“เอาล่ะ เราเองก็อยากจะคุยต่ออีกหน่อย แต่ชักจะเริ่มคอแห้งขึ้นมาแล้วสิ”
“ค่ะ งั้นให้ข้าเตรียมสุราดีไหมคะ?”
เมื่อได้ฟังฟาร์มาสกล่าวเช่นนั้น เธอจึงเสนอสุราไปตามที่อเลกเซียได้สอนมา
ถึงจะได้ยินมาจากอเลกเซียว่าโดยปกติแล้วมันหมายถึง “โปรดมัวเมาไปกับทั้งสุราและตัวฉันด้วยเถิด” ก็เถอะ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้มันไม่ได้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์อะไรเป็นพิเศษอีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้เธอได้รู้เป้าหมายที่แท้จริงของฟาร์มาสแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปคำนึงถึงอะไรแบบนั้นอีก
ตอนแรกก็นึกว่าคืนนี้จะต้องเสียความบริสุทธิ์แล้วซะอีก แต่จักรพรรดิคนนี้ที่แตกต่างไปจากความเห็นของคนรอบข้างอย่างสิ้นเชิง—ก็น่าสนใจดี เฮเลนารู้สึกเช่นนั้น
“นั่นสินะ……งั้นขอรับเป็นน้ำชาก็แล้วกัน”
“น้ำชาหรือคะ?”
“อื้ม สุรามันไม่เหมาะจะใช้แก้คอแห้งนักหรอก”
ถึงจะโดนบอกมาว่าการเสิร์ฟชามันเป็นข้อห้าม แต่ในเมื่อเจ้าตัวขอมาเองแบบนี้จะเสิร์ฟให้ก็ไม่เป็นไรมั้ง
เช่นนั้นแล้วจึงเฮเลนาลุกขึ้นจากที่นั่งและมุ่งไปทางครัวเล็ก ๆ ที่จัดเตรียมไว้อยู่ในห้องทันที เธอน่าจะมีใบชาที่เอามาพร้อมกับสัมภาระส่วนตัวตอนแรกอยู่ มันไม่ใช่ใบชาชั้นเลิศหรูที่ดื่มกันเป็นปกติในตระกูลมาร์ควิสเรลโนต แต่เป็นเพียงของถูก ๆ ซึ่งเฮเลนาชอบดื่มเป็นการส่วนตัวขณะที่สังกัดอยู่ในกองทัพ
อันดับแรก เฮเลนาก็ชงใบชาในน้ำที่เคยต้มไว้ตั้งแต่กลางวันจนตอนนี้มันเย็นไปแล้ว
และในระหว่างนั้นก็ใส่น้ำใหม่เข้าไปในกาต้มน้ำก่อนนำไปตั้งไฟ
“เชิญค่ะ ฝ่าบาท”
จากนั้นก็นำชาเย็นนั้นซึ่งชงด้วยน้ำต้มที่เย็นแล้ววางเสิร์ฟตรงหน้าของฟาร์มาสและตรงหน้าของตัวเองด้วย
ถึงจะได้ยินมาว่าชาที่เย็นแล้วมีความหมายเชิงอุปมาอุปมัยว่า “ฉันไม่ได้มีความรู้สึกเร่าร้อนให้กับคุณเลย” แต่ชาร้อน ๆ มันก็ยากที่จะดื่มในสภาพที่คอแห้งนี่นา
ก่อนอื่นต้องดื่มชาเย็นเพื่อให้ลื่นคอก่อน จากนั้นค่อยดื่มชาร้อนเพื่อให้สามารถรับรสอร่อยของชาได้เต็มที่ นี่คือวิธีดื่มที่เฮเลนาชอบที่สุด
“ขอบใจ”
“เป็นแค่ใบชาราคาถูก ไม่รู้ว่าจะถูกปากฝ่าบาทหรือไม่นะคะ”
“โฮ่ นี่กลับน่าสนใจขึ้นมาแทนเลยล่ะ พวกสาวใช้น่ะเอาแต่พูดว่านี่คือชาอะไรสักอย่างที่เก็บมาจากไหนสักแห่ง แต่เราก็ไม่เห็นจะรู้รสเลยสักนิด”
‘หึๆ’ ฟาร์มาสยิ้มเหมือนตัวร้ายหน่อย ๆ พลางจิบชาดูหนึ่งคำ และดูเหมือนจะตกใจว่ามันเย็นกว่าที่คาดไว้หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เขาจึงเหลือบมองมายังเฮเลนา
ฝ่ายเฮเลนาก็ยกเอาชาเดียวกันนั้น กระดกซดจนหมดถ้วยในครั้งเดียว
“ฟู่—……ฝ่าบาทคะ?”
“เปล่าหรอก……แบบนี้ก็ดี อืม”
แล้วฟาร์มาสเองก็ทำแบบเดียวกัน กระดกดื่มชาเย็นจนหมดในทีเดียว ไม่ว่าใครก็ย่อมรู้สึกว่าชาเย็น ๆ มันดื่มได้คล่องคอกว่าทั้งนั้น
ระหว่างนั้นเฮเลนาก็เดินไปที่ครัวและรอให้น้ำในกาต้มน้ำเดือด จากนั้นก็ชงใบชาเข้าไปทันทีที่มันเดือด
หลังจากนั้นก็แบ่งเป็นส่วนสำหรับสองคนเช่นเคย แล้วนำมาวางตรงหน้าฟาร์มาส
“เชิญค่ะ ฝ่าบาท ระวังด้วยนะคะมันยังร้อนอยู่”
“อืม”
‘ฟู่ ๆ’ ฟาร์มาสเป่ามันให้เย็นด้วยลมหายใจ ก่อนจะยกชาเข้าปาก
และไม่รู้ว่าอาจจะเป็นเพราะมันร้อนเกินไปหรืออย่างไรเขาจึงได้ทำหน้าบึ้งออกมานิดหน่อย บางทีฝ่าบาทอาจจะลิ้นแมวผิดคาดก็ได้ เฮเลนายิ้มขบขันเล็กน้อย
“……นี่มัน อร่อยนะเนี่ย”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ปกติเราไม่ค่อยรู้สึกว่าชาอร่อยมาก่อนเลย……นี่คงเป็นเพราะได้ดื่มของเย็น ๆ ไปในตอนแรกสินะ ชาร้อน ๆ ที่ได้ดื่มหลังจากล้างคอให้หายจากความคอแห้งแล้วมันทำให้รับรู้รสได้อย่างดีเลยล่ะ”
ทีแรกก็คิดว่าเป็นชาที่ราคาถูกเกินกว่าจะมาเสิร์ฟให้กับจักรพรรดิ แต่ดูเหมือนเขาจะชอบมันมากกว่าที่เธอคิดซะอีก ที่ผ่านมาเคยแต่ดื่มชาร้อน ๆ ทั้งที่ยังคอแห้งหรือไงกันนะ
ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่แปลกที่จะไม่สามารถเพลิดเพลินไปกับรสชาติหรือกลิ่นอะไรได้เลย
“ฟู่……พอแล้วล่ะสำหรับชา เฮเลนาเอ๋ย เจ้าดื่มสุราเป็นไหม?”
“ไม่ได้คอแข็งเท่าไร แต่ก็ดื่มพอเป็นพิธีได้อยู่ค่ะ”
“อะไรกัน แค่นั้นก็ดีแล้วล่ะ มันต้องมีจุดที่อ่อนแอบ้างสิ สตรีถึงจะน่ารัก”
ถึงมันจะดูเหมือนเป็นคำดูถูกสตรีเพศได้ขึ้นอยู่กับคนฟัง แต่ที่นี่คือวังหลังและเฮเลนาก็คือนางสนม สิ่งที่ฟาร์มาสพูดมาถ้ามองว่าเป็นถ้อยคำที่กล่าวกับนางสนมที่ตนเอ็นดูก็คงไม่ผิดอะไร
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สำหรับนักรบอย่างเฮเลนาแล้วมันก็ไม่ใช่คำพูดที่น่าดีใจเท่าไหร่อยู่ดี
“ถ้างั้นก็มาดื่มด้วยกันหน่อยเป็นไร ไปเตรียมมาได้เลย”
“รับทราบค่ะ”
ตามที่ฟาร์มาสสั่ง เฮเลนาได้หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากสัมภาระที่นำติดตัวมาด้วย และมันก็ไม่ใช่ของราคาถูก—กลับกัน มันคือสุราชั้นเยี่ยมเลยทีเดียว เป็นของชั้นเลิศที่ความจริงแล้วเธอตั้งใจว่าจะเอาไว้ดื่มคนเดียว
แน่นอนว่าไม่ได้ซื้อมาเอง แต่แอบหยิบยืมมาจากบ้านตระกูลเรลโนตโดยที่ไม่ให้แอนตันรู้
อนึ่ง เธอยังมีแบบนี้อยู่อีกสามขวด
ถึงดีกรีของมันจะค่อนข้างแรง แต่อย่างฟาร์มาสคงไม่หมอบเพราะแค่นี้หรอกมั้ง
“เชิญค่ะ ฝ่าบาท ข้ารินให้นะคะ”
“อืม”
เธอวางแก้วสองใบกับขวดสุราลงบนโต๊ะ แล้วรินสุราใส่แก้วของฟาร์มาส ของเหลวสีอำพันแวววาวค่อย ๆ ถูกเทลงในแก้วที่ทำจากเงิน
อนึ่ง สำหรับส่วนที่เฮเลนาจะดื่มเองนั้นเธอก็เป็นผู้รินด้วยตัวเอง โดยพื้นฐานแล้วการรินสุราคือหน้าที่ของผู้หญิง ไม่มีให้ผู้ชายมารินให้
“ถ้างั้นก็ดื่มฉลองกันเถิด”
“ฉลองให้กับอะไรหรือคะ?”
“นั่นสินะ…… ‘แด่การพบพานในวันนี้’ มันก็คงจะดาษดื่นเกินไปหน่อย งั้นเอาเป็น ‘แด่โฉมงามในวังหลังของเรา’ ก็แล้วกัน”
“……นั่นก็กล่าวชมกันเกินไปมากทีเดียวนะคะ”
เธอได้แต่ถอนใจให้กับคำพูดที่คาดไม่ถึงนั้น
ถึงฟาร์มาสจะชมเฮเลนาแบบนั้น แต่ตัวเฮเลนาเองไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด ตอนสังกัดในกองทัพก็ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของผู้ชายมาตลอด เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกน่ะเธอยอมแพ้ไปนานแล้ว
เธอไม่มีความคิดที่จะแต่งองค์ทรงเครื่อง หรือใช้เงินประทินโฉมให้สวยงาม แม้แต่ชุดเดรสที่นำมาด้วยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นของสำเร็จรูปทั้งนั้น ไม่มีชุดที่สั่งตัดเฉพาะเลยสักตัว
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ ก็เราคิดแบบนั้นจริง ๆ ส่วนเจ้าก็แค่รับคำชมไปอย่างว่าง่ายก็พอแล้ว”
“……กับหญิงสาวที่อายุมากกว่าฝ่าบาทตั้งสิบปี ข้าคิดว่า ‘โฉมงาม’ เนี่ยมันออกจะเกินไปหน่อยน่ะค่ะ”
“ความงามน่ะไม่ได้หมายถึงรูปลักษณ์เท่านั้นหรอกนะ ความเข้มแข็งของจิตใจเองก็คือความงาม กายาที่ผ่านการขัดเกลามาก็คือความงามเช่นกัน เราน่ะคิดว่าวิธีการใช้ชีวิตของเจ้านั้นงดงาม การที่ไต่เต้าจนถึงใจกลางของกองทัพได้ทั้งที่เป็นสตรีนั้นคงต้องใช้ความพยายามที่ไม่ธรรมดาเลยใช่ไหมล่ะ ความจริงแล้วเป็นบุคคลที่ไม่ควรต้องมาอยู่ในวังหลังเช่นนี้ด้วยซ้ำ นี่ก็เหมือนเราได้ไปเด็ดเอาดอกไม้ป่าที่กำลังเบ่งบานอย่างสง่างามเช่นเจ้าเข้ามาที่นี่เลย”
ฟาร์มาสยกสุราดื่มพลางรำพึงเช่นนั้น
การที่ฝืนให้เฮเลนาเข้ามาในวังหลัง สำหรับฟาร์มาสแล้วคงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่ายินดีนักกระมัง เธอมองเห็นได้ว่าเขากำลังรู้สึกผิดและเสียใจอย่างลึกซึ้ง
“เฮเลนาเอ๋ย”
“ค่ะ”
“คืนนี้ เรามาดื่มกันแบบไม่ต้องถือยศศักดิ์ใด ๆ เถอะ คืนนี้ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรกับเราก็จะไม่นับว่าหมิ่นเบื้องสูง และยิ่งไปกว่านั้น เรามีเรื่องจะขอร้องเจ้า”
“อะไรหรือคะ?”
เรื่องขอร้อง เป็นคำพูดที่ไม่นึกเลยว่าจะออกมาจากปากฟาร์มาส
ฟาร์มาสนั้นเป็นถึงจักรพรรดิ จึงย่อมมีอำนาจที่จะออกคำสั่งได้อย่างเด็ดขาด เพียงแค่สั่งให้เฮเลนาทำซะก็จบแล้ว การพูดให้มันเป็นเรื่องขอร้องแบบนี้มีความตั้งใจยังไงกันแน่นะ
“อย่างที่บอกไปเมื่อครู่ ว่าจนกว่าความวุ่นวายในราชสำนักจะสงบลงเราก็ยังไม่คิดที่จะรับชายาเอก”
“ค่ะ”
“ทว่า กับภายนอกแล้วแม้จะเป็นแค่ชั่วคราวแต่ยังไงก็ต้องมีชายาเป็นตัวตนไว้ อย่างเช่นในงานเลี้ยงที่ต้อนรับทูตจากต่างชาติน่ะนะ ในกรณีนั้นก็มีธรรมเนียมอยู่ว่าให้พานางสนมที่มีบรรดาศักดิ์สูงสุดในวังหลังไปออกงานด้วย”
“……ค่ะ”
ชักจะมีลางสังหรณ์แย่ ๆ ขึ้นมายังไงไม่รู้
แต่จะพูดแบบนั้นออกไปก็ไม่ได้ เฮเลนาจึงได้แต่ตอบไปสั้น ๆ
“เราอยากจะให้เจ้า—ช่วยเป็นชายาเอกจนถึงตอนนั้น”
“……จะให้ข้าไปออกงานเลี้ยงหรือคะ?”
“ใช่ จริงอยู่ที่ตอนนี้เหล่าข้าราชบริพารเข้าใจกันว่าเราหมางเมินกับแอนตัน เพราะแบบนั้นมาร์ควิสโนลด์ลุนด์จึงมีอำนาจปากเสียงมากขึ้น ทว่าหากเราแสดงออกต่อภายนอกเหมือนว่าลูกสาวของแอนตันเป็นชายาเอก อำนาจปากเสียงของแอนตันก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นแบบนั้นอำนาจในราชสำนักของแอนตันกับโนลด์ลุนด์ก็น่าจะสูสีกันพอดี”
“……”
ไม่ค่อยเข้าใจอ่ะ
และเรื่องที่ไม่เข้าใจก็จะไม่เก็บมันมาคิด เป็นนิสัยเสียที่น่าเสียดายของเฮเลนา
“เราจะทำให้ราชสำนักวุ่นวายเป็นเวลาหนึ่งปี ทว่าแม้การเมืองจะวุ่นวายอย่างไร ผู้ที่จะมาเป็นรากฐานของชาติก็คือเหล่าประชาชนอยู่ดี จึงจำเป็นต้องรักษาสมดุลของอำนาจในราชสำนักไว้ไม่ให้ส่งผลไปถึงประชาชน และเพื่อการนั้นแล้วจึงจำเป็นต้องทำให้ทุกคนรอบข้างคิดว่าเรากำลังรักใคร่โปรดปรานเจ้าอยู่”
“……”
“เกรงว่าเจ้าอาจจะถูกแปลกแยกจากสนมคนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่โนลด์ลุนด์ฝืนยัดเยียดเข้ามาอย่าง ‘สนมฟ้าจันทรา’ น่ะ อาจจะคลั่งด้วยความริษยาเลยก็เป็นได้ ถึงกระนั้นเราก็ไม่สามารถขอร้องใครได้อีกแล้วนอกจากเจ้า”
“เอ่อ……”
ฉิบหายละ ไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
อย่างไรก็ตาม ถ้าเชื่อตามที่ฟาร์มาสว่ามาล่ะก็ การทำเหมือนว่าเฮเลนาเป็นชายาเอกจะช่วยคลี่คลายปัญหาได้หรืออะไรทำนองนั้นสินะ
ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง—หัวสมองอันน่าเสียดายปฏิเสธที่จะคิดอะไรไปมากกว่านั้น
“เข้าใจแล้วค่ะ ฝ่าบาท”
“……ขอโทษด้วย มอบภาระอันหนักอึ้งให้เจ้าซะแล้วสิ”
“ไม่ต้องใส่ใจหรอกค่ะ ข้าเองก็เป็นข้าราชบริพารคนหนึ่งของฝ่าบาทเช่นกัน”
เฮเลนากล่าวเช่นนั้นพลางโค้งศีรษะลง
หากมองจากมุมของฟาร์มาสแล้ว คงจะเห็นเป็นสตรีผู้เข้าใจถึงภาระหน้าที่อันหนักหน่วงของตนเองและตัดสินใจแบกรับทั้งหมดนั้นเอาไว้ เป็นภาพของบุคคลที่สง่างามยิ่ง
ทว่าความเป็นจริงแล้ว นั่นคือผู้ที่ปฏิเสธการใช้หัวสมอง แล้วนึกว่าตอบอะไรมั่วซั่วตามเรื่องตามราวไปก่อนก็ได้มั้ง เป็นสตรีง่าย ๆ ที่ทำอะไรแบบส่งเดช
แต่แน่นอนว่าฟาร์มาสย่อมไม่อาจอ่านใจคน เขาจึงทำได้เพียงประเมินค่าของเฮเลนาเอาไว้อย่างสูงลิ่วเท่านั้น
“อืม……เช่นนั้นก็มาดื่มกันเถอะ คืนนี้เราน่าจะดื่มสุราได้อย่างออกรสเลยทีเดียว”
“ค่ะ”
‘กริ๊ง’ เสียงแก้วชนแก้ว และงานเลี้ยงของคนสองคนก็ได้เริ่มขึ้น
“อีตาวิกเตอร์อ่านะ ใจล้ายมากเรยอ่า หมอน่านนะ อาวแต่ว่าข้า ซาหมองกล้าม ซาหมองกล้าม มั่งอ่า หัดใซ้หัวคิดซะบ้าง มั่งอ่า”
“……คออ่อนจริง ๆ ด้วยแฮะ”
และแล้วคืนที่ยาวนานที่สุดของเฮเลนาก็ได้จบลงอย่างน่าเหนื่อยใจเช่นนี้เอง