ยามเช้า
วันนี้ไม่ได้มีอะไรผิดแผกไปเป็นพิเศษ ก่อนอื่นเฮเลนาก็เสิร์ฟชาให้แก่ฟาร์มาสที่ตื่นนอนขึ้นมา แล้วก็ออกไปยืนส่งเหมือนเช่นทุกครั้ง ส่วนไอ้เรื่องที่จุมพิตแกล้งกันนั่นก็……ก็เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ แต่จะผ่านไปกี่ครั้งเธอก็ยังไม่ชินสักที
ที่สำคัญ คือเขาได้บอกว่าเพราะมีนัดจะออกไปขี่ม้าท่องเที่ยวกันตั้งแต่พรุ่งนี้เช้า คืนนี้ก็เลยไม่สามารถมาหาได้ ดูเหมือนว่าฟาร์มาสเองก็คงมีงานที่ต้องสะสางในแบบของเขาเองเหมือนกันกระมัง
และแล้วเมื่ออเลกเซียมากล่าวทักทายพร้อมกับนำอาหารมื้อเช้ามาด้วย วันหนึ่งวันที่เหมือนเคยของเฮเลนาก็ได้เริ่มขึ้น
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านเฮเลนา”
“อรุณสวัสดิ์ อเลกเซีย”
เฮเลนากินอาหารมื้อเช้าอันเย็นชืดเหมือนทุกที จากนั้นก็เริ่มออกกำลังกายเบา ๆ
และเธอก็ได้เอาความสงสัยเมื่อคืนวานมาลองถามอเลกเซียดูทันที
“อเลกเซีย”
“ค่ะ”
“ที่จริงแล้วนะ พรุ่งนี้ตั้งแต่เช้า……ข้าโดนท่านฟาร์มาสชวนให้ไปขี่ม้าท่องเที่ยวกันน่ะ”
“รับทราบแล้วค่ะ เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าขอจะพักผ่อนรอจนกว่าท่านจะกลับมาก็แล้วกันค่ะ”
“ไม่สิ……อ่า คือว่านะ”
แม้จะมีเกรเดียที่คอยรับบทผู้ติดตามไปด้วย แต่การขี่ม้าท่องเที่ยวนี่โดยเนื้อแท้แล้วมันก็เหมือนกับเธอไปกันสองคนกับฟาร์มาสนั่นแหละ
และการไปเที่ยวกันสองคนชายหญิง เท่าที่เฮเลนารู้มันก็คือการออกเดตนั่นเอง
น่าเสียดายยิ่งนัก แต่ว่าเฮเลนานั้นตั้งแต่เกิดมายี่สิบแปดปี ไม่เคยออกไปเที่ยวไหนกันสองคนกับบุรุษมาก่อนเลย แม้แต่ตอนที่ไปดื่มสุรากับวิกเตอร์ ส่วนใหญ่แล้วก็จะมีใครสักคนในกองอัศวินพยัคฆ์แดงอยู่ด้วยเสมอ และแม้เธอจะเป็นสตรีเพียงคนเดียวท่ามกลางเหล่าบุรุษ แต่มันก็เป็นความทรงจำที่ทุกคนสนุกสนานเฮฮากันได้โดยไม่มีแบ่งแยกชายหญิงซะมากกว่า
หรือก็คือ เฮเลนาไม่มีประสบการณ์ในทางนั้นเลยแม้แต่น้อย
“คือ……พอขี่ม้าไปถึงปลายทางแล้ว ข้าควรจะทำอะไรดีน่ะ?”
“หมายความว่าอย่างไรหรือคะ?”
“ก็ดูเหมือนตามแผนเราจะได้ไปที่ทุ่งดอกไม้ในป่าพาทาจ แล้วก็ไปเพลิดเพลินชมทิวทัศน์จากชั้นที่ห้าของภูเขาเทโอร็อกกันน่ะ แต่ข้าก็ไม่รู้เลยว่าอย่างเช่นในทุ่งดอกไม้เนี่ยมันควรจะทำอะไรกันบ้าง”
ตั้งแต่เริ่มเธอก็ไม่รู้แล้วว่าในทุ่งดอกไม้มันจะให้ไปเพลิดเพลินกับอะไร
ความสนใจที่เธอมีให้กับพืชพรรณ นอกจากจะคิดว่ามันกินได้หรือกินไม่ได้แล้วก็ไม่มีความคิดอื่นใดอีก
ทว่าเมื่อได้ฟังคำของเฮเลนาเช่นนั้น อเลกเซียก็ถอนหายใจคำโตพลางก้มหน้าอย่างสลด
“อ่า……จริงด้วยสินะคะ ท่านเฮเลนาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”
“หือ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ นั่นสินะคะ วิธีเพลิดเพลินกับทุ่งดอกไม้น่ะหรือ……”
‘อืม’ อเลกเซียกอดอกอย่างใช้ความคิด
จากนั้นก็มองจ้องเฮเลนาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างตั้งใจ
“……ลองทำมงกุฏดอกไม้ดูเป็นอย่างไรคะ?”
“คิดว่ามันจะเหมาะกับข้ารึ?”
“ถ้าอยากแต่งกายให้มันเหมาะกับพฤติกรรมเช่นนั้น ข้าก็เลือกมาให้ได้ค่ะ”
“หยุดเลยนะ”
พูดถึงไอ้ชุดแต่งกายน่ารักน่าเอ็นดูที่ให้ใส่เมื่อคราวก่อนอยู่แหง
ขืนให้อเลกเซียเลือกชุดให้ก็ไม่รู้ว่าเกรเดียจะมีปฏิกิริยายังไงอีกบ้าง อีกอย่างเฮเลนาก็ไม่อยากโดนแกล้งเล่นให้อับอายอีกแล้ว ดังนั้นจึงปัดตกข้อเสนอ
‘น่าเสียดายค่ะ’ อเลกเซียบึนปาก
“ข้าว่าท่านไม่น่าต้องกังวลอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ”
“……งั้นรึ?”
“ฝ่าบาทน่ะโปรดปรานในตัวของท่านเฮเลนา หากท่านเฮเลนาทำอะไรที่ไม่เหมาะกับตัวเองไปฝ่าบาทก็คงไม่ยินดีหรอกค่ะ ข้าว่าแค่ทำตัวเหมือนปกติก็พอแล้วนะคะ”
“ฮืม……”
ที่อเลกเซียว่ามามันก็จริง
ขืนไปทำอะไรที่ไม่เข้ากับตัวเองแล้วโดนมองว่าพิลึกคนขึ้นมาก็คงไม่ดี ทำตัวเป็นเฮเลนาตามปกติไปดีกว่า
เมื่อคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
“อืม นั่นสินะ”
“ทว่า อย่าไปทำอะไรอย่างเช่นวิดพื้นกลางทุ่งดอกไม้นะคะ”
“ต่อให้เป็นข้าก็ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกน่า”
เฮเลนายักไหล่ให้กับคำพูดของอเลกเซีย
จะอย่างไรมันก็เป็นการไปเที่ยวกันสองคนกับฟาร์มาส และเธอก็ไม่คิดจะไปวิดพื้นในสถานที่เที่ยวหรอก มันเป็นการไปเที่ยวเช้ากลับเย็น ดังนั้นเธอก็แค่ต้องฝึกฝนตนเองตอนเช้ามืดกับหลังจากตอนเย็นไปก็พอแล้ว
อันที่จริง ถ้าเธอทำให้การขี่ม้ามันเป็นตัวชูโรงก็น่าจะดี ในวังหลังคงไม่มีโอกาสอื่นที่จะได้ฝึกขี่ม้าอีกแล้วกระมัง เธอควรจะฝึกเป็นหนึ่งเดียวกับม้าแล้วก็ขี่มันอย่างสนุกสนานให้เต็มที่ดีกว่า
‘อืม ๆ’ เธอพยักหน้าอย่างพอใจ
“ลองแข่งกับฝ่าบาทดูว่าใครจะควบม้าได้เร็วกว่ากันดีกว่า”
“ก็น่าจะดีนะคะ อย่างไรม้าของฝ่าบาทก็คงเป็นม้าฝีเท้าเยี่ยมแน่ ๆ”
“อ้อ แล้วก็……ช่วยเตรียมถุงกระสอบใหญ่ ๆ เอาไว้ให้หน่อยได้ไหม?”
“……ถุงกระสอบ หรือคะ?”
“อื้อ”
อเลกเซียเอียงศีรษะอย่างฉงน
ก็จริงอยู่ว่าเวลาชายหญิงออกไปเที่ยวกัน มันไม่น่าจะมีอะไรที่จำเป็นต้องใช้ถุงกระสอบใหญ่ ๆ อยู่ในหัวข้อสนทนาได้เลย
แต่เธอจำเป็นต้องใช้นี่นา
“มีเรื่องอยากจะถามอีกเรื่องด้วยน่ะ”
“คะ?”
“สำหรับมื้อกลางวันควรจะทำยังไงดีรึ?”
“คิดว่าน่าจะมีการทำเป็นอาหารกล่องแล้วก็พกไปด้วยนะคะ”
“หืม……”
ถ้าเป็นอาหารกล่อง ก็คงจะเย็นชืดหมดแล้วสินะ
ขนาดเฮเลนายังได้กินแต่อาหารที่ผ่านการทดสอบพิษจนเย็นชืดทุกมื้อ ดังนั้นสำหรับฟาร์มาสคงหนักยิ่งกว่านี้อีกแน่
บางครั้งการเสิร์ฟอาหารอุ่น ๆ ให้เขาบ้างก็น่าจะไม่เลวกระมัง
“……ถ้าเป็นข้าทำอาหารด้วยมือตนเองมันจะมีปัญหาไหม?”
“เรื่องนั้น……”
“กับโลกภายนอกแล้วข้ามีสถานะเสมือนเป็นชายาเอกอยู่ บุคคลเช่นนั้นย่อมไม่มีวันประสงค์ร้ายต่อฝ่าบาทอยู่แล้ว หากข้าเตรียมวัตถุดิบด้วยตนเองแล้วก็ปรุงมันต่อหน้าฝ่าบาทเลย ก็คงไม่มีความจำเป็นต้องทดสอบพิษใช่ไหมล่ะ”
“ขออภัยด้วยนะคะ ท่านเฮเลนา”
อเลกเซียกล่าวพลางส่ายหน้า
แม้เฮเลนาคิดว่าการอ้างทฤษฎีเช่นนี้น่าจะสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะไม่สามารถโน้มน้าวอเลกเซียได้
มันมีตรงไหนที่ใช้ไม่ได้กันนะ
“นั่นเป็นไปไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมล่ะ? ยังไม่เชื่อในฝีมือทำอาหารของข้าอีกงั้นรึ?”
“ไม่ใช่เหตุผลแบบนั้นหรอกค่ะ ท่านเฮเลนากล่าวว่าจะเตรียมวัตถุดิบและปรุงมันต่อหน้า……แต่ว่าจะเตรียมวัตถุดิบแบบไหนหรือคะ?”
“ก็ไหว้วานมาริเอลหรือใครก็ได้นี่”
“เช่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่ท่านมาริเอลจะวางยาพิษในวัตถุดิบนั้นอยู่ค่ะ หรือมิฉะนั้นก็อาจมีการลอบใส่ยาพิษเข้าไปในวัตถุดิบระหว่างที่ขนส่งมาก็ได้ ตราบใดที่ความเป็นไปได้นั้นยังไม่ใช่ศูนย์ ก็ไม่สามารถให้ฝ่าบาทรับประทานได้หรอกค่ะ”
“……เอ๋—”
ทำไมมันจำเป็นต้องสืบสาวกลับไปกันขนาดนั้นด้วยอ่ะ
ยังไงมาริเอลก็ไม่มีทางเอาพิษใส่ลงไปอยู่แล้ว และหากเป็นก่อนหน้านั้นก็คงไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่านี่จะเป็นวัตถุดิบที่จักรพรรดิจะรับประทาน แต่ก็ยังมองหาความเป็นไปได้กันถึงขั้นนั้นอีกเนี่ยนะ
แปลว่า หากเฮเลนาไม่ได้เป็นคนแปรรูปสัตว์ที่ยังเป็น ๆ รวมทั้งเด็ดผักป่าสด ๆ ด้วยตนเองแล้วนำมาเสิร์ฟ ก็คือเป็นไปไม่ได้สินะ
“……ฮืม”
“หากท่านเฮเลนาเป็นคนแปรรูปจัดเตรียมวัตถุดิบเองทั้งหมดก็จะเป็นอีกเรื่องนะคะ แต่ว่า……”
“หืม—……แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ”
“……หมายความว่าอย่างไรคะ?”
สรุปสั้น ๆ ก็คือห้ามใช้ของที่เอามาจากที่อื่นแค่นั้นเอง เพราะงั้นก็เลยมีความจำเป็นต้องจัดหามันจากสถานที่จริง
และหากมองจากมุมของเฮเลนาผู้เคยอยู่ในกองทัพมาก่อน การจัดหาอาหารในท้องถิ่นเวลาที่ไปออกรบแบบกองโจรมันเป็นเรื่องที่เธอคุ้นชินอยู่แล้ว ในป่านั้นมีวัตถุดิบอยู่อย่างเหลือเฟือ เฮเลนาก็แค่ต้องจัดหาทุกอย่างมาด้วยตัวเองเท่านั้นเอง
แม้จะไม่รู้ถึงขั้นว่ามันจะมีวัตถุดิบอะไรบ้าง ก็เลยไม่สามารถรับประกันเรื่องรสชาติได้ก็เถอะ
แต่ถ้ามีพวกหมูป่าหรือกวางก็คงสามารถทำหม้อไฟที่ถูกปากฟาร์มาสได้กระมัง
“อาจต้องใช้คันธนูกับลูกธนูด้วยแฮะ”
“……คะ?”
“พวกสัตว์ป่าพอเข้าไปใกล้มันก็จะหนี ถ้าจะล่ามันทางนี้เองก็ต้องมีวิธีจู่โจมระยะไกล แม้จะไม่ถึงขนาดท่านพี่แต่ข้าก็มั่นใจในฝีมือยิงธนูของตัวเองพอสมควรนะ”
“เอ่อ”
“ส่วนผัก ถ้าต้องใช้ของที่มีขึ้นตามธรรมชาติด้วยล่ะก็……เห็ดมันดูยากว่าอันไหนมีพิษไม่มีพิษ งั้นก็คงต้องเป็นพวกผักภูเขาทั่วไปล่ะนะ เครื่องปรุงรสเองก็คงพกไปได้แค่เกลือด้วย……”
“คือว่า ท่านเฮเลนาคะ……”
พอหันไป ก็เห็นอเลกเซียก็กำลังทำหน้าเหนื่อยใจพลางกุมขมับอยู่
นี่เธอพูดอะไรที่มันแปลกไปหรือไงกันนะ
“เป็นอะไรไป อเลกเซีย”
“ท่านเฮเลนา……นี่จะไปขี่ม้าท่องเที่ยวกับฝ่าบาทแน่นะคะ?”
“อือ ก็บอกแล้วไม่ใช่รึ”
“เท่าที่ข้าฟัง จะคิดยังไงนั่นมันก็ไปเซอร์ไววัลกลางป่าเขาชัด ๆ เลย จะไปสนามรบที่ไหนหรือคะ”
“……”
ก็อาจจะจริงว่าปกติแล้วชายหญิงออกไปเที่ยวคงไม่มีใครเขาล่าสัตว์ป่ากัน
ถ้างั้นแล้วจะให้ทำยังไงถึงจะดีเล่า
“……เอ่อ แต่ว่าก็นี่ไงตัวข้าเหมือนตามปกติน่ะ”
ก็อเลกเซียบอกเองนี่นา ว่าทำตัวเป็นเฮเลนาเหมือนตามปกติก็ได้
ทว่าเมื่อได้ฟังคำของเฮเลนา อเลกเซียก็ส่ายหน้า
“ข้าคิดผิดไปซะแล้วค่ะ”
“เอ๊ะ”
“ท่านเฮเลนาคะ ต่อหน้าฝ่าบาทได้โปรดช่วยทำตัวสงบเสงี่ยมด้วยเถอะค่ะ”
“เอ๊ะ”
“ช่วยทำตัวสงบเสงี่ยมด้วยเถอะค่ะ เข้าใจไหมคะ?”
“………………ค่ะ”
เมื่อเจอกับคำพูดซึ่งเหมือนมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นของอเลกเซีย
เฮเลนาจึงทำได้แค่พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายเท่านั้นเอง