เดินพาคุณเฟรนช์ มุ่งหน้ากลับมายังสมาคมการค้าที่ได้พีจังช่วยแนะนำให้
เข้าไปพูดกับยามรักษาความปลอดภัยที่ยืนนิ่งอยู่ตรงทางเข้า แล้วจึงให้เขาช่วยแจ้งเรื่องไปยังคุณรองประธาน เท่านั้นแหละผ่านไปได้แปปเดียวก็ถูกเชิญเข้ามายังห้องรองรับลูกค้าที่เพิ่งจะเข้ามาแหม่บๆ เมื่อตะกี้นี้อีกแล้ว แน่นอนว่าภายในห้องก็มีคุณมาร์คอยู่ด้วยดังเช่นเดิม
“ เอ่อ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือครับ? หรือว่าการตกลงค้าขายเมื่อซักครู่นี้มีขาดตกบกพร่องตรงไหน…… ”
“ เปล่าครับ ไม่เลยแม้แต่นิดเดียวครับ ”
เขาส่งเสียงเข้ามาด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
ดูท่าจะเผลอทำให้รู้สึกกังวลโดยใช่เหตุเข้าซะแล้วแฮะ
“ คนละเรื่องกันกับเมื่อซักครู่นี้ พอดีมีสิ่งที่อยากให้ช่วยจัดเตรียมอย่างเร่งด่วนให้ทีน่ะครับ ”
“ งั้นหรอกหรือครับ หากเป็นเช่นนั้นก็เชิญกล่าวออกมาได้เลยครับ ”
“ ขอบคุณครับ ”
คุณรองประธานกลับมายิ้มแล้ว
เห็นท่าทางแบบนั้นปุ๊บก็ค่อยยั่งชั่วไป รีบทำการคุยเดินเรื่องอย่างไว
“ ออกจะกะทันหันอยู่ แต่สนใจอยากจะเปิดร้านอาหารในละแวกแถวนี้น่ะครับ รบกวนช่วยจัดเตรียมร้าน พวกอุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆ แล้วก็วัตถุดิบให้ทีจะได้ไหมครับ? จะเตรียมด้วยตัวเองนี่ก็ติดตรงที่ผมไม่ค่อยจะรู้จักลู่ทางและอะไรต่อมิอะไรมากเท่าไหร่ เลยอยากจะขอพึ่งพากำลังของทางสมาคมการค้าฮาร์แมนน่ะครับ ”
“ เรื่องนั้นก็ไม่มีปัญหาหรอกนะครับ แต่ท่านที่มาด้วยกันคนนั้นคือใครหรือครับ? ”
“ มีกำหนดการณ์จะให้เขาคนนี้เป็นเจ้าของร้านน่ะครับ ”
“ ……เอ๊ะ? ”
ถูกคุณเฟรนช์จ้องมองด้วยสีหน้าแบบ ‘เอ๊ะ พูดจริงง่ะ?’ เข้าซะงั้น
เมื่อตะกี้ก็อธิบายให้ฟังไปแล้วนี่นา ไม่ได้เข้าหูเลยหรือไงหว่า เอ้อเอาเหอะนะ เข้ามาพูดเสนอกับคุณรองประธานแบบนี้ไปแล้ว เดินเรื่องต่อไปทั้งๆ อย่างนี้เลยแล้วกัน ยังไงก็น่าจะดีกว่าต้องไปเร่ร่อนไร้หัวนอนปลายเท้าแหละน่า
“ เกี่ยวกับเรื่องการก่อสร้างร้านและนำเข้าวัตถุดิบอาหารนี่ อยากจะให้ดำเนินการตามความประสงค์ของเขาคนนี้น่ะครับ คิดว่าจะกำหนดงบเริ่มต้นเอาไว้ที่ประมาณ 300 เหรียญทอง ถ้าหากว่าไม่พอก็อยากจะขอจ่ายเพิ่มเติมในตอนเอาสินค้ามาเสนอขายครั้งหน้าน่ะครับ ไม่ทราบว่าพอจะได้ไหม? ”
เคยเห็นในเน็ตว่าหากคิดจะตั้งร้านอาหารในเมืองหลวง ก็จำเป็นต้องมีงบซักสิบล้านเยนเป็นขั้นต่ำแน่ะ เนื่องจากพวกเครื่องอุปกรณ์และภาชนะรับประทานอาหารของโลกฝั่งนี้มีราคาแรงมาก, 300 เหรียญทองก็เลยดูน่าจะเป็นงบในระดับที่คาบเส้นพอผ่านแบบฉิวเฉียดพอดีเลยหรือไงนี่
ถ้าเกิดว่ายังน้อยไปไม่พอ ก็ไว้ค่อยมาโปะเพิ่มเอาในตอนขายของครั้งหน้าแล้วกัน
“ ……จะเริ่มธุรกิจอาหารในเมืองนี้หรือครับ? ”
“ ไม่ได้จะเริ่มทำอะไรที่ยิ่งใหญ่มากขนาดนั้นหรอกครับ แล้วก็ไม่มีความคิดที่จะก่อปัญหาให้กับร้านอื่นๆ ด้วยอีกเช่นกัน ก็แค่สินค้าของผมมันมีพวกวัตถุดิบอาหารรวมอยู่ด้วย เลยอยากจะลองจัดเตรียมสถานที่แบบง่ายๆ ที่สามารถใช้ทดลองวัตถุดิบพวกนี้ดูน่ะครับ ”
“ เข้าใจล่ะ เป็นเช่นนั้นเองสินะครับ ”
พออธิบายด้วยเหตุผลที่น่าจะฟังขึ้นไปแบบนั้น ก็เหมือนว่าอีกฝั่งจะยอมเข้าใจแล้วแฮะ
เขาทำหน้ามึนอยู่หลายวินาทีเลยเหมือนกันหรอก แต่ก็กลับมาเป็นดังเดิมได้ในไม่นาน
มีรอยยิ้มเบิกบานปรากฎขึ้นมาอยู่เหนือใบหน้าของคุณรองประธานแล้ว
“ ขอความร่วมมือหน่อยจะได้ไหมครับ? ”
“ หากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ยินดียิ่งครับ ได้โปรดให้ทางกระผมร่วมมือด้วยทีเถอะครับ ”
“ ขอบคุณมากครับ ”
ได้รับคำตอบที่ทะเยอทะยานกว่าที่คิด ดูจากสภาพนี้แล้วต่อให้เป็นหลังจากที่เรากลับไปยังญี่ปุ่น แต่ก็น่าจะพอจัดการร้านไปกันรอดได้แหละมั้ง เป็นถึงคนที่มีจุดยืนในฐานะรองประธานของกิจการที่ใหญ่มากถึงขนาดนี้เลยนี่นะ น่าจะหวังการสนับสนุนได้มากพอสมควรอยู่ล่ะ
“ เกี่ยวกับเรื่องร้านนี่ผมจะยกให้เขาคนนี้จัดการทั้งหมดเลยครับ หากมีเรื่องละเอียดอ่อนในภายหลังจากนี้ก็ช่วยรบกวนตรวจสอบกับเจ้าของร้านคนนี้ทีนะครับ แล้วก็ ถึงแม้เขาจะเป็นคนครัวฝีมือยอดเยี่ยม แต่ก็ออกจะไม่ถนัดพวกงานเล็กๆ น้อยๆ ซักเท่าไหร่ ถ้าช่วยให้การสนับสนุนในด้านการทำธุรกิจด้วยก็จะเป็นพระคุณมากเลยครับ ”
“ รับทราบแล้วครับ ถ้าเช่นนั้นก็จะส่งคนของเราไปร่วมช่วยด้วยก็แล้วกันครับ ”
“ พูดจริงหรือครับ? ช่วยได้มากเลยจริงๆ ครับ ”
รู้สึกหยั่งกะเริ่มทำธุรกิจจัดหางานเลยแฮะ เห็นคุณเฟรนช์ที่ยืนหน้าเขียวอยู่ข้างๆ แล้วใจมันก็คิดขึ้นมาแบบนั้น ก็มีรู้สึกผิดอยู่บ้างเหมือนกันหรอก แต่ถ้าเจ๊งขึ้นมาก็เจ๊งไปไม่มีปัญหา อยากจะให้ลองสู้ดูแบบผ่อนคลายหน่อยจะดีกว่านะ
“ ค่อยๆ ทำไปไม่ต้องคิดมากนะครับ คุณเฟรนช์ ”
“ ขะ ครับ! ”
เท่านี้ก็พอจะเห็นแววทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับพีจังได้หนึ่งอย่างแล้ว
พวกเรื่องหยุมหยิมนี่ให้คุณเฟรนช์กับคุณรองประธานเขาคุยกันไป ส่วนตัวเรานั้นไซร้ก็เดินตัวลอยออกมาจากสมาคมการค้าฮาร์แมน
ตามเดิมแล้วก็สมควรต้องอยู่ร่วมฟังด้วยไปจนถึงที่สุดหรอก แต่พอดีมีธุระอื่นที่สมควรต้องให้ความสำคัญมากกว่าไงก็เลยช่วยไม่ได้ นี่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันร่วมกับพีจังเลย ถ้าเกิดไปทำให้เขาอารมณ์เสียแล้วถูกทิ้งเป็นหมาหัวเน่าอยู่ในโลกฝั่งนี้ขึ้นมาล่ะจะทำยังไง น่ากลัวใช่มั้ยอะ
ที่หมายก็ตามกำหนดการณ์ดั้งเดิม ร้านอาหารที่คุณเฟรนช์อยู่นั่นเอง
ไม่สิ เคยอยู่ต่างหากสินะ
แต่เรื่องของเขานี่ช่างเถอะ ตัดสินอะไรเอาไว้ก็ต้องทำให้ลุล่วง
มีเมนูเนื้อสุกกำลังดีถูกนำมาตั้งกองเรียงรายอยู่เหนือโต๊ะ
[……รสชาติไม่เลวเลย]
“ นั่นสิเนอะ ”
เราสั่งชุดอาหารกลางวันประจำวันที่เจ้าของร้านแนะนำ แล้วก็สั่งอาหารที่เป็นต้นตอของกลิ่นหอมหวนที่โชยมาถึงหน้าร้านนั่นแบบเดี่ยวๆ จานเดียวมาให้กับพีจังแหละ เห็นเขาอธิบายว่าเอาเนื้อของตัวอะไรซักอย่างมาหมักซอสสูตรเด็ดแล้วจึงย่างได้ออกมาหอมฉุย ในชุดอาหารกลางวันประจำวันก็มีเจ้าจานนี้รวมอยู่ด้วยเหมือนกัน
ได้เจ้านี่มันก็รสเลิศพอควรเลยอีกด้วย ทำเอาพวกเราช่างมีความสุขมากมายเหลือเกิน
“ ช็อคโกแลตแท่งกับน้ำตาลก็ออกจะขายได้ราคาตั้งแพง น่าจะหายากแท้ๆ แต่รสชาติอาหารที่นี่กลับหลากหลายจังเลยเนอะ ”
[แค่น้ำตาลกับโกโก้เป็นของหายากก็เท่านั้นล่ะ]
“ พวกพริกไทยนี่จะขายได้ราคาดีมั้ยนะ? ”
[อืม หากหาซื้อได้ในราคาถูก ก็ควรจะลองพิจารณาดู]
เนื่องจากไม่เห็นพริกไทยอยู่ในลิสต์สินค้าที่พีจังเสนอมา ปากมันก็เลยขยับพูดแบบนั้นออกมาเองโดยธรรมชาติ ดูจากท่าทางแบบนี้แล้วพริกไทยนี่มันต้องเป็นของตัวเต็งที่ขาดไม่ได้เลยเปล่า ก็มันมีอารมณ์แบบถ้าพกพริกไทยเอาไว้กับตัวแล้วก็จะไม่อดอยากเด็ดขาดเงี้ย ช่วงยุคสำรวจทางทะเลก็เห็นเป็นกันแบบนี้นี่
“ ในโลกฝั่งโน้นน่ะนะ เหมือนจะเคยมียุคที่พริกไทยมีมูลค่าเท่าเทียมกับทองเลยด้วยล่ะ ”
[พริกไทยก็นับเป็นของหายากในโลกฝั่งนี้เช่นกัน แต่ก็หาได้เป็นสิ่งที่มีมูลค่ามากถึงระดับนั้นแต่อย่างใดไม่ ให้ว่าแล้วเราออกจะสงสัยด้วยซ้ำว่ามีเหตุผลอันใดมูลค่าจึงพุ่งสูงขึ้นมาจนว่ากันว่าเท่าเทียมกับทองไปได้ ทำไมจึงได้มีอุปสงค์มากถึงเพียงนั้นล่ะ? เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยเฉกเช่นเดียวกับน้ำตาลไม่ใช่หรือ หนำซ้ำยังใช้พวกสมุนไพรแทนที่ได้อีกด้วย]
“ เห็นเค้าว่าจำเป็นต้องใช้เพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อที่เก็บให้คงสภาพได้ลำบากน่ะ ”
[ทำไมจึงมีความจำเป็นต้องกินเนื้อที่เก็บให้คงสภาพได้ลำบากด้วยเล่า?]
“ เอ๊ะ? อ่า ก็แบบว่านั่นไง สมัยก่อนไม่มีตู้เย็น…… ”
ในสมัยนั้น ต่อให้จะเป็นขุนนางหรือสามัญชนก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการเน่าเสียของเนื้อได้ โดยเฉพาะช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่เนื้อซึ่งเก็บไว้จะเน่าอย่างรวดเร็วนี่แหละที่จะยิ่งเห็นได้ชัด เหมือนว่าจะมีคนที่กินเนื้อเน่าเข้าไปจนท้องเสียจู๊ดๆ อยู่ไม่น้อยเลยหรือไงนี่
จำได้ว่าเคยเห็นในเน็ตอยู่เหมือนกัน ว่าต้นกำเนิดของเทศกาลคาร์นิวัลอันเป็นที่คุ้นเคยของศาสนาคริสต์นั่นจะถูกจัดขึ้นเพื่อกินเนื้อที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้สำหรับบริโภคในช่วงหน้าหนาวให้หมดเกลี้ยง ไม่ต้องมีเหลือมาจนถึงช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่จะเกิดการเน่าอย่างรวดเร็วเอยอะไรเอย
ไม่รู้แน่ชัดหรอกนะว่าจริงรึเปล่า
แต่เนื้อในสมัยนั้นก็คงจะเน่ากันบานเลยจริงนั่นแหละ ระดับที่ทำให้มีคนพูดลือกันแบบนี้ขึ้นมาเลยน่ะนะ
[อ๋อ เป็นเช่นนั้นเองหรือ]
“ เข้าใจแล้วสินะ? ”
[โลกฝั่งนี้มีเวทมนตร์ หากจะเก็บรักษาเนื้อก็แค่ต้องเตรียมน้ำแข็งเท่านั้น เตรียมห้องที่เปี่ยมล้นไปด้วยน้ำแข็งแล้วจึงเก็บเนื้อเอาไว้ภายในนั้นน่ะ หากทำเช่นนั้นแล้วก็จะสามารถกินเนื้อที่สดใหม่ได้เสมอไม่ว่าจะเป็นที่ไหนและเมื่อไหร่]
“ ……งี้นี่เอง ”
[เวทมนตร์สำหรับใช้สร้างน้ำแข็งนั้นสามารถเรียนได้อย่างค่อนข้างง่าย อีกทั้งยังมีเวทมนตร์ระดับสูงขึ้นมาหน่อยที่สามารถแช่เป้าหมายให้กลายเป็นน้ำแข็งอยู่ด้วย หากใช้เวทบทนี้เสีย ก็จะสามารถเก็บรักษาอาหารได้เป็นเวลายาวนานกว่าการเตรียมน้ำแข็งมาก]
“ จะว่าไปแล้ว ในบรรดาเวทมนตร์ที่สอนให้เมื่อวาน ก็มีเวทสำหรับใช้ยิงแท่งน้ำแข็งออกไปอยู่เหมือนกันนี่นะ หากไม่ยิงแล้วเก็บรวมๆ กันเอาไว้ให้มากๆ แล้วก็จะใช้เป็นตู้เย็นได้จริงอย่างที่พีจังว่าเลยนั่นแหละ ขอโทษนะ ดูเหมือนจะยังไม่ได้คิดให้ดีมากพอน่ะ ”
เวทมนตร์นี่มันช่างสะดวกสบายมากมายจริงเชียว
ท่าทางแบบนี้ สงสัยตู้เย็นคงจะไม่ได้เกิดในโลกฝั่งนี้แล้วละมั้ง
[ก็เป็นเรื่องของโลกอื่นนี่ จะมีจุดที่คิดไม่ถึงบ้างก็หาใช่เรื่องแปลก]
“ ถ้าอย่างงั้นแล้ว พวกสินค้าที่จะนำเอาเข้ามานี่ก็คงต้องคิดในหลายๆ แง่มุมเลยด้วยเหมือนกันสินะ…… ”
[เอาพวกสินค้าอุตสาหกรรมประเภทเครื่องกลนั่นล่ะน่าจะปลอดภัยที่สุด เทคนิคแปรรูปโลหะของโลกฝั่งโน้นมีความยอดเยี่ยมอย่างยิ่งเลย ที่รองลงมาก็พวกของฟุ่มเฟือยที่ยังไม่มีระบบการหมุนเวียนและผลิตอย่างรัดกุมล่ะ แล้วก็เจ้าสิ่งที่เรียกว่าพลาสติกหรือเปล่า? เจ้าพวกนั้นก็น่าจะเป็นของที่สามารถหาซื้อโดยง่ายและขายได้ในราคาดีด้วยอีกเช่นกัน]
“ งี้นี่เอง ”
คราวหน้าพาพีจังไปเลือกซื้อของด้วยดีกว่า
คิดว่าแบบนั้นน่าจะสามารถเลือกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแหละ
พวกเราที่กินมื้อกลางวันเรียบร้อยแล้วนั้น ได้เดินทางหวนกลับมายังบ้านที่เป็นอพาร์ตเม้นท์
พอใช้เวลาอยู่ในโลกฝั่งโน้นราวๆ ครึ่งวันแล้วกลับมาปุ๊บ ก็พบว่าเวลาของญี่ปุ่นผ่านไปได้ 30 นาทีนิดๆ เป็นจริงดังที่พีจังได้คำนวณเอาไว้ก่อนหน้า ดูเหมือนว่าหนึ่งชั่วโมงของโลกนี้จะเทียบเท่ากับหนึ่งวันของโลกโน้นจริงๆ นั่นแหละ
วันนี้ชักรู้สึกเพลียแล้ว ก็เลยเข้านอนมันทั้งอย่างนั้นเลย
และในวันรุ่งขึ้น ขี้ข้าบริษัทก็ต้องมุ่งไปยังที่ทำงานดังเช่นเคยต่อเนื่องจากวันก่อนๆ
แอบมีติดใจตรงที่ไม่เห็นพ่อหนุ่มเพื่อนร่วมงานอยู่ตรงที่นั่งเคียงข้าง แต่นอกจากนั้นแล้วเวลาก็ไหลผ่านไปโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเป็นพิเศษ อ๋อแล้วก็ เกี่ยวกับเรื่องวุ่นไฟไหม้เมื่อวานนี่ เห็นว่าจะถูกปิดไปทั้งๆ ที่ไม่อาจระบุตัวคนร้ายได้แน่ะ คุณคิคุจิที่เป็นผู้จัดการแผนกธุรการเขาทำหน้ามุ่ยเจ็บใจสุดๆ ไปเลยเชียว
และแล้วก็ถึงเวลาเลิกงานหลังห้าโมงเย็น
ไม่สิ ถ้าจะให้ถูกแล้วคือหลังสามทุ่มต่างหาก
ขี้ข้าบริษัทที่กลับบ้านมาเร็วกว่าปกตินิดหน่อยนั้น กำลังทำการเตรียมพร้อมมั่นหมายจะมุ่งไปยังซูเปอร์ในละแวกใกล้บ้านด้วยกันกับพีจังแหละ เนื่องจากซูเปอร์จะเปิดไปจนถึง 5 ทุ่ม ก็เลยถือเป็นร้านซึ่งได้รับความนิยมในหมู่ออฟฟิศเลดี้และซาลารี่แมนที่กลับถึงบ้านมืดค่ำเช่นเรามากๆ
แต่พอก้าวออกมาจากห้องปุ๊บเท่านั้นแหละ สายตาพลันเหลือบไปเจอะเข้ากับคนคุ้นเคยที่นั่งจ่อมอยู่หน้าประตูทางเข้าของห้องข้างๆ
เด็กมัธยมต้นกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ในสภาพสวมชุดกะลาสี
ในตอนที่เรากลับมาถึงห้องนั้นยังไม่เห็นตัวเลย แสดงว่าคงน่าจะกลับมาถึงช้ากว่าขี้ข้าบริษัทนิดหน่อยรึเปล่า แต่เนื่องจากคุณแม่ยังไม่ได้กลับมา ก็เลยคงกำลังนั่งว่างเรื่อยเปื่อยอยู่หน้าประตูห้องแบบนี้ละมั้ง
“ ……นกกระจอกชวา หรือคะ? ”
คุณหล่อนจ้องมองมายังทางนี้พร้อมกล่าวกระซิบเสียงค่อย
ปลายสายตานั่นก็คือพีจัง
ซึ่งกำลังอยู่ในกระเป๋าใส่นกสำหรับพกพาที่ห้อยลงมาจากไหล่เรานี่น่ะ
“ อือ นกกระจอกชวาน่ะ ซื้อมาเริ่มเลี้ยงไว้ในบ้าน ”
“ ………… ”
กระเป๋าที่มีกรอบโลหะเป็นฐาน และถูกสร้างขึ้นมาด้วยตาข่าย PVC (พอลิไวนิลคลอไรด์) กับ PE (พอลิเอทิลีน) นั่นมีรูปทรงภายนอกดูเหมือนกับกระเป๋าเดินทางแบบย่อส่วน มีกิ่งไม้ถูกติดตั้งเอาไว้อยู่ภายใน และสามารถจ้องมองพีจังที่เกาะอยู่เหนือไม้ได้จากทางมุมด้านบนและด้านข้าง
ภายหลังจากที่พบว่าเขาพูดได้ เราก็ทำการเข้าเว็บไปสั่งซื้อมาเลยแน่ะ เผอิญว่าของมาส่งในตอนที่กลับถึงบ้านพอดี ก็เลยว่าจะใช้ใส่พีจังออกไปเดินข้างนอกในวันนี้ทันทีเลยแน่ะ ก็ถ้าตาลุงออกไปซื้อของโดยมีนกกระจอกชวาเกาะอยู่เหนือไหล่แบบนั้นก็คงไม่แคล้วถูกคนเค้าทำหน้ามึนใส่แน่นอนเลยใช่มั้ยอะ
“ หรือว่าไม่ชอบนกกระจอกชวา? ”
“ เปล่าค่ะ ไม่ได้เกลียด ”
คุณเพื่อนบ้านตอบแบบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
ท้องของเธอผู้นั้นลั่นร้องเสียงดัง จ๊อกกก
หากเป็นเด็กผู้หญิงในวัยประมาณนี้แล้วละก็ คงจะอับอายจนมีออกอาการในลักษณะใดลักษณะนึงบ้างแล้วแหละ แต่ว่า เธอผู้นี้กลับไม่ได้มีท่าทางเหมือนสนใจเลยแม้แต่น้อยนิด เอาแต่เพ่งจ้องมองพีจังอยู่ท่าเดียว สำหรับคุณเพื่อนบ้านแล้ว ท้องลั่นเช่นนี้มันถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิตประจำวันเลยทีเดียวเชียว
“ รอเดี๋ยวก่อนนะ ”
“ เอ่อ วันนี้เหลือแค่นอนเท่านั้นแล้ว…… ”
อพาร์ตเม้นท์สำหรับใช้อยู่ตัวคนเดียวมันจะสะดวกก็ในเวลาแบบนี้แหละ ประตูห้องกับครัวอยู่ใกล้กันไง แค่ยืดตัวเอื้อมมือไปก็จะแตะชั้นวางของได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องถอดรองเท้า และบนชั้นดังกล่าวก็มีขนมปังหวานที่ซื้อมาทิ้งเอาไว้อยู่ เราหยิบไอ้เจ้านั่นมา แล้วจึงหันเข้าหาคุณเพื่อนบ้านอีกรอบ
“ มันจะหมดอายุวันนี้พอดีน่ะ ”
“ ………… ”
อ้างมั่วซั่วไปเรื่อยแหละ
เวลาช่วงนี้คือช่วงที่คุณแม่แกใกล้จะกลับมา จะมัวพูดคุยอ้อยอิ่งอยู่กับเธอไปนานๆ ไม่ได้ หากมองจากสายตาคนนอกแล้ว คงเห็นเหมือนตาลุงวัยกลางคนไม่มีปัญญาหาสาวกำลังพยายามจะป้อนข้าวผู้เยาว์อยู่เลยละมั้ง ซึ่งให้ว่ากันตามจริงแล้วก็ถูกต้องตรงเผงตามนั้นเลยแหละนะ ดังนั้นแหละเลยอยากจะรักษาระยะห่างเอาไว้ให้ไกลๆ จากกันนิดนึง
ถ้าเกิดถูกคนบ้านใกล้เรือนเคียงเห็นเข้าแล้วเอาไปลือกันให้แซ่ดละก็ตายแน่
“ ถ้างั้นก็ไปก่อนนะ พวกผมต้องไปทำธุระน่ะ ”
รีบตัดบทสนทนา แล้วจึงวางขนมปังลงเหนือกระเป๋าที่กองอยู่เคียงข้างเธอ
อารมณ์ประมาณโยนเหรียญอธิษฐานให้กับศาลเจ้าน่ะแหละ
ขอให้บุญงามความดีในครั้งนี้ กลับมาสร้างเคราะห์ให้เราในซักวันทีเถิ๊ดเจ้าพระคู๊นน เงี้ย
“ ……ขอบคุณค่ะ ”
และแล้วพวกเราก็ก้าวออกมาจากอพาร์ตเม้นท์ โดยที่ได้รับเสียงของคุณเพื่อนบ้านคอยส่ง