“ฝ่าบาท สวัสดีเพคะ……”
“พอแล้ว ไม่ต้องกล่าวทักทายน่าอึดอัดแบบนั้นหรอก หัวหน้านางกำนัล เราบอกให้เจ้าไปได้แล้วไม่ใช่รึไง”
“เพคะ……”
เมื่อได้ยินคำทักทายของอิซาเบล ฟาร์มาสก็ตอบเช่นนั้นโดยไม่ปราณีและสั่งให้ออกจากห้อง
แน่นอนว่าไม่อาจฝ่าฝืนบัญชาของจักรพรรดิได้ อิซาเบลกับอเลกเซียจึงโค้งคำนับครั้งหนึ่งก่อนจะออกไปจากห้อง
และที่ด้านหลังนั้นก็มีชายในชุดเกราะเบาสองคนซึ่งน่าจะเป็นทหารองครักษ์ยืนรออยู่
“ฝ่าบาท”
“พวกเจ้าเองก็กลับไปเถอะ คืนนี้เราจะสนทนากับ ‘สนมฟ้าสุริยา’ ไม่ต้องมีคนงุ่มง่ามแบบพวกเจ้าอยู่ด้วยหรอก”
“ฝ่าบาท แต่ว่าพวกข้าต้องคุ้มครองพระองค์……”
“ที่นี่วังหลัง จะบอกว่าในวังหลังของเราเองมีคนที่จะทำร้ายเราอยู่งั้นรึ หมิ่นเบื้องสูงระวังจะโดนตัดคอล่ะ”
ทหารองครักษ์คนหนึ่งพูดทัดทาน แต่ฟาร์มาสก็ตัดบทเช่นนั้นพร้อมจ้องขู่
ในฐานะจักรพรรดิ จะไปไหนมาไหนแต่ละครั้งก็ต้องมีองครักษ์ติดตามเป็นธรรมดา หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับจักรพรรดิที่เป็นผู้ปกครองสูงสุด ย่อมต้องนำไปสู่การหยุดชะงักของการบริหารบ้านเมืองได้โดยตรง ดังนั้นจึงมีองค์รักษ์คอยติดตามเหมือนกับกำลังจับตาดูอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้
ทว่า ฟาร์มาสกลับกำลังพยายามให้องครักษ์เหล่านั้นไปไกล ๆ
“……หากเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ ประเทศชาติ…”
“โฮ่ บอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรางั้นรึ ที่นี่คือวังหลังของเราและเป็นห้องของ ‘สนมฟ้าสุริยา’ หนึ่งในสามสนมฟ้าที่เป็นรองเพียงแค่ชายาเอก พวกเจ้ากำลังบอกว่าลูกสาวของที่ปรึกษาหลวงแอนตัน เรลโนตจะทำร้ายเรารึไง?”
“อึก……”
‘หึ’ ริมฝีปากได้รูปของฟาร์มาสกล่าวประชดออกมาอย่างอวดดีที่สุด
เฮเลนามองดูการโต้เถียงนั้นอยู่ตลอด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย
“……รับทราบพะยะค่ะฝ่าบาท แต่ว่าขออยู่หน้าประตู…”
“ไม่อนุญาต การสนทนาของเรากับ ‘สนมฟ้าสุริยา’ ต้องไม่มีผู้อื่นได้ยิน พวกเจ้าก็รู้ว่าปกติแล้ววังหลังห้ามผู้ชายเข้ามายกเว้นเรา แต่พวกเจ้าเอาแต่บ่นน่าเบื่อไม่หยุดหย่อนเราถึงยอมพามาด้วยจนถึงตรงนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทางเราเองก็คงเข้าใจความกังวลของพวกเจ้า แต่มันก็ไม่ได้มีอะไร หากพวกเจ้าอยู่ก็เป็นแค่คนชั้นต่ำที่จะแอบฟังเราสนทนากับสนมเท่านั้นแหละ”
“อึ่ก……”
“เราจะไม่พูดซ้ำสองแล้ว กลับไปซะ นี่คือคำสั่ง”
“……พะยะค่ะ”
องครักษ์โค้งศีรษะและถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ทว่าฟาร์มาสก็กล่าวเพิ่มไปอีกเหมือนต้องการย้ำให้ชัด
“สมมุติว่าเมินคำสั่งของเราแล้วแอบเงี่ยหูอยู่หน้าประตูนั่นล่ะก็……ตระกูลของพวกเจ้าต้องถูกตัดคอทั้งหมด เข้าใจนะ?”
“……รับทราบพะยะค่ะ”
องค์รักษ์ออกไปจากห้องด้วยท่าทีชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย
หลังจากนั้น เมื่อยืนยันให้แน่ใจว่าเสียงฝีเท้าเหล่านั้นเดินจากไปไกลแล้ว
ในที่สุดฟาร์มาสจึงมองมาที่เฮเลนา
“เราคือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ฟาร์มาส ดีล ลูเครเซีย กันเกรฟ”
“ค ค่ะ!”
‘เอิ่มม’ เฮเลนาพยายามนึกอย่างสุดชีวิต
ถ้าจำไม่ผิด อเลกเซียเคยบอกไว้แล้วนี่นา คำพูดแรกเมื่อฝ่าบาทมาเยือน ที่ไม่ใช่ ‘เดชะพระอาญามิพ้นเกล้ากระหม่อมปลื้มใจยิ่งที่ได้ยลพระพักตร์’ – เป็นคำพูดที่ง่ายกว่านั้น
ลืมไปซะแล้ว
รู้สึกว่าจะขึ้นต้นด้วย “ย” แล้วก็เป็นคำพูดที่ค่อนข้างง่าย
เฮเลนาใช้สมองอย่างเต็มกำลังเพื่อนึกคำนั้น อะไรน้า อะไรน้า จนจิตใจว้าวุ้นไปหมดแต่ก็ยังนึกไม่ออก
จนในที่สุด
ริมฝีปากของเฮเลนาก็ได้กล่าวเรียงถ้อยคำค่อนข้างง่ายที่ขึ้นด้วย “ย” ออกมา พลางโค้งศีรษะลง
“ย……”
“ย?”
“ยากลำบากหน่อยนะคะฝ่าบาท!”
……
……
……
เฮเลนานึกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ว่านี่มันไม่ใช่นี่หว่า
อันนี้มันคำพูดที่ทหารชั้นประทวนมักพูดกับเฮเลนาเวลาที่เธอโผล่หน้าไปค่ายฝึกทหารหรืออะไรทำนองนั้น เป็นแค่คำทักทายขอบคุณตามมารยาทที่ใช้กันในกองทัพ ไม่น่าจะสมควรเอามาใช้กับจักรพรรดิแน่ ๆ
‘แย่ล่ะสิ’ เหงื่อเย็นเริ่มไหลลงกลางหลัง
“หึ ๆ ……”
ทว่า
ฟาร์มาสกลับหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“ยากลำบากหน่อยนะงั้นรึ ไม่เคยมีใครพูดคำนี้ใส่เรามาก่อนเลยล่ะ แต่ก็ไม่เลวทีเดียว จะว่าไปแล้วก็เหนื่อยอยู่นิดหน่อยจริง ๆ ‘สนมฟ้าสุริยา’ เอ๋ย เราเองก็ขอนั่งบ้างได้ไหม?”
“ช เชิญค่ะเชิญ!”
ฟาร์มาสกล่าวพร้อมกับนั่งลงบนโซฟาที่ตั้งหันหน้าตรงข้ามกับเฮเลนา ทุกท่วงท่ากิริยานั้นก็ไม่รู้จะหาคำอธิบายใดนอกจากคำว่าประณีตสง่าสาม
รูปโฉมที่สมบูรณ์แบบเกินไปนั้น แค่การนั่งลงบนโซฟาก็ดูราวกับเป็นภาพวาดหรือการแสดงชั้นสูงบทหนึ่งได้เลย
ฟาร์มาสนั่งไขว่ห้าง แล้วมองมาที่เฮเลนาตรง ๆ
“หืม…..ที่บ้านตระกูลเรลโนตน่ะ ไม่ได้สอนเรื่องสามัญสำนึกมางั้นรึ”
“ค คะ……?”
“เราบอกนามไปแล้ว เจ้าเองก็ควรจะบอกนามมาด้วยไม่ใช่รึไงกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของฟาร์มาส เฮเลนาก็รู้สึกเสียใจภายหลังอย่างสุดซึ้งจนเกือบจะร้อง ‘อ้าก’
ว่าไปแล้วฟาร์มาสก็บอกชื่อมาตอนแรกจริง ๆ แต่พอได้ยินแล้วเฮเลนาดันกลับตอบไปแค่ว่า “ยากลำบากหน่อยนะคะ” ซะงั้น
เมื่อมีคนมาแนะนำตัว ตามมารยาทแล้วก็ต้องแนะนำตัวกลับไป แถมนี่ยังเป็นคนที่สูงส่งกว่าตนมากด้วย ทั้งที่โดนบอกมาว่าอย่าพูดอะไรพล่อย ๆ แต่ไม่ทันไรก็ทำกิริยาที่ไม่รักษามารยาทไปซะแล้ว
“ขอประทานอภัยค่ะ! ข้าสังกัดหน่วยที่หนึ่ง รองแม่ทัพกองกำลังอัศวินพยัคฆ์แดง เฮเลนา เรล……”
กล่าวได้ถึงตรงนั้นก็ส่ายหัว
ปัจจุบันเฮเลนาไม่ได้สังกัดกองทัพ แต่เป็นเพียงบุตรีมาร์ควิสและสนมของจักรพรรดิต่างหาก ถ้าจะแนะนำตัวก็ไม่จำเป็นต้องพูดยศทางทหารของตนเอง
“ข ขอโทษค่ะ! ข้าบุตรสาวของที่ปรึกษาหลวงแอนตัน เรลโนต ชื่อว่าเฮเลนา เรลโนตค่ะ!”
“เฮเลนางั้นรึ เป็นชื่อที่ดี ว่าแต่ว่าดูอายุมากกว่าเราอยู่พอสมควรเลยนะ”
“ค่ะ ต้องขออภัยด้วย ข้าเข้ากองทัพตั้งแต่อายุสิบห้า แต่จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยมีเรื่องรักใคร่ เป็นผู้หญิงที่เลยวัยแต่งงานแล้วค่ะ”
เฮเลนากล่าวออกไปเช่นนั้นโดยไม่ปิดบัง
เธอคิดว่าฝ่าบาทเองก็คงไม่ชอบคนมีอายุเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าลดตัวบอกออกไปซะตั้งแต่เนิ่น ๆ อะไรมันก็คงเข้าที่เข้าทางเองมั้ง
ฟาร์มาสได้ยินคำพูดของเฮเลนาเช่นนั้นก็ยิ้มที่มุมปาก
“อย่างนี้เอง เพราะอย่างนั้นถึงได้มีโฉมงามเช่นนี้มาอยู่ในวังหลังของเราได้สินะ”
“เอ๋”
เธอเผลอเบิกตากว้างให้กับคำพูดของฟาร์มาส
มาพูดกับผู้หญิงที่อายุมากกว่าตั้งสิบปีว่าโฉมงามเนี่ยนะ
ถูกชมก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีใจ แต่ฟังแล้วมันคัน ๆ ชอบกล
“เราได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าอยู่บ้าง เฮเลนา เรลโนต คนสนิทของ ‘ขุนศึกพยัคฆ์แดง’ ได้ยินว่าเป็นรองแม่ทัพชั้นเอกเลยทีเดียว
“ข ขอบพระคุณค่ะ”
“ความจริงแล้วเป็นผู้มีความสามารถระดับที่ไม่ควรต้องมาเฉียดใกล้วังหลังเลยด้วยซ้ำกระมัง นี่เป็นเพราะความไม่ได้เรื่องของเราเองจริง ๆ”
……เอ๋?
เฮเลนาเอียงศีรษะอย่างฉงน ฟาร์มาสที่กำลังแสดงท่าทีเหมือนว่าการที่เฮเลนาต้องมาเข้าวังหลังมันเป็นความผิดของเขาเองทำให้เธอรู้สึกขัดแย้งอย่างรุนแรง
ทั้งที่คิดว่าแอนตันผู้เป็นบิดาของเธอเป็นคนยัดเยียดฝืนให้เธอเข้ามาแท้ ๆ
“ที่นี่คือวังหลัง เป็นสถานที่ส่วนตัวของเรา ดังนั้นเมื่ออยู่ที่นี่เราก็ไม่ใช่จักรพรรดิ แต่เป็นชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าฟาร์มาส”
“ค ค่ะ……”
“และด้วยจุดยืนเช่นนั้น เรามีเรื่องที่ต้องกล่าวกับเจ้า”
พูดจบ ใบหน้าที่งดงามได้รูปของฟาร์มาสก็ค่อย ๆ ลดต่ำลง
เขากำลังโค้งศีรษะให้กับเฮเลนาอยู่
“ฝ ฝ่าบาท!?”
“การรุกรานของริฟาลนั้นเกิดจากการคำนวณที่ผิดพลาดของเราด้วย เมื่อต้องปะทะกับยอดขุนศึกที่เลื่องลือมาถึงจักรวรรดิของเราอย่างกาเซต การิบัลดีแล้ว ทหารเฒ่าที่คุมทัพต้องห้ามอยู่คงรับมือไม่ไหวแน่ ต้องขอขอบคุณเจ้า วีรชนผู้กู้ชาติของเราจากอันตราย”
“ง เงยหน้าขึ้นเถอะค่ะฝ่าบาท! หากใครมาเห็นท่าทางเช่นนี้ล่ะก็!”
“ด้วยฐานะเราจึงไม่ควรจะก้มศีรษะต่อหน้าใคร ๆ ทว่าอำนาจบารมีมันก็เป็นแค่สิ่งที่สวมใส่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนเท่านั้น ที่นี่คือวังหลังซึ่งก็เหมือนเป็นบ้านของเราเอง อยู่บ้านตัวเองทั้งทีเราก็ไม่อยากจะสวมของหนัก ๆ อย่างอำนาจบารมีหรอกนะ”
ฟาร์มาสเงยหน้าขึ้นและยิ้มบาง ๆ
“ฝ่าบาทเด็กน้อย” ที่วิกเตอร์เคยว่าไว้ กับ “จักรพรรดิโง่เขลาที่ไม่โปรดคำติเตียน” ที่แอนตันเคยว่าไว้
สำหรับเฮเลนาแล้ว ไม่ว่าความเห็นอันไหนก็ไม่เหมาะสมกับฟาร์มาสคนนี้เลย
“เราขอขอบคุณอีกครั้ง ขอบคุณที่ช่วยชาติ ช่วยประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ไว้”
“ฝ ฝ่าบาท……”
กษัตริย์ในอุดมคติควรเป็นเช่นไรกัน
อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นตัวตนที่มีความเมตตาต่อประชาชน ‘กษัตริย์คือตัวตนที่ยืนอยู่เหนือประชาชน’ ผู้ที่รับรู้ถึงข้อนั้นและสามารถแบกรับน้ำหนักของมันเอาไว้ได้นั่นแหละคือกษัตริย์ที่ตรงตามอุดมคติที่สุด เฮเลนาเองก็เชื่อเช่นนั้น และคงไม่มีใครที่สามารถปฏิเสธได้ว่าคำกล่าวนั้นผิดอย่างสิ้นเชิง
และเมื่อกล่าวถึงจักรพรรดิฟาร์มาส ดีล ลูเครเซีย กันเกรฟ
เขาคนนี้เพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์มาได้หนึ่งปีกว่า
ระหว่างนั้นเธอได้ฟังข่าวลือต่าง ๆ มามากมาย ทั้ง ‘เพราะจักรพรรดิองค์ก่อนสวรรคตจนต้องให้จักรพรรดิที่ยังเยาว์วัยขึ้นครองบัลลังก์ ประเทศอื่น ๆ ก็เลยกำลังดูถูกเรา’ หรือว่า ‘เป็นคนที่ไม่ยอมฟังคำติเตียน ยอมรับแต่ถ้อยคำที่ระรื่นหู และยังอุปโลกน์ตำแหน่งใหม่ขึ้นมาจนกำลังทำให้ราชสำนักแตกออกเป็นสองฝ่าย’
ทว่ากลับไม่เคยได้ยินความคิดเห็นทำนองนั้นจากชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปเลย เหตุผลคงเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้รับความลำบากต่อการดำรงชีวิตหรือเผชิญความยุ่งยากอะไรเป็นพิเศษ แม้ว่าจะกำลังทำศึกสามเส้าอันบ้าบิ่นอยู่ แต่มันกลับไม่ได้ส่งผลเสียถึงประชาชนมากมายนัก
ซึ่งนั่นก็มีสาเหตุเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากการปกครองของจักรพรรดิที่ชื่อฟาร์มาส
เมื่อได้มาอยู่ต่อหน้าจักรพรรดิที่ความคิดเห็นกับความเป็นจริงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เฮเลนาจึงพูดอะไรไม่ออก