างฉลาดแสนรู้จริงๆ เลย

อย่างเราเนี่ยทำตัวให้ช่างสังเกตสังกาแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ

คิดว่ายืนเหม่ออยู่ในโลกอีกฝั่งเป็นเวลาราวๆชั่วโมงนึงได้ ถ้าหากลองคิดแบบนั้นแล้ว ก็จะได้ผลออกมาว่า เวลา 3 นาทีในโลกฝั่งนี้ เทียบเท่ากับเวลา 1 ชั่วโมงของฝั่งโน้น หรือก็คือ เวลาหนึ่งชั่วโมงของโลกฝั่งนี้ จะเทียบเท่ากับประมาณ 20 ชั่วโมงของโลกอีกฝั่งนั่นเอง

ดูท่าเวลาจะห่างกันมากยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีกแฮะ

เกือบๆจะตั้งวันนึงเลยนี่นา

 

“ ……พีจัง โลกฝั่งโน้นนี่ยอดเยี่ยมสุดๆไปเลยนะ ”

[งั้นหรือ?]

 

หลังจากนี้ถ้าเกิดป่วยหรือเป็นหวัดขึ้นมา ลองขอร้องให้พีจังช่วยพาไปยังโลกนั้นดูดีกว่า ถึงจะใช้เวลาพักผ่อนนานเป็นวันๆกว่าจะหายกลับมาดีสดชื่นดังเดิม แต่พอกลับมายังโลกฝั่งนี้แล้วเวลามันก็จะผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง โคตรจะสุดยอดไปเลยนี่หว่าเนี่ย

เอ้ยแต่ว่านะ ถ้าทำแบบนั้นอายุขัยมันก็จะค่อยๆ ถูกผลาญหายไปไปเรื่อยๆ อยู่ดีนี่นา

ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะเลี่ยงไว้ซะจะดีกว่านั่นแหละ

 

“ ยังเหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆก่อนจะถึงเที่ยงคืนด้วย วันนี้ก็ขอฝากตัวด้วยนะ ”

[อืม ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเลยเถอะ]

 

พอพีจังอ้าจะงอยปากอันแสนน่ารักน่าชังแล้ว ก็พลันมีวงแหวนเวทมนตร์ลอยปรากฎขึ้นมาอยู่ต่อหน้า

เหมือนกับเมื่อวันก่อนเป๊ะๆ

แล้วพอรู้สึกตัวอีกที ร่างของเราก็ได้ถูกเคลื่อนย้ายจากบ้านมายังที่ไหนซักแห่งนึงแล้ว

 

 

 

 

สิ่งแรกที่ลงมือทำหลังจากข้ามมายังต่างโลก ก็คือการขายสินค้าที่นำเอาเข้ามา

เพราะเห็นว่าเป็นโลกที่ระบบควบคุมเงินตราและภาษีอยู่ในระดับค่อนข้างหละหลวม ก็เลยเอาเข้ามาแบบจัดเต็มหลากหลายประเภทเลย ที่พกพาติดมาก็คือกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ที่ซื้อมาแบบไม่คิดหน้าคิดหลังเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ในช่วงที่วาดฝันกะจะปีนเขาเป็นงานอดิเรก นำเอาเจ้ากระเป๋าที่พอใช้ไปครั้งเดียวแล้วก็วางทิ้งจนฝุ่นจับใบนั้นมาใช้ยัดอะไรต่อมิอะไรเข้าไป

ในตอนที่เลือกสินค้านี่ ก็ได้พีจังช่วยทำการตรวจเช็คให้ด้วยเช่นกัน

ให้พีจังที่มีฐานะเป็นคนท้องถิ่น ช่วยบอกลิสต์สินค้าที่น่าจะขายออกได้ราคาสูงๆ เอาไว้ตั้งแต่คืนเมื่อวานแล้ว เนื่องจากของส่วนใหญ่ต่างก็เป็นอะไรที่ไม่มีอยู่ในบ้านทั้งนั้น หลังกลับจากบริษัทก็เลยแวะซูเปอร์ในละแวกใกล้ๆ แล้วซื้อสอยกลับมาน่ะ

สินค้าก็ตามที่มีระบุเอาไว้เบื้องล่าง

ช็อคโกแลตแท่ง 10 กิโล

น้ำตาลทรายป่น 10 กิโล

กระดาษถ่ายเอกสาร 1,000 แผ่น

ปากกาลูกลื่น 500 แท่ง

ความรู้สึกหลังจากลองแบกดูนี่คือหนักแบบโคตรพ่อโคตรแม่ โดยเฉพาะปากกาลูกลื่น 500 แท่งนี่แหละดูเด่นสะดุดตาสุดๆ ไปเลย หนึ่งแท่งหนักซัก 10 กรัมได้ พอเป็น 500 แท่งเลยตู้มปาไป 5 กิโล คิดไม่ถึงเลยจริงจริงว่าจะมีวันที่ได้นับปากกาลูกลื่นด้วยเกณฑ์กิโล

เห็นเขาบอกว่าแต่ละอย่างต่างก็เป็นของที่ขายได้ราคางามในโลกฝั่งนี้ทั้งนั้น

แอบสงสัยว่าไม่มีการตรวจกักกันสินค้าเผื่อมีสารปนเปื้อนเลยแบบนี้มันจะดีเรอะอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ตรงนี้นี่พีจังเค้าบอกเองว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแน่ะ โดยส่วนตัวแล้วโลกนี้มันก็เป็นโลกที่เราไม่ได้คุ้นชินหรือเป็นห่วงอะไรมากด้วย ก็เลยปักใจเชื่อได้ไม่ยากนัก

แล้วก็ สมัยนี้แม้กระทั่งสินค้าโภคภัณฑ์ธรรมดาๆในชีวิตประจำวันก็ยังมีการใช้สารต้านเชื้อราและแบคทีเรียเลย ยิ่งหากเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทรายใหญ่แล้วละก็ขั้นตอนการสร้างยิ่งต้องเน้นอนามัยเข้าว่า หากลองคิดในแง่นี้ดูแล้ว เผลอๆ ร่างกายของคนเราเนี่ยอาจจะดูสุ่มเสี่ยงน่ากลัวกว่าเยอะแยะด้วยซ้ำไป

กลับกัน ตรงที่ควรระวังให้ดีนี่น่าจะเป็นตอนที่เอาของจากที่นี่กลับไปยังโลกปัจจุบันมากนั่นแหละ ต่อให้เป็นแค่แมลงเล็กๆ ที่ติดตามเสื้อมาแค่ตัวเดียวก็จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด คิดแบบนี้แล้วไปหาซื้อแปรงสำหรับใช้ปัดทำความสะอาดเสื้อผ้ามาเตรียมเอาไว้น่าจะดี ไว้คราวหน้าจะเตรียมพกเอามาด้วยให้พร้อมเสร็จสรรพเลย

 

[โลกฝั่งนี้จะมีพวกขุนนางเป็นใหญ่ หากมั่นหมายที่จะกอบโกยกำไรให้ได้มากๆ ในทีเดียว ก็จำเป็นต้องทำการค้ากับพวกขุนนางละนะ ถึงแม้สามัญชนจะมีจำนวนมาก แต่ในเปอร์เซ็นต์ความมั่งคั่งโดยรวมแล้วนับว่าไม่ได้มีทรัพย์สินในครอบครองมากมายอะไร]

“ จะโลกไหนๆ ก็เป็นเหมือนกันหมดเลยสินะ ”

 

เดินไปตามถนนพลางจับจ้องมองสภาพบ้านเมืองที่ได้เห็นตอนที่มาเมื่อวาน

ถ้าจำไม่ผิดเพี้ยน เห็นว่าจะเป็นเมืองชนบทของอาณาจักรเฮิร์ทซ์ มีนามว่าเอเตรียมหรือไงนี่

ต่างกับญี่ปุ่นที่เป็นช่วงยามดึก เวลาที่นี่เป็นช่วงหัววันแฮะ

 

[แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น การจะค้าขายกับขุนนางที่มียศถาสูงๆ ในทันทีมันก็คงจะยาก เริ่มต้นด้วยการสานสัมพันธ์กับขุนนางยศถาต่ำๆ ก่อน แล้วค่อยให้อีกฝั่งช่วยแนะนำให้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ฉะนั้นเราจึงอยากให้เจ้าได้คุ้นหน้าคุ้นตากับผู้ครองแคว้นของเมืองนี้ก่อน]

“ คนรู้จักของพีจังเหรอ? ”

[ไม่ได้สนิทสนมถึงขั้นคนรู้จัก แต่รับรองได้ว่าเป็นคนดีเชื่อถือได้ ทว่า ในช่วงนี้อยากจะขอให้เจ้าอุบเรื่องที่เราได้กลับมายังดินแดนแห่งนี้อีกครั้งเอาไว้ก่อน อย่าได้เอาไปแพร่งพรายให้ใครรู้เป็นอันขาดเชียวนะ ถือเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เลยเชียว ในแง่การรับรองความปลอดภัยของเจ้าด้วยแล้ว]

“ เอ๊ะ ที่ว่านั่นหรือว่า…. ”

[สบายใจเถอะ ไม่ใช่อย่างที่เจ้ากำลังคิดอยู่หรอก]

“ พูดจริงนะ? ”

 

สัตว์เลี้ยงที่เคยมีประวัติอาชญากรรมนี่ไม่ไหวนะ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ไหวจริงๆ

เพื่อที่จะใส่ใจรักได้อย่างไม่มีอะไรติดขัดแล้ว ขอร้องล่ะช่วยเป็นบุคคลที่บริสุทธิ์ไร้มลทินทีเถอะ

 

[โลกใบนี้มีผู้คนอยู่มากมายหลากหลายประเภท การจะสืบสานความสัมพันธ์อันดีกับทุกคนนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอก แค่ดำเนินชีวิตของเราอยู่ตามปกติแท้ๆ แต่แล้วความขัดข้องขุ่นเคืองใจก็ปรากฎโผล่ขึ้นมาเอง และผลลัพธ์ก็คือเราถูกบีบให้ต้องข้ามโลกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้]

“ …………….. ”

 

ถึงจะเห็นพีจังเป็นแบบนี้ แต่ไม่แน่เขาอาจจะเจอเรื่องลำบากมาพอสมควรเลยก็ได้แฮะ

ข้าวเย็นพรุ่งนี้ลองทุ่มเงินซื้อเนื้อราคาแพงๆ กลับมาหน่อยดีกว่ามั้ง

ลองพวกเนื้อวัวย่างอะไรงี้ดูหน่อยเป็นไร

 

[ที่อยู่ภายในตึกตรงนั้น ก็คือหนึ่งในสมาคมการค้าตัวโปรดของขุนนางที่ปกครองเมืองแห่งนี้ หากนำเอาสินค้าไปขายในที่แห่งนั้น ซักประเดี๋ยวเดียวเรื่องก็คงจะแล่นไปถึงหูอีกฝั่งเองนั่นล่ะ จงแปลงสินค้าต่างๆ ที่นำเอาเข้ามาในคราวนี้ให้กลายเป็นเงินทุนสำหรับใช้จ่ายในช่วงระยะนี้เสียเถอะ]

 

มีอาคารหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ ณ ปลายทางที่พีจังชี้ไปด้วยสายตา

เป็นอาคารเหนือพื้นดินสูง 5 ชั้นที่ดูมีดีไซน์เวอร์เกินจริงสุดๆ คล้ายกับสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ที่เคยเห็นอยู่ในหนังสือสังคมเลย ตรงประตูทางเข้าออกมีกลุ่มคนสวมชุดเกราะมือถือหอกคอยเฝ้าจับตามองคนที่เดินเข้าออกจากตึกอยู่ด้วย สภาพหยั่งกับสถานฑูตที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองของประเทศอื่นเลยแฮะ

ยืนมึนสับสนลังเลไม่กล้าเข้าอยู่หน้าอาคารที่ถูกตกแต่งประดับประดาอย่างเต็มที่ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของกลุ่มคนที่เห็นเดินเข้าออกจากอาคารนี่ ส่วนมากก็ดูจะหรูหรายิ่งกว่าของกลุ่มที่เห็นเดินไปมาอยู่ตามถนนด้วย หากเปรียบกับญี่ปุ่น ก็คงจะเป็นสถานที่คล้ายๆห้างอิเซตันหรือห้างมิตสึโคชิ ที่เจาะกลุ่มคนมีฐานะอะไรราวๆนั้นละมั้ง

เพราะเราสวมชุดสูทมา ก็เลยดูเด่นไม่เข้าพวกอยู่เหมือนกันหรอก แต่ก็เชื่อว่าเค้าคงไม่กีดกันออกจากร้านเพราะเสื้อผ้าที่สวมหรอกมั้ง ทว่า ก็มีตัวตนของพีจังที่เกาะติดอยู่บนไหล่ขวานี่แหละที่ไม่ว่ายังไงก็อดใจไม่ให้กังวลไม่ได้ซักที

 

“ เข้าไปโดยที่มีนกกระจอกชวาเกาะไหล่อยู่เงี้ยได้จริงๆ เหรอ? ”

[หากอธิบายว่าเป็นจำพวกอสูรรับใช้ไปก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอกกระมัง]

“ งี้นี่เอง มีอะไรแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอ ”

 

อีแบบนี้แค่เวทมนตร์คงไม่พอ คงจำเป็นต้องศึกษาบรรทัดฐานและสามัญสำนึกของโลกฝั่งนี้เอาไว้ด้วยแล้วละมั้ง

 

[เอ้า ไปได้แล้ว]

“ จะว่าไปร้านนี้มีชื่อว่าอะไรเหรอ? ”

[สมาคมการค้าฮาร์แมนน่ะ]

“ งี้นี่เอง คุณฮาร์แมนสินะ ”

 

ถูกยุโดยอสูรรับใช้ในนาม ส่งให้เท้าก้าวตรงไปยังสมาคมการค้าตัวโปรดของเจ้าเมืองอะไรนั่น

 

 

 

 

พูดจากผลลัพธ์ก็คือ การค้าเป็นไปได้สวยกว่าที่คาดเอาไว้ซะอีก

 

“ ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน….. ”

 

ถูกเชิญให้เข้ามาในห้องที่ดูคล้ายห้องรับรองลูกค้า แล้วก็คุยตกลงเรื่องการค้ากันภายในนั้นเลย

ผู้ที่ออกมาทำเรื่องให้ ก็คือผู้ชายที่กล่าวแนะนำว่าตนคือรองประธานของสมาคมการค้าแห่งนี้ อายุนี่น่าจะราวๆ เดียวกับเรานี่แหละมั้ง ต่างกันตรงที่ใบหน้าของเขาดูดีเอามากๆ ตัวก็สูงใช้ได้เลยทีเดียวเชียว เกิดมาคงไม่เคยมีปัญหาขัดสนเรื่องผู้หญิงแหงๆ หล่อเหลาจนทำเอาคิดแบบนั้นขึ้นมาเลย

ดวงตาสีเขียว และเส้นผมสีเดียวกันที่ถูกเสยเป็นทรงไปข้างนี่คือเด่นเป็นเอกลักษณ์มาก

มีชื่อว่าคุณมาร์ค เพราะเป็นสามัญชนก็เลยไม่มีนามสกุลหรือไงนี่

 

“ เป็นที่พึงพอใจไหมครับ? ”

 

เพราะกำลังคุยเรื่องขายของอยู่ด้วยแหละ เลยต้องพูดจาแบบมีมารยาทหน่อย

ปั้นรอยยิ้มพลางเอ่ยถามคุณมาร์คดู

อุตส่าห์ได้มาเยือนต่างโลกทั้งที ไหงถึงยังต้องมาทำตัวเป็นเซลล์ขายของอีกหว่า มีฉงนแบบนี้อยู่เหมือนกันแหละ แต่จะทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว ถ้าคิดว่าเพื่อทำตามคำขอของสัตว์เลี้ยงแสนน่ารักแล้วละก็ ใจมันก็ฮึดขึ้นมาพร้อมสู้ผิดคาดเลยเหมือนกัน ประหลาดเนอะ

ทว่า ถึงจะพูดแบบนั้น แต่อะไรที่มันลำบากมันก็ลำบากอยู่วันยังค่ำ

เหตุผลก็คือห้องที่พวกเราถูกเชิญเข้ามานี่แหละ

เพราะถูกเชิญเข้ามาในห้องรับรองลูกค้าที่ไฮโซยิ่งกว่าที่คิดไว้ ก็เลยขวัญฝ่อโดยมิได้นัดหมายเลยทีเดียวเชียว เก้าอี้ที่นั่งอยู่นี่ก็เป็นของที่มีทองประดับตามเฟรมไม้ของเก้าอี้  ที่รองก็นู๊มนุ่มขนาดที่ก้นจมลงไปเลย เพราะแบบนี้แหละเหงื่อก็เลยไหลซ่กเต็มหน้าผากไปหมด

 

“ ว่าจะขอซื้อทั้งหมดนี้เลยครับ ”

“ ขอบคุณมากครับ ”

 

เกี่ยวกับราคาสินค้าที่เอาเข้ามานี่ เราได้โพยมาจากพีจังเรียบร้อยแล้ว ราคาโดยรวมแล้วน่าจะซักประมาณเหรียญทองคำ 300 เหรียญได้ ถ้าให้แจกแจงก็เป็น ช็อคโกแลตแท่ง 50 เหรียญ น้ำตาล 50 เหรียญ กระดาษ 100 เหรียญ แล้วก็ปากกาลูกลื่น 100 เหรียญ

ค่าเงินของที่นี่ก็คือ เหรียญทอง 1 เหรียญมีค่าเท่ากับเหรียญเงิน 100 เหรียญ เหรียญเงิน 1 เหรียญเท่ากับเหรียญทองแดง 100 เหรียญ เหรียญทองแดง 1 เหรียญเท่ากับเศษเหรียญ 10 เหรียญ แล้วก็ ถ้าจะกินข้าวก็ต้องจ่ายเหรียญทองแดง 10 เหรียญต่อมื้อ ถ้าจะค้างโรงแรมหนึ่งคืนแถมกับข้าวสองมื้อก็ราคาเฉลี่ยราวเหรียญเงิน 1 เหรียญ

เหรียญทองแดง 1 เหรียญนี่ก็ซักราว 100 เยนได้  

หรือก็คือถ้าแปลงเป็นเงินญี่ปุ่นก็เหนาะๆ 300 ล้านเยน

ทว่า การจะซื้อเสื้อผ้าให้ครบทั้งบนและล่างนั้นต้องใช้เหรียญเงินตั้งหลายสิบเหรียญมั่งล่ะ มีดทำครัวแบบที่มีใช้ในครัวเรือนนี่แม้จะเป็นของมือสองแต่ก็มีราคาเริ่มต้นถึงหลายเหรียญเงินเลยมั่งล่ะ มูลค่าของผลิตภัณฑ์แปรรูปนั้นนับว่าสูงสุดกู่มากๆ หากเปรียบกับญี่ปุ่น เพราะแบบนั้น ก็เลยคิดว่ามูลค่าจริงๆ นี่หากให้เอาแบบลงละเอียดแล้วก็คงจะต้องตัดศูนย์ออกซักตัวสองตัวจากราคาเดิมแหละ

ฉะนั้นก็ลดจาก 300 ล้านเยน กลายมาเป็น 30 ล้านเยน

แล้วก็ เงินที่ได้ในการค้าขายวันนี้จะเป็นเงินตราที่ถูกใช้ในประเทศที่สมาคมการค้าฮาร์แมนสังกัดอยู่ หรือก็คืออาณาจักรเฮิร์ทซ์เท่านั้น เท่าที่ฟังจากพีจัง ดูเหมือนว่ากลุ่มประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงก็มีการผลิตและใช้เงินตราของตัวเองเหมือนกัน และแต่ละประเทศก็ล้วนก็มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจแตกต่างกันไป

 

“ ทางเราจะรีบเตรียมเหรียญทองคำ 400 เหรียญให้เป็นการด่วนเลยครับ ”

“ 400 เหรียญ…หรือครับ? ”

 

ได้ยินล่วงหน้าว่ามีมูลค่า 300 เหรียญนี่นา แต่ไหงถึงเพิ่มขึ้นมา 100 เหรียญเฉย

เงินมันก้อนโตเกินกว่าที่จะคิดผิดด้วยนะนั่น

 

“ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน หลังจากนี้ก็อยากให้ช่วยมาทำธุรกิจกับพวกเราอีกน่ะครับ..… ”

“ อ๋อ ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีครับ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ ”

 

เป็นร้านที่สัตว์เลี้ยงแสนน่ารักแนะนำมาให้นี่นะ สนิทสนมกันเข้าไว้ก็คงไม่มีอะไรเสื่อมเสีย แค่ขายของครั้งเดียว ชื่อของพวกเราก็คงจะไม่ถึงกับก้องไปจนถึงหูพวกท่านขุนนางด้วย ฉะนั้นช่วงนี้คงสมควรต้องติดต่อค้าขายสร้างผลงานกับทางสมาคมไปซักระยะก่อนนั่นแหละ

 

“ ขอบคุณมากๆครับ ”

 

อ่อแล้วก็ ตลอดมาจนถึงตอนนี้ พีจังเค้าไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว

นิ่งเฉยอยู่บนไหล่ท่าเดียวแน่ะ

ทำไมถึงเป็นนกกระจอกชวาที่เรียบร้อยแบบนี้นะ

ช่วงที่เริ่มคุยตกลงค้าขายกัน ก็โดนถามเรื่องตัวตนของพีจังมานิดหน่อย แต่พออธิบายว่าเป็นอสูรรับใช้ไปแล้วก็ไม่ถูกบีบให้ช่วยขยายความอีกเลย ดูท่าจะเป็นจริงตามที่พีจังชี้แจงให้ฟังก่อนล่วงหน้า สงสัยอะไรพวกนี้มันคงถือเป็นเรื่องธรรมดาของโลกฝั่งนี้ละมั้ง

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังน่าหวั่นใจอยู่ดี

ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่จุดยืนของเขาแต่เพียงอย่างเดียวไง

ตอนอยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยง จำได้ว่าถูกคุณพนักงานบอกมาประมาณ ‘บางทีน้องนกแกอาจจะอึแบบสายฟ้าแลบอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเวลาเอาออกข้างนอกกรงให้ระวังหน่อย’ เอาไว้เหมือนกันแน่ะ อยากจะเชื่อถือในพีจังอยู่หรอกนะ แต่อีกใจนึงมันก็ทำใจเชื่อให้ถึงที่สุดไม่ลง รู้สึกแย่ครับ

ต่อให้จิตใจจะฉลาดแสนรู้ซักเท่าไหร่ แต่การจะต่อต้านปรากฎการณ์ตามธรรมชาติของร่างกายเนี่ยมันก็คงจะยากรึเปล่า มีความเป็นไปได้ที่จะเผลอตัวปล่อยหนักมันบนไหล่อยู่เยอะพอสมควรเลยเหมือนกัน ภาพกองขี้ที่เห็นกระจัดกระจายอยู่ทั่วกรงร้านขายสัตว์เลี้ยงนี่คือโยงให้นึกถึงอุบัติเหตุอันน่าโศกเศร้าขึ้นมาเลย

 

“ จะว่าไปแล้ว ขอถามอะไรเดี๋ยวจะได้ไหมครับ? ”

“ อะไรหรือครับ? ”

 

ในทันทีที่ตกลงซื้อขายกันเรียบร้อย คุณรองประธานแกก็พลันยิงคำถามใส่เข้ามาอีกครั้ง

 

“ ช็อคโกแลตกับน้ำตาลนี่ยังพอทราบครับ แม้คุณภาพสินค้าจะสูงน่าดูชมมาก แต่ถ้ามีเวลาตัวกระผมเองก็น่าจะสามารถจัดสรรหามาได้เช่นเดียวกัน ทว่า เกี่ยวกับกระดาษและปากกาพวกนี้ กระผมไม่อาจทราบได้เลยจริงๆ ว่าคุณลูกค้าไปได้มาจากแห่งหนใด ”

“ แบบนี้นี่เอง ”

“ ขอเสียมารยาทถามนะครับ ดูคุณลูกค้าจะไม่ใช่คนของทวีปนี้หรือเปล่าครับ…. ”

“ ต้องขออภัยด้วยนะครับ เกี่ยวกับเรื่องแหล่งที่มานี่ขอให้ผมได้เก็บเป็นความลับทีเถอะครับ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ขอยืนยันว่าจะไม่นำเอากระดาษกับปากกาที่ผมนำมาเสนอขายให้ในที่นี้ไปเสนอขายกับที่อื่นซักระยะครับ หลังจากนี้ไปก็อยากจะสานสัมพันธ์อันดีสืบต่อไปครับ ”

“ นั่นพูดจริงหรือครับ? ”

“ ครับ จริงแท้แน่นอนครับผม ”

 

ลิปเซอร์วิสซักราวๆ นี้คงไม่เป็นไรมั้ง

คุยเรื่องการค้าจากจุดยืนเหนือกว่าแบบไม่จำเป็นต้องทำสัญญาแบบละเอียดๆเนี่ย อยากจะลองทำดูมาเนิ่นนานแล้วแค่เพียงครั้งเดียวก็ยังดี ภาพวันวานที่ต้องก้มหัวขอโทษขอโพยตลอดศกเพราะสินค้าของบริษัทไม่ค่อยดีนี่คือแล่นฉายเข้ามาในหัวเลยทีเดียว ได้รู้ซึ้งเข้าใจถึงความรู้สึกสุดฟินที่พนักงานด้านการค้าของบริษัทที่ไปเสนอขายน่าจะได้สัมผัสเข้าให้แล้ว ทำไมมันถึงเป็นความรู้สึกสนุกสนานที่ขัดกับหลักจารีตอันดีขนาดนี้นะ

บอกได้อย่างเดียวว่ารู้สึกดีจากเบื้องลึกของจิตใจเลย

 

“ รับทราบแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นก็ขอร้องตามนั้นเลยนะครับ ”

“ ขอบคุณที่เข้าใจครับผม ”

 

ก็ได้เหรียญทองคำ 400 เหรียญมาเข้ากระเป๋าด้วยเหตุเช่นนี้

เข้าใจอยู่หรอกว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ใช้ได้เลย

แต่ใจมันไม่ตระหนักแบบนั้นเลยแฮะ

สาเหตุก็เพราะสิ่งที่ผมทำมันก็แค่การเอาวัตถุที่ราคาพุ่งขึ้นมาเป็นหลายหมื่นเยนไปหมุนจากขวามาซ้ายเท่านั้นเอง เพราะงี้ก็เลยไม่รู้สึกเหมือนทำงานสำเร็จลุล่วงเลยซักนิด คนที่กอบโกยกำไรได้ด้วยสกุลเงินดิจิตอลในช่วงแรกๆ ก็น่าจะรู้สึกประมาณนี้เหมือนกันมั้ง

 

“ ขอเสียมารยาทถามนะครับ คุณลูกค้าจองที่พักเอาไว้ในละแวกนี้หรือครับ? ”

“ เปล่าครับ พอดีพักอยู่ที่บ้านของคนรู้จักน่ะครับ ”

“ เป็นแบบนั้นเอง ขออภัยที่เสียมารยาทครับ ”

“ พอดีว่าจะเอาสินค้ามาเสนอขายให้ที่นี่ภายในเร็วๆ นี้อีกรอบน่ะครับ ไม่ทราบติดขัดอะไรรึเปล่า ”

“ ยินดีอย่างยิ่งเลยเชียวล่ะครับ ขอความกรุณาด้วยนะครับ ”

 

พอแถเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแบบนั้นไปได้ซักระยะ ก็จัดการเคลียร์เป้าหมายแรกเริ่มได้สำเร็จ

หลังจากนั้นก็ก้าวออกมาจากอาคารโดยที่มีคุณรองประธานมาเฝ้าส่งอย่างเป็นมารยาท

 

 

 

 

เป็นจริงอย่างที่พีจังพูด ของในกระเป๋าเป้หมดเกลี้ยงบ๋อแบ๋ภายในเวลาเพียงชั่วโมงเดียวเอง

กระดาษถ่ายเอกสารและปากกาลูกลื่นที่แบกมาด้วยสองมือก็เช่นกัน

ก็งี้แหละเลยหายใจโล่งไปได้เปราะนึง

รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากไหล่ได้ตรงตามตัวอักษรเอย

สินค้าจำนวนมากได้แปรสภาพกลายเป็นเหรียญทอง 100 เหรียญกับเหรียญทองใหญ่ 3 เหรียญ เหรียญทองใหญ่นี่มันก็ตามชื่อ เป็นเหรียญทองขนาดใหญ่ ดูเหมือนหนึ่งเหรียญจะมีมูลค่าเทียบเท่ากับเหรียญทอง 100 เหรียญเลยทีเดียวเชียว จะใช้ส่วนมากในการเจรจาซื้อขายแบบใหญ่ๆ ก็เลยมักไม่ค่อยเห็นในตลาดเท่าไหร่น่ะนะ

ตรงจุดที่กำลังแบกทรัพย์มหาศาลอยู่นี่คือทำเอาสภาพจิตถึงกับตึงเครียดสุดๆ แต่ฟังจากที่พีจังพูดแล้ว ดูท่าว่าจะไม่มีกลิ่นอายเหมือนมีใครแอบสะกดรอยตามมาเลย ดังนั้นก็เลยสามารถเดินโร่ไปตามถนนได้อย่างค่อนข้างสบายใจ

พอเคลียร์งานจบแล้ว หัวมันก็พลันคิดไปถึงข้าวกลางวันของวันนี้โดยอัตโนมัติ

 

“ พีจัง กับข้าวนี่เอายังไงดีล่ะ? ”

[เอาร้านที่มีเนื้ออร่อยๆ]

“ ผมเองก็เห็นตรงกันเลย ”

 

ประเด็นคือโลกฝั่งนี้ไม่มีเว็บไซต์แนะนำร้านอาหารเลยนี่สิ ถ้าเดินไปตามถนนใหญ่ก็จะเห็นร้านอาหารอยู่เยอะแยะเลย แต่ในฐานะคนที่เลือกร้านไม่ค่อยเป็น เจอร้านอาหารห่วยๆในเมืองหลวงบ่อยครั้งอยู่เช่นเราแล้วนั้น มันก็ไม่ค่อยกล้าที่จะพุ่งเข้าไปลองชิมร้านที่ไม่รู้คะแนนรีวิวก่อนซักเท่าไหร่

สมัยเนี้ย นาวิเว็บไซต์ชวนชิมนี่ถือเป็นสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้ของคนยุคปัจจุบันเลยทีเดียวเชียว

 

[ร้านตรงนั้นล่ะ ดูเป็นอย่างไร?]

“ ……กลิ่นหอมดีเนอะ ”

 

กลิ่นหอมของเนื้อที่ถูกย่างแบบกำลังดีได้ลอยโชยมา

คู่หูที่ช่วยออกตัวเสนอร้านให้ในเวลาแบบนี้มันช่างยอดเยี่ยมมากเลยจริงๆ เลย พีจังนี่ช่างสมชายหล่อเหลาเอาเรื่องเลยจริงๆให้ตายเถอะ ช่วงก่อนที่จะกลายมาเป็นนกกระจอกชวานี่คงจะสาวรักสาวหลงสุดๆไปเลยแหง สุดหล่อจัดจนทำเอานึกแบบนั้นขึ้นมาเลย กลับกันแล้วเรานี่เป็นคนประเภทที่มักจะลังเลอยู่เรื่อยไง

 

“ งั้นก็ลองกินร้านนั้นกันเถอะ ”

[อืม]

 

ชวนชิมต่างโลก ใจนี่เต้นตึ๊กตั๊กเลย

ดูจากที่ช็อคโกแลตแท่งกับน้ำตาลขายได้ราคาสูงแล้ว ค่าความคาดหวังมันก็ออกจะค่อนข้างต่ำอยู่หรอก แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าจะหาของอร่อยเจอได้ซักสิ้นสองชิ้นแหละน่า ขืนไม่ใช่แบบนั้นละก็มีหวังกำลังใจที่จะพยายามสู้งานในโลกฝั่งนี้ได้ร่อยหรอหมดแหงๆ

ดวงตาอันกลมสวยของนกกระจอกชวายั่วยุให้พวกเราเดินตรงเข้าไปในร้านที่เล็งเอาไว้

ไม่สิ กำลังจะเข้าต่างหาก

เพราะก่อนจะทันได้เข้า บานประตูทางเข้าออกมันก็พลันพังโค่นลงมา พร้อมกับที่มีคนปลิวกระเด็นออกมาจากข้างในเลยไง เฮ้ยอะไรเนี่ย

 

“ น้ำหน้าอย่างเอ็งไม่ใช่ลูกศิษย์ตรูหรอกโว้ย! รีบไสหัวไปซะ! ”

“ ขึก…….. ”

 

เป็นผู้ชายที่น่าจะอายุซักราวๆ เกือบ 20 ปีได้

มีร่างกายใหญ่โตพอสมควร กล้ามเนื้อก็บึกบึนใช่เล่น สารรูปที่สวมผ้ากันเปื้อนนั่นดูเหมือนกับคนครัวอยู่หรอกนะ แต่ส่วนตัวแล้วถ้าบอกว่าเป็นช่างไม้จะฟังดูน่าเชื่อถือมากกว่า และภาพที่คนแบบนั้นมานอนกลิ้งเกลือกหมอบอยู่กับพื้นหน้าร้านแบบนี้ มันก็ชวนให้รู้สึกหวั่นใจไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว

แล้วก็ คนที่ดูเหมือนจะเป็นตัวการผลักเขาปลิวมานี่ก็เป็นผู้ชายที่สวมผ้ากันเปื้อนอยู่เช่นเดียวกัน รายนี้น่าจะอายุซักราวๆ 40 ได้ คาดว่าความสัมพันธ์น่าจะเป็นราวๆ รุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่ก็ผู้จ้างกับผู้ถูกจ้างในที่ทำงานเดียวกัน อะไรแบบนั้นมั้ง

แต่ ความสัมพันธ์ดังว่าของทั้งสองคน ก็ดูท่าจะแปลกๆ ไม่ชอบมาพากลอยู่เหมือนกัน

 

“ อย่าได้เสนอหน้ามาให้เห็นอีกเป็นครั้งที่สองเชียวนะเว้ย! ”

“ เถ้าแก่ครับ ชะ ช่วยรอเดี๋ยวก่อนสิครับ! ไม่ใช่ฝีมือผมจริงๆ นะครับ! ”

“ ไม่ต้องมาโกหก! หลักฐานมันก็เห็นกันอยู่! ”

“ หลักฐานนั่นมันเป็นของปลอมครับ! ผมน่ะพยายามเพื่อร้านนี้มาตลอด…. ”

“ คิดจะโบ้ยให้เป็นความผิดคนอื่นเหรอวะ!? ”

“ รอเดี๋ยวก่อนครับ! ถ้าถูกไล่ออกจากที่นี่ พะ ผม ผมจะไม่มีที่ให้ไปแล้วนะครับ! ยังต้องคอยส่งเงินไปเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วย คือ ขอร้องล่ะครับขอร้องล่ะ! ผมขอกราบขอร้องละครับ! ถ้าเป็นแบบนี้ผมมีหวังได้กลายเป็นคนเร่ร่อนแน่ๆ! ”

“ หนกขูโว้ย จะไปอดอยากตายโหงที่ไหนก็ไป! ”

 

บานประตูของร้านถูกกระแทกปิดพร้อมกับเสียงดังปัง

ส่วนผู้ชายคนนั้นก็เอาแต่จ้องมองไปยังประตูด้วยสีหน้าแววตาที่แสนจะโศกเศร้า

ลุคที่เสยผมยาวสีแดงขึ้นมาอยู่เพียงข้างเดียวมันเหมาะกับรูปโฉมหน้าตาที่ดูดีได้รูป ทำให้สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามได้มากพอสมควร แม้วาจาคำพูดจะสุภาพเรียบร้อย แต่แววตาที่เฉียบคมนั่นกลับให้บรรยากาศเหมือนนักเลงหัวไม้ยังไงชอบกล คิดไม่ผิดหรอกดูเหมาะจะเป็นช่างไม้มากกว่าคนครัวจริงๆ นั่นแหละ

จะว่าไปแล้วสถานการณ์เนี้ย มันเข้าข่าย ไปเลยนะผมไล่คุณออก สุดขีดไปเลยรึเปล่าเนี่ย

 

 

 

เราที่ฉุกคิดขึ้นมาเช่นนั้น พลันเอ่ยเสียงทักไปยังชายที่นอนหมอบอยู่กับพื้น

ไปคุยกันที่ร้านตรงนั้นหน่อยมั้ยครับ? เงี้ย

พูดเองเลยแบบนี้มันก็ดูยังไง แต่เป็นการชวนที่โคตรจะน่าสงสัยเลยแฮะ ทว่า ตัวชายหนุ่มที่เพิ่งจะโดนประกาศเฉดหัวไล่ออกแสกเข้ากลางหน้ามาหมาดๆ นั้นกลับดูเบลอๆ มึนๆ ยอมตกลงตามคำพูดของพวกเราอย่างว่าง่ายผิดคาด หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เดินตามหลังมาด้วยท่าทางเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั่นแหละ

และร้านที่พวกเรามุ่งมาถึง ก็คือร้านอาหารบนถนนเส้นเดิมแต่อยู่ลึกเข้าไปหน่อย

นั่งลงตรงโต๊ะที่อยู่ข้างในสุด สภาพแบบหันหน้าเข้าชนกับผู้ชายในชุดผ้ากันเปื้อน

บนโต๊ะอาหารมีเพียงแค่เครื่องดื่มที่สั่งไปอย่างเร่งรีบเท่านั้น

 

“ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อซาซากิครับ ”

“ อ๊ะ เช่นกันครับ ผมชื่อเฟรนช์ครับ ”

“ คุณเฟรนช์สินะครับ ”

“ จะว่าไปแล้ว เอ่อ มะ ไม่ทราบมีธุระเช่นใดกับผมหรือครับ? ”

“ เปล่าหรอกครับ แค่พอดีแว่วไปได้ยินเรื่องที่ฟังดูน่าจะลำบากใช่เล่นเข้าน่ะ ”

“ ……น่าอับอายจริงๆครับ ”

 

หลังจากได้เฝ้ามองโลกนี้ดูแล้ว ก็มีฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้อยู่บ้างเหมือนกัน

เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ยังปลื้มปีติดีใจที่เวลา 1 ชั่วโมงของญี่ปุ่นเทียบเท่ากับเวลา 1 วันของที่นี่อยู่เลยก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องดีๆ อย่างเดียวเสมอไป สาเหตุก็เป็นเพราะว่าในวันธรรมดา ในระหว่างที่ต้องไปทำงานนั่น เวลาในโลกฝั่งนี้มันก็จะดำเนินไปถึงหลายสิบวันแล้วนั่นเอง

หากคิดวางแผนจะทำอะไรในโลกฝั่งนี้แล้วละก็ ช่องว่างของกาลเวลานี่ก็จะถือเป็นสิ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลยทีเดียว ต่อให้เจียดเอาช่วงพักกลางวันมาใช้ในโลกฝั่งนี้ แต่ก็จะเกิดช่องว่างเป็นเวลาหลายวันในช่วงที่ทำงานอยู่ หากนึกถึงการค้าในภายหลังจากนี้แล้ว นี่ก็จะถือเป็นประเด็นที่น่าหนักใจพอตัวเลยเชียว

งั้นต้องทำยังไงถึงจะถัวคืนความแตกต่างระหว่างโลกนี่ได้ล่ะ

คำตอบก็มีได้เพียงอย่างเดียว ต้องเพิ่มจำนวนคนรู้จักในโลกนี้นั่นเอง

 

“ เอ่อ…ไม่ทราบว่าท่านซาซากิเป็นขุนนางหรือเปล่าครับ? ”

“ ขุนนาง? ”

“ เครื่องแต่งกายของท่านซาซากิดูหรูหรามีระดับมากๆเลยน่ะครับ ก็เลย…… ”

 

มันอะไรกันนี่ มีคนชื่นชมชุดสูทว่ะเฮ้ย

ขนาดของที่ราคาถูกแสนถูกแบบนี้ยังมีมูลค่าสูงในระดับที่คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสื้อผ้าของขุนนางเลยเชียวเรอะเนี่ย  ราคาเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของที่นี่คงแรงมากจริงๆนั่นแหละแฮะ การทำตัวให้ดูมีฐานะสูงๆ  

เข้าไว้นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่ตรงไหนเลยด้วย ต่อไปนี้เวลามาโลกนี้ก็ใส่สูทมาให้ตลอดเลยดีกว่า

 

“ ไม่ครับ ผมไม่ใช่ขุนนาง แต่เป็นพ่อค้าครับ ”

“ อย่างนั้นเองหรอกหรือครับ เป็นคุณพ่อค้านี่เองสินะครับ ”

 

คุณเฟรนช์พูดกลับมาด้วยสีหน้าผ่อนคลายกว่าเดิมนิดหน่อย

เท่าที่สังเกตได้จากท่าทางของเขาแล้ว ชะรอยว่าจะมีเส้นแบ่งแยกอันสูงใหญ่กั้นกลางระหว่างขุนนางและสามัญชนอยู่ละมั้ง เรื่องพวกนี้ไว้เดี๋ยวถ้าหาช่วงว่างๆ ค่อยลองถามจากพีจังดูก็คงจะดี วันนี้เป็นฝ่ายถูกคนอื่นเข้าใจผิดก็เลยรอดตัวไปหรอก แต่ถ้าขืนสลับตำแหน่งกันขึ้นมามีหวังเป็นเรื่องแหงๆ

 

“ ถ้าไม่รังเกียจ ขอผมฟังเรื่องราวความเป็นมาหน่อยได้ไหมครับ? ”

“ เอ๊ะ? เอ่อ……. ”

“ ไม่แน่อาจจะพอช่วยเป็นกำลังให้กับคุณไหวก็ได้นะ ”

“ ……………. ”

 

หากถูกคนที่เพิ่งเคยพบหน้าเจอะเจอกันเป็นครั้งแรกพูดจาแบบนี้ใส่ เป็นใครก็คงจะสงสัยกันทั้งนั้นแหละ

ถ้าเป็นเรา โดนแบบนี้เข้านี่คงเดินออกไปจากร้านเลยมั้ง

แต่ ดูเหมือนว่าที่คุณเชฟแกตะโกนร้องว่าต้องส่งเสียเงินให้พ่อแม่ ไม่มีที่ให้ไปแล้วด้วยเสียงอันดังสนั่นเมื่อหน้าร้านตะกี้มันจะไม่ใช่เรื่องพูดเล่นๆเลย ท่าทางจะจนตรอกจัดๆเลยทีเดียว พอรอไปซักระยะ เขาก็ค่อยๆ อ้าปากเล่าเรื่องราวความเป็นมาให้ฟัง

สรุปแบบสั้นๆได้ใจความก็ ดูเหมือนเขาจะถูกเพื่อนร่วมที่ทำงานหลอกเอาแน่ะ

เขาคนนี้ทำงานเป็นคนครัวฝึกหัดอยู่ที่ร้านอาหารมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ แถมเห็นว่าช่วงหลายปีมานี้ จะพัฒนาตนจนเริ่มมีฝีมือในฐานะพ่อครัวขึ้นมาด้วยหรือไงนี่ แล้วทีนี้เหล่าเพื่อนๆ ในที่ทำงานซึ่งอิจฉาตาร้อนในความสามารถของคุณเฟรนช์ ก็เลยรวมหัวกันกุเรื่องว่าเขาแอบมุบมิบขโมยเงินของทางร้านเอยอะไรเอย โกหกป้ายสีเพื่อสร้างความสงสัยให้นั่นแหละ

แล้วก็เชื่อมโยงมาจนถึงวันนี้ แม้จะพยายามโน้มน้าวเจ้าของร้านดูแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่รอดถูกไล่ตะเพิดออกมาอยู่ดีแน่ะ

ดูเหมือนเราจะเผอิญมาพบเห็นช็อตเด็ดนาทีสำคัญเข้าพอดีเลยแฮะ

 

“ ท่าจะลำบากน่าดูเลยนะครับนั่น ”

“ ผมทำงานอยู่ที่ร้านนั้นมาตั้งแต่ยังเล็กๆ เลยครับ เพราะวันๆ คิดอยู่กับแต่เรื่องทำอาหารก็เลยไม่รู้ประสีประสาเกี่ยวกับระบบของโลกอะไรเลย ตัวหนังสือผมก็เขียนไม่ค่อยจะเป็นด้วยซ้ำ เพราะแบบนั้นแหละ ถ้าเกิดถูกไล่ออกจากที่นั่นขึ้นมา ผมนี่ก็คืออับจนหนทางไม่รู้จะทำอย่างไรดีเลยครับ ”

“ ……………. ”

“ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงไม่มีปัญญาส่งเสียเงินไปให้พ่อแม่ด้วย พ่อผมเขาถูกเกณฑ์เป็นทหารไปรบจนเสียขากับดวงตา ตอนนี้แค่จะขยับไปไหนยังลำบากเลยครับ ยังมีน้องสาวอยู่อีกคนก็จริง แต่น้องก็เป็นผู้หญิง แถมยังต้องคอยเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยอีก คงจะหาเงินมากๆ ไม่ได้ ”

“ ท่าจะลำบากน่าดูชมเลยนะครับ ”

 

วาจาคำพูดของคุณเฟรนช์นี่คือทำเอาสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังมาเต็มเลยทีเดียว ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ละก็ พรุ่งนี้พี่แกมีหวังได้ฆ่าตัวตายแหงๆเลยมั้ง ท่าทางหมดอาลัยตายอยากมากระดับที่ทำเอาคิดขึ้นมาแบบนั้นเลยเชียวแน่ะ ดูเหมือนโลกฝั่งนี้จะมีระบบประกันสังคมหละหลวมมากยิ่งกว่าที่ผมคิดเอาไว้มากแฮะ

 

“ ……ขอโทษด้วยนะครับ ไม่ได้เป็นคนรู้จักมักจี่อะไรกันเลยด้วยซ้ำแท้ๆแต่ดันเล่าเรื่องพรรค์นี้ให้ฟังซะได้ ”

“ ไม่จำเป็นต้องขอโทษแต่อย่างใดเลยครับ ให้ว่าแล้วคนที่เป็นฝ่ายชวนคุยมันก็คือผมเองด้วยซ้ำ ”

 

ลองคุยอยู่กับเขาซักชั่วโมงนึงได้ ท่าทางจะไม่ใช่คนไม่ดีแฮะ

เป็นตรงนี้เอง ที่เราตัดสินใจจะลองทุ่มเงินที่ได้จากการค้าขายในวันนี้ไปลงทุนดู

หากมองจากสายตาชาวบ้านแล้วอาจจะเห็นเป็นเงินก้อนโตก็จริง แต่สำหรับเราที่ได้รับความสนับสนุนจากพีจังแล้ว นับว่าเป็นปริมาณเงินที่หามาได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย สินค้าที่เอามาเสนอวันนี้มีปริมาณแค่ยัดใส่ในกระเป๋าเป้ลูกเดียวได้ก็จริง แต่คราวหน้ากะว่าจะลองเอามาด้วยอุปกรณ์ที่ใหญ่ขึ้นนิดๆ ดูอยู่น่ะนะ

อารมณ์เหมือนกับเอาธนบัตรยัดใส่ลงไปในกล่องรับบริจาคแหละ

 

“ ถ้าไม่รังเกียจ สนใจจะลองเปิดร้านดูกับผมไหมครับ? ”

“ ……เอ๊ะ? ”

 

คุณเฟรนช์ถึงกับตากลมบ๊อกขึ้นมาแบบมึนๆ เลย

หากเขาคนนี้เป็นพ่อครัวที่เก่งกาจจริง งั้นนี่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีต่อพวกเราด้วยเหมือนกันไง ก็พีจังเขาชอบกินเนื้อม๊ากมากเลยนี่เนอะ การค้นหารสชาติที่ถูกปากของพีจังก็ประจวบเหมาะกับความหวังที่อยากจะมีชีวิตตามอำเภอใจของเขาด้วย และแน่นอน ว่าหากเป็นดังเช่นนั้นได้ตัวเราที่เป็นคนเลี้ยงเองก็ย่อมจะดีใจด้วยเช่นเดียวกัน  

Options

not work with dark mode
Reset