ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่พูดแฮะ
มีทั้งปริศนาว่าทำไมฝักฝ่ายที่เฮเลนาไม่เห็นจะจำได้ว่าตั้งขึ้นมาตอนไหนมันถึงได้มีตัวตนอยู่ แล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจด้วยว่าเข้าร่วมไอ้ฝักฝ่ายที่ว่าแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นอเลกเซียคงจะต้องรู้อะไรบ้างแน่ ๆ แต่ช่างน่าเศร้าที่สำหรับเฮเลนานั้นเธอไม่รู้ว่าจะเริ่มทำความเข้าใจจากตรงไหนดีด้วยซ้ำ
ถึงกระนั้น ก็สังหรณ์ใจชอบกลว่าหากพูดออกไปว่า ‘ไม่เข้าใจอ่ะ ไหนอธิบายมาก่อนซิ’ เธอก็จะต้องโดนดุแน่ ไม่ใช่โดยคุณหนูแคทลียาแต่โดยนางกำนัลที่อยู่ข้างหลังน่ะนะ
“ฮืม……”
แคทลียาพูดว่านี่เป็นเรื่องที่เฮเลนาไม่มีขาดทุน
ทว่า จากประสบการณ์ของเฮเลนาที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ไอ้พวกคนที่เข้ามาพร้อมคำหวานว่า ‘ท่านไม่มีทางขาดทุน’ แบบนี้เนี่ย นอกจากพวกต้มตุ๋นแล้วก็ไม่เคยเจอคนอื่นอีกเลย สุดท้ายแล้วโลกมนุษย์เรานี้มันก็หมุนไปด้วยผลประโยชน์และโทษสำหรับใครสักคนเสมอ หากเป็นเรื่องที่เฮเลนามีแต่จะได้กำไร ก็แปลว่าต้องมีใครสักคนที่ขาดทุนนั่นเอง
แปลว่า การที่แคทลียาเป็นคนนำเรื่องที่ไม่มีการขาดทุนนี้มา ก็หมายความว่ามันเป็นเรื่องที่ทั้งเฮเลนาและแคทลียาจะได้ประโยชน์นั่นเอง หรือไม่เธอก็กำลังพยายามใช้วาจาหลอกล่อเฮเลนาให้เสียประโยชน์อยู่ มีความเป็นไปได้อยู่สองทางนี้เท่านั้น
หากแคทลียาอยากจะสนิทสนมกับเฮเลนาเธอก็ไม่ถือสาอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเธออยากจะเป็นศัตรูกับใครเสียหน่อย
การที่คิดแบบนี้แต่กลับมีความสัมพันธ์ขัดแย้งกับชาร์ลอตเตอยู่นั้น นั่นก็เพราะทางชาร์ลอตเตเธอเป็นฝ่ายมองเฮเลนาเป็นศัตรูอยู่ฝ่ายเดียวเองต่างหาก สำหรับเฮเลนาแล้ว หากอีกฝ่ายกล่าวทักทายมาเธอก็มีสามัญสำนึกดีพอที่จะทักทายตอบอยู่แล้ว ไม่ได้มีนิสัยบิดเบี้ยวขนาดที่จะตอบแทนมิตรไมตรีด้วยเจตนาร้ายหรอก
ดังนั้นแล้ว เธอก็ไม่ขัดข้องอะไรที่จะญาติดีกับแคทลียา
ทว่า ยังไงมันก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับคำว่าฝักฝ่ายอยู่ดี
เฮเลนานั้นไม่มีความทรงจำเลยแม้แต่น้อยว่าเธอไปก่อตั้งกลุ่มอันเป็นปริศนาที่ชื่อว่า ‘ฝ่ายสนมฟ้าสุริยา’ นั่นตั้งแต่เมื่อไร และสมมุติว่ากลุ่มแบบนั้นมีตัวตนอยู่โดยที่เฮเลนาไม่รู้ มันก็ยิ่งน่าฉงนเข้าไปใหญ่ว่าไอ้กลุ่มนั้นมันมีไว้ทำเรื่องแบบไหนกันแน่ โดยสรุปก็คือต่อให้มี ‘ฝ่ายสนมฟ้าสุริยา’ อยู่จริง มันก็ไม่ได้อยู่ในความควบคุมดูแลของเฮเลนานั่นเอง
ทว่า ไอ้การที่เอาชื่อของเฮเลนาไปอ้างตามใจชอบมันก็น่าลำบากใจเหมือนกันนะ
ชื่อนั้นเป็นสิ่งสำคัญ หากพวกเธออ้างชื่อ ‘สนมฟ้าสุริยา’ ซึ่งเป็นชื่อของเฮเลนาไปทั่วแล้วล่ะก็ ไม่รู้ว่ามันจะนำภัยอะไรมาหาเฮเลนาได้บ้าง
และเธอก็นึกถึงคำพูดของแคทลียาขึ้นมา
ในความคิดของพวกเธอเหล่านี้ ‘ฝ่ายสนมฟ้าสุริยา’ นั้นมีสามคนอยู่ในสังกัดเรียบร้อยแล้ว แจกแจงได้เป็น ‘สนมฟ้าดารา’ มาริเอล, ‘ผู้มีความสามารถ’ ฟรองซัวส์, ‘ผู้ไพเราะ’ คลาริสซา สามคนนี้นั่นเอง
สิ่งที่สามคนนี้กับเฮเลนากำลังทำร่วมกันอยู่ นั่นก็คือการฝึกฝนวิชาในช่วงเช้า
‘อย่างนี้นี่เอง’ เฮเลนาทุบฝ่ามือตนเอง
“ย่อมได้สิ คุณหนูแคทลียา”
“แหม ขอบพระคุณค่ะ จากนี้ไปพวกดิฉันจะพยายามเป็นกำลังให้กับพระสนมฟ้าสุริยานะคะ”
“อืม ช่วยแข็งแกร่งขึ้นให้ถึงระดับที่สามารถฝึกซ้อมต่อสู้กับข้าได้ทีเถอะ”
‘ฝ่ายสนมฟ้าสุริยา’ ที่แคทลียาพูดถึง มันคงจะหมายถึงสมาชิกการฝึกวิชาในช่วงเช้าสินะ
อย่างคลาริสซาเอง เหตุผลที่เธอมาเข้าร่วมก็เป็นเพราะออกกำลังกายไม่เพียงพอ พวกแคทลียาเองก็คงจะรู้สึกว่าตัวเองขาดการออกกำลังกายอยู่เหมือนกัน ดังนั้นถึงได้เข้ามาขอรับการฝึกกับเฮเลนาโดยตรงเช่นนี้ไงล่ะ
ถ้าเป็นแบบนั้นก็เข้าใจได้ที่จะตั้งชื่อกลุ่มว่า ‘ฝ่ายสนมฟ้าสุริยา’ เพราะผู้ที่คอยชี้นำการฝึกอยู่ก็คือเฮเลนานั่นเอง
ทว่า เมื่อได้ฟังคำของเฮเลนา แคทลียาก็เอียงศีรษะอย่างฉงนใจ
“……ฝึกซ้อมต่อสู้ หรือคะ?”
“ใช่ แต่แน่นอนว่าข้าก็ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายหรอกนะ เพราะแม้แต่ข้าเองก็ยังไปไม่ถึงกระทั่งฝ่าเท้าของจุดสูงสุดแห่งยุทธด้วยซ้ำ”
“……เอ่อ ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจ”
“แน่นอน ตอนแรกจะไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เดี๋ยวร่างกายมันก็จะจดจำได้ไปเองนั่นแหละ นอกจากนั้นการฝึกฝนขัดเกลาอย่างไม่ย่อท้อจะนำไปสู่ความมั่นใจในตัวเองด้วยนะ ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องเศร้าใจไปเพราะความไม่รู้หรอก แม้แต่ข้าเองก็มีเรื่องที่ไม่รู้อยู่มากมายเช่นเดียวกัน”
“อ่า……”
จะอย่างไรเสีย การมีผู้ร่วมฝึกฝนขัดเกลาด้วยกันเพิ่มขึ้นก็เป็นเรื่องที่ดี
แต่หากเพิ่มมากะทันหันตั้งสิบห้าคนแบบนี้ สวนระหว่างอาคารนี้มันอาจจะแคบเกินไปแล้วก็ได้ ‘ไปขอให้ดีอันนากับเมห์เลียนาช่วยแบ่งกลุ่มกันชี้นำน่าจะเข้าท่ากว่าแฮะ’ เฮเลนาลองคิดดูเล็กน้อย
ทว่า สถานที่ซึ่งสามารถเคลื่อนไหวอย่างเต็มกำลัง และแกว่งอาวุธได้โดยไม่ต้องกังวล มันก็มีแค่สวนระหว่างอาคารเท่านั้น
เช่นนั้นแล้วก็ควรให้แต่ละคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันฝึกอบรมในสิ่งที่แตกต่างกันไปสินะ
ยกตัวอย่างเช่น ฟรองซัวส์ คลาริสซา มาริเอลสามคนนี้เริ่มจะมีแรงกายกันพอสมควรแล้ว ก็ให้พวกเธอจับกระบองที่ติดวัสดุลดแรงกระแทกแล้วก็ฝึกซ้อมต่อสู้กัน โดยมีเฮเลนาเป็นคนชี้แนะ
ส่วนอีกกลุ่มก็จะไปอยู่กันแถว ๆ โถงทางเดินตัดผ่าน ให้ฝึกออกหมัดตรงพร้อมกันประมาณเจ็ด-แปดคน กลุ่มนี้ให้เฮเลนาคอยมองดูเป็นครั้งคราวก็น่าจะเพียงพอ
ส่วนบรรดาคนที่เหลือกลุ่มสุดท้าย ก็ไปใช้ ‘ห้องแปะเจียก’ ที่เคยจัดงานเลี้ยงน้ำชากันก่อนหน้านี้ รื้อถอนโต๊ะออกไปจากห้องซะ แล้วก็ให้ทุกคนฝึกฝนกล้ามเนื้อกันด้วยการวิดพื้นและซิตอัปเป็นหลัก สำหรับกลุ่มนี้ให้เมห์เลียนาหรือใครก็ได้จากกองอัศวินหมาป่าเงินที่มีเวลาว่างมาช่วยชี้แนะให้ก็น่าจะดี
‘อืม สมบูรณ์แบบเลย’ เธอยิ้มให้กับการวางแผนของตัวเอง
ทว่าแบบนี้พอลองมาคิดดูแล้ว สมาชิกการฝึกในสวนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลยนี่นา
หากฝึกต่อสู้กันแค่สามคน ไม่ว่ายังไงก็จะมีคนหนึ่งที่ต้องพักอยู่เสมอ แบบนั้นมันอาจทำให้ประสิทธิภาพของการฝึกลดลง เช่นนั้นแล้วก็ควรจะต้องเพิ่มใครอีกสักคนเข้าไปในกลุ่มของสามคนนี้
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว หากเพิ่มเข้าไปอีกสามคนเลยก็จะสามารถผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันฝึกเป็นกลุ่มละหกคนได้พอดีด้วย
ถ้างั้นเรื่องมันก็ง่ายนิดเดียว
“เอาล่ะ คุณหนูแคทลียา”
“ค คะ?”
“ก่อนอื่น ทุกคนช่วยแสดงให้เห็นหน่อยสิ”
“แสดง……อะไรหรือคะ?”
“ความสามารถทางกีฬาขั้นพื้นฐานน่ะ พวกฟรองซัวส์เองตอนแรกก็เลวร้ายมาก ทว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาพวกเธอก็ทำมันอย่างต่อเนื่องจนเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นมากแล้ว ในอนาคตพวกเจ้าเองก็คงจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ดังนั้นวางใจเถอะ”
“……เอ่อ ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าท่านกล่าวถึงอะไร”
“ตอนแรกจะไม่เข้าใจก็ช่วยไม่ได้หรอก ของพวกนี้ถ้าไม่ลองทำดูมันก็ไม่รู้น่ะนะ”
เฮเลนาเอาดาบใหญ่ที่จับอยู่ไปฝากไว้กับอเลกเซีย
แต่ถึงกระนั้นอเลกเซียเองก็ใช่ว่าจะถือมันได้นาน ดังนั้นเฮเลนาจึงแค่วางมันไว้กับพื้นเท่านั้นเอง
ในจังหวะนั้น ไม่รู้ทำไมจึงเห็นเหมือนอเลกเซียกำลังจ้องมองไปยังพวกแคทลียาด้วยสายตาราวกับกำลังมองบางสิ่งที่น่าสงสาร
และแล้ว ต่อหน้าพวกของแคทลียาทั้งสิบห้าคน
เฮเลนาก็ได้ตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้
“เอาล่ะ เริ่มจากใครก่อนก็ได้ บุกเข้ามาได้เลย”
“ไหงเป็นงั้นไปล่ะคะ!?”
“มุ? อ้อ พวกเจ้าอาจจะไม่เข้าใจสินะ แต่ว่าในการวัดความสามารถทางกีฬาขั้นพื้นฐานนั้น การประมือกันเบา ๆ นี่แหละเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดแล้ว อันที่จริงจะบุกเข้ามาพร้อมกันทุกคนเลยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าแบบนั้นมันจะตรวจสอบความสามารถของแต่ละคนได้ยากหน่อยน่ะ”
“อ เอ๋…………”
โดยมีแคทลียาเป็นตัวนำ ต่างคนก็ต่างมองหน้ากันไปมาแล้วก็หลบตา
ที่บอกไปว่า ‘เริ่มจากใครก่อนก็ได้’ เนี่ยคิดผิดไปหรือเปล่านะ อย่างไรเสียพวกเธอก็เป็นคุณหนูที่ได้รับการดูแลมาเหมือนไข่ในหินกันทั้งสิ้น บางทีอาจะขาดความกล้าแสดงออกกันก็เป็นได้
ช่วยไม่ได้แฮะ
การเพิ่มความกล้าแสดงออกให้กับนักเรียนก็เป็นหน้าที่ของครูผู้สอนด้วยเหมือนกัน
“เช่นนั้นก็……นั่นสินะ คุณหนูแคทลียา เริ่มจากเจ้าก่อน บุกเข้ามาสิ”
“ร เริ่มจากดิฉันหรือคะ!?”
“ใช่ จะจู่โจมแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น หากจู่โจมโดนข้าแม้แต่กระบวนท่าเดียวก็ได้เป็นสมาชิกใหม่ทันทีไปเลย”
“เอ่อ คือว่า ดิฉันไม่เข้าใจเลยค่ะว่าพระสนมฟ้าสุริยากำลังกล่าวเรื่องอะไรอยู่น่ะ!”
“เอาล่ะ เริ่มได้ เข้ามา!”
“ทำไมคุยกันไม่รู้เรื่องเลยคะ!?”
แคทลียามีท่าทีร้อนรนอย่างชัดเจนมากทีเดียว
เอาเถอะ ก็เป็นธรรมดาล่ะนะ เฮเลนานั้นเป็นทหารที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ฝีมือยุทธโดดเด่นจนแทบไม่มีผู้ใดเทียบเคียง หากจู่ ๆ มีคู่ต่อสู้เช่นนั้นมาบอกให้ ‘บุกเข้ามาได้เลย’ มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกใจฝ่อขึ้นมา
เช่นนั้นแล้วก็ต้องช่วยผลักดันเบา ๆ—
“เอ้า ถ้าไม่รีบเข้ามาล่ะก็”
“ฮิ!?”
“จะโดนแบบนี้นะ?”
‘ฟุ่บ’—สำหรับแคลียาคงจะเห็นเหมือนกับว่าร่างนั้นได้อันตรธานหายไป
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว นี่ไม่ใช่วิชาที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย เฮเลนาเพียงแค่ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าอันโดดเด่นของตนวิเคราะห์จังหวะชีพจร ประสาทการรับรู้ สายตา ความคิดอ่าน และสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อลอบเร้นเข้าไปในมุมบอดโดยตั้งใจเท่านั้นเอง
จากนั้น เฮเลนาก็ได้ใช้กำปั้นขวา เคาะ ‘ป๊อก’ ไปที่ท้ายทอยของแคทลียา
“ฮิ—”
“เอาล่ะ ถ้าเข้าใจแล้วก็บุกเข้ามาสิ ไม่เป็นไรหรอก ข้าน่ะจะไม่”
“ฮี้—!!!”
“เป็นฝ่ายจู่โจมเด็ดขาด……เอ๋?”
แคทลียาเอามือกุมท้ายทอยเอาไว้พลางเข่าอ่อนทรุดลงไป
‘ฮิก ฮิ้’ เธอเอาแต่กรีดร้องท่าเดียวเหมือนกับว่าพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว
ปฏิกิริยาตอบรับที่นอกเหนือความคาดหมายแบบนี้ ทำให้เฮเลนาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ฮิ้! ช ช่วย ช่วยด้วย……! ท่านพ่อขา—!”
“เอ่อ ข้า……”
“ม่ายยยยยยยย!!!”
แคทลียาค่อย ๆ คืบคลานหนีไปทั้งแบบนั้น
ซึ่งบรรดาบุตรีขุนนางคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ก็พากันโวยวาย ‘ท่านแคลียา!’ ‘ทำใจดี ๆ ไว้นะคะ!’ พลางเผ่นหนีไปด้วยกันทั้งกลุ่ม
“เอ๋……?”
ฝ่ายเฮเลนาก็ได้แต่มองส่งบุตรีขุนนางเหล่านั้นจากไปอยู่เช่นนั้นเอง