“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านเฮเลนา”
“อ่า……อื้ม อรุณสวัสดิ์”
เฮเลนากล่าวทักทายตอบอเลกเซียที่มาถึงตามเวลาอาหารเช้าหลังจากที่ฟาร์มาสกลับไปแล้ว เพราะได้ถูกฟาร์มาสจุมพิตโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนั้นไปเธอจึงสงบใจไม่ลง เลยได้ทำซิตอัปไปสองร้อยครั้งแล้ว สำหรับเฮเลนาแล้วก็ถือว่าเรียกเหงื่อได้กำลังดี
เพราะรับข้อมูลอะไรหลาย ๆ อย่างมามากเกินไป จนเริ่มไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี และยิ่งมีเรื่องให้คิดมากเท่าไหร่การใช้หัวคิดของเธอมันก็ยิ่งถูกละทิ้งมากขึ้นไปอีก ก่อนอื่นเธอจึงตัดสินใจรับประทานอาหารเช้าอันเย็นชืดที่อเลกเซียนำมา แล้วก็ดื่มชาสักถ้วยก่อน
เอาละ จากนี้ไปควรทำอะไรดีนะ
“ท่านเฮเลนาคะ”
“หือ?”
“เมื่อสักครู่มีการนัดหมายล่วงหน้ามาจากนางกำนัลของ ‘พระสนมฟ้าดารา’ ค่ะ ดูเหมือนว่าเธอต้องการจะจัดงานเลี้ยงน้ำชาในตอนบ่ายของวันนี้ และอยากขอให้ท่านเฮเลนาไปร่วมด้วยน่ะค่ะ”
หืม
เฮเลนาขมวดคิ้วเล็กน้อย
กับ “สนมฟ้าดารา” มาริเอล รีเวียร์แล้ว เฮเลนามีความประทับใจที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ถ้าอเลกเซียไม่ได้บอกก็คงไม่รู้ แต่สิ่งที่มาริเอลได้สอนให้กับเฮเลนาโดยทำเหมือนกับว่าเป็นเรื่องจริง แท้จริงแล้วมันมีแต่เรื่องโกหกทั้งนั้นเลย
ขืนเอาไปปฏิบัติจริงล่ะก็ เฮเลนาคงจะได้อับอายแน่ ๆ
และที่สำคัญกว่านั้น
“……ไม่ใช่ว่า ‘สนมฟ้าดารา’ กำลังเกลียดข้าอยู่อย่างนั้นเหรอ?”
เล่นสอนเรื่องโกหกมาแบบนั้นแปลว่าคงไม่ได้ชอบเฮเลนาอยู่แน่ ๆ อย่างไรก็ตาม พวกเธอก็เพิ่งจะได้เจอกันแค่ครั้งเดียวเอง มันจึงอาจจะเป็นการด่วนสรุปไปอยู่บ้าง
แต่เธอเองก็ไม่ได้รู้สึกถึงความตั้งใจว่าไม่อยากจะสนิทสนมด้วยในถ้อยคำของมาริเอลเลยนะ
ทว่าเมื่ออเลกเซียได้ฟังเฮเลนากล่าวเช่นนั้น เธอก็ถอนหายใจแรง ๆ อย่างไม่คิดปิดบัง
“พูดอะไรของท่านคะ”
“เอ๋”
“มันก็ต้องไม่ชอบแน่ ๆ อยู่แล้วสิคะ”
อเลกเซียกล่าวตัดบทอย่างเข้มงวด
สำหรับเฮเลนาแล้วเธอก็อยากจะญาติดีกับคนรอบข้างไว้ให้มากเท่าที่จะทำได้ ถึงมันเหมือนจะเป็นเพราะเธอถูกลากเข้ามาพัวพันในแผนการของฟาร์มาสก็เถอะ แต่ไหน ๆ ตอนนี้เธอก็มาอยู่ในวังหลังแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็อยากจะญาติดีสนิทสนมกับเพื่อนบ้านบ้าง นั่นคือใจจริงของเธอ
ทว่าสถานที่ที่ชื่อว่าวังหลังมันไม่ใช่สถานที่อันง่ายดายเช่นนั้น
“เมื่อวาน ท่านเฮเลนาได้ไปที่ห้องของพระสนมฟ้าดาราโดยที่ไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า แล้วก็ไปถามเหมือนกับจะดูถูกว่า ‘ฝ่าบาทจักรพรรดิมาหาเธอบ้างไหม’ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนฝ่าบาทจักรพรรดิก็ได้มาที่ห้องนี้ และยังใช้เวลาอย่างสนิทสนมด้วยกันจนถึงเช้า……ที่ว่ามาทั้งหมด มันมีตรงไหนที่จะทำให้เฮเลนาเป็นที่ชื่นชอบบ้างคะ”
“……อุ”
“อย่างที่ได้บอกไปแล้วเมื่อวาน วังหลังคือเขตแดนมารที่ยิ่งกว่ารังของมารร้ายเสียอีกค่ะ ได้โปรดยอมตัดใจเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรในที่แบบนี้ซะนะคะ”
‘ฮึ่ม’ เฮเลนาทำปากบึน
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะอยู่อย่างสงบ แต่ดูเหมือนเจตนาของฟาร์มาสกับจุดยืนของเฮเลนาเองจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นเลย
เพราะฉะนั้น เฮเลนาจึงมองอเลกเซียอย่างช่วยไม่ได้
“อเลกเซีย”
“ค่ะ”
“ถ้างั้น……เอ่อ แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรจะวางตัวยังไงดีล่ะ?”
อเลกเซียไม่รู้ถึงความตั้งใจของฟาร์มาส
เธอเองก็คงกำลังคิดว่าเขาเป็นจักรพรรดิโง่เขลาที่ประพฤติตัวสำมะเลเทเมาอยู่แน่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นจะให้เฮเลนาเที่ยวบอกเล่าเจตนาของฟาร์มาสไปทั่วก็คงไม่ได้
ไม่รู้ว่าทำไมฟาร์มาสถึงยอมบอกแผนกับเฮเลนา แต่ขึ้นอยู่กับกระทำของฟาร์มาส จักรวรรดิกันเกรฟนี้อาจพบกับอันตรายจนถึงขั้นล่มสลายเลยก็ได้
สมมุติว่าเฮเลนาไม่รู้ถึงความตั้งใจของฟาร์มาส เธอควรวางตัวเช่นไรจึงจะถูกต้อง นั่นคือสิ่งที่เธออยากถาม
“นั่นสินะคะ……”
อเลกเซียเอามือแตะคางเบา ๆ พลางเอียงศีรษะ
กิริยาท่าทางแบบนั้น ที่ทำแล้วดูน่ารักดีก็คงเป็นเพราะยังอ่อนเยาว์อยู่กระมัง ถ้าให้เฮเลนาทำคงจะดูฝืนสุด ๆ ไปเลย
“อันดับแรกก็ควรจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาตอนบ่ายค่ะ”
“……งั้นเหรอ?”
“ค่ะ ตอนนี้ท่านเฮเลนาน่ะ ในบรรดานางสนมมากกว่าห้าสิบคน ท่านเป็นสนมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากฝ่าบาท ภายในวังหลังนี้ซึ่งได้รวบรวมเอาโฉมงามจากทั่วอาณาจักรมาไว้ด้วยกัน มีแค่ท่านเพียงคนเดียวค่ะ”
“……เอ๋ มันเป็นแบบนั้นเหรอ?”
จะว่าไปแล้วฟาร์มาสก็ไม่ได้ไปหาทั้ง “สนมฟ้าจันทรา” และ “สนมฟ้าดารา” เลย
และในเมื่อไม่เคยได้ไปเยือนห้องของสามสนมฟ้าซึ่งมีตำแหน่งสูงสุดทั้งสองคนนั้น การไปเยือนห้องของสนมคนอื่นที่ตำแหน่งต่ำกว่านั้นก็ยิ่งขัดสามัญสำนึกเข้าไปใหญ่
ซึ่งก็แปลว่า คนที่ฟาร์มาสรักใคร่โปรดปรานมีแค่เฮเลนาคนเดียว—
‘ป๊อง’ คิดได้แค่นั้นหน้ามันก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
ไอ้ความรู้สึกที่ลุกลนพลุ่นพล่านเหมือนปั่นป่วนอยู่ในอกนี่มันคืออะไรนะ
“ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงคิดอะไรอยู่ แต่ทรงเสด็จมาเยือนห้องของท่านเฮเลนาคนเดียวเท่านั้นค่ะ นี่นับว่าเป็นจุดแข็งเมื่อเทียบกับนางสนมคนอื่น”
“อืม……”
“และด้วยการไปเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชา การประเมินค่าของท่านเฮเลนาก็คงจะสูงยิ่งขึ้นไปอีก”
ไอ้ตรงนี้แหละ ที่ไม่เข้าใจความหมายเลยสักนิด
ทำไมเฮเลนาจำเป็นต้องไปออกงานเลี้ยงน้ำชาด้วย ในเมื่อปัจจุบันนี้เธอก็ไม่มีตรงไหนที่จะไปสนิทสนมญาติดีกับนางสนมคนอื่นได้ แถมยังอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่านางสนมคนอื่น ๆ อีก
ถ้าญาติดีกันไม่ได้อยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพยายามเข้าหากันแต่แรกไม่ใช่หรือไงกัน
“เอ่อ……ทำไม ข้าถึงต้องไปงานเลี้ยงน้ำชา……”
“เพื่อแสดงความเหนือกว่าค่ะ”
“หา?”
“ท่านเฮเลนาที่กำลังได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากฝ่าบาท ย่อมกลายเป็นเป้าของความอิจฉาจากนางสนมทุกคน เกรงว่าคงจะถูกกลั่นแกล้งรังแกไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน ทว่าการไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาก็เพื่อแสดงว่า ‘ฉันไม่กลัวของแค่นั้นหรอก’ ยังไงล่ะคะ ข้าคิดว่านั่นจะเป็นการแสดงความเหนือกว่าของท่านเฮเลนาออกมาให้ได้รับรู้กันไปทั่วทั้งวังหลังอย่างเป็นรูปธรรมค่ะ”
ไม่เข้าใจเลยสักนิด
อย่างไรก็ตาม พอจะจับใจความได้ว่าเฮเลนาต้องไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาให้ได้ จะกล่าวไปแล้วการที่บทสรุปมันออกมาเป็น “ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่อ่ะ แต่ทำตามที่อเลกเซียบอกก็แล้วกัน” ก็แสดงถึงสมองอันน่าเสียดายของเฮเลนาที่วันนี้ก็ไม่ทำมาหากินอีกแล้ว
ว่าแต่ว่า
“กลั่นแกล้งรังแกงั้นรึ สมัยอยู่กองทัพก็เคยมีเหมือนกันนะ”
กองทัพเป็นสังคมระบบปิด การที่มีลำดับยศก็ย่อมทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้คนขึ้นมาไม่มากก็น้อย
เฮเลนาเองก็เคยโดนทุบตีมานับครั้งไม่ถ้วน โดยผู้บังคับบัญชาที่มีดีแค่ตำแหน่งสูงกว่า
หากพยายามขัดขืนแบบโง่ ๆ ก็อาจถูกมองว่าเป็นการต่อต้านผู้บังคับบัญชา แต่ถึงอย่างนั้นจะให้เอาแต่รับอยู่ฝ่ายเดียวมันก็ไม่มีวันจบสิ้น แค่นึกถึงก็อารมณ์เสียขึ้นมาแล้ว
อนึ่ง สำหรับผู้บังคับบัญชานิสัยเสียคนดังกล่าว เขาได้พยายามมาข่มขืนเฮเลนาซึ่งนอนแยกอยู่อีกเต็นท์เพียงคนเดียวเนื่องจากเป็นสตรี แล้วก็โดนเฮเลนาฆ่าตายโดยเป็นการป้องกันตัวอย่างชอบธรรม เพราะได้วิกเตอร์กับอัศวินคนอื่น ๆ ช่วยพูดเป็นพยานให้เธอก็เลยไม่ได้ถูกตั้งข้อหาอะไร แต่นั่นก็เป็นครั้งแรกที่เธอสังหารคนในที่อื่นที่ไม่ใช่สนามรบ
เฮเลนายิ้มมุมปากเล็ก ๆ ให้กับความทรงจำอันน่าคิดถึงเหล่านั้น
จะกลั่นแกล้งรังแกหรืออะไรก็แล้วแต่ ของพรรค์นั้นมันไม่มีความหมายสำหรับเฮเลนาที่เคยอาศัยอยู่ในสนามรบมาแล้วหรอก
การแกล้งเล่นสนุกของเด็กผู้หญิงวัยขบเผาะเนี่ย มันดูน่ารักไปเลยด้วยซ้ำ
“อย่างนี้นี่เอง จะว่าไปแล้วกองทัพเองก็เป็นสังคมแบบปิดสินะคะ”
“ใช่ ทางนั้นเป็นสังคมของผู้ชาย ส่วนใหญ่ก็เลยมีแต่อะไรที่ใช้ภาษากายคุยกันน่ะ การลงโทษโดยใช้กำลังก็เคยโดนมาจนนับไม่ไหวแล้ว อย่าคิดว่าแค่การกลั่นแกล้งหรือรังแกมันจะใช้ได้ผลกับข้าสิ”
“อืม ถ้าเทียบกับความรุนแรงแบบนั้น นี่ก็คงจะดูน่ารักจริง ๆ นั่นแหละค่ะ”
อเลกเซียยิ้มแห้ง ๆ
มันก็แน่อยู่แล้ว หากมองจากประสบการณ์ของเฮเลนา สิ่งที่เด็กผู้หญิงทั่ว ๆ ไปทำกันมันก็เป็นได้แค่การแกล้งเล่นขำ ๆ เท่านั้นเอง
ทว่า
“อย่างเช่น……นั่นสินะคะ พอตื่นเช้ามาเปิดประตูออกไปก็เจอหัวขาดวางอยู่”
“ขอแค่ไม่ใช่หัวคนก็ไม่มีปัญหา”
“ส่วนมากก็จะเป็นไก่หรือหมูนี่แหละค่ะ แล้วก็บางทีก็มีแมลงหรืองูวางอยู่หน้าประตู”
“ถ้าเป็นงูก็ย่างกินมันตรงนั้นได้เลย เห็นแบบนั้นมันมีสารอาหารสูงกว่าที่คิดนะ”
“……ขอร้องล่ะค่ะ ได้โปรดอย่าทำแบบนั้น”
อเลกเซียหลุบตาลงพลางขอร้องอย่างจริงจัง
ทั้งที่มันออกจะอร่อยแท้ ๆ
“แล้วก็อย่างเช่น”
“อืม”
“เชิญไปงานเลี้ยงน้ำชาแบบในวันนี้ แต่พอไปเข้าร่วมก็ไม่สามารถร่วมวงสนทนาได้ โดนทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว ล่ะมั้งคะ คุยเรื่องอะไรสักอย่างกันแบบสนุกสนานออกรสสุด ๆ แต่พอท่านเฮเลนาจะร่วมวงด้วยก็เงียบกันไปทันที อะไรแบบนี้น่ะค่ะ”
ลองนึกภาพตามดู
ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงน้ำชา ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ แล้วเฮเลนาก็ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ ส่วนรอบข้างกำลังคุยกันสนุกสนานสุด ๆ ทว่าเธอกลับไม่เข้าใจว่าคุยอะไรกันอยู่ รู้สึกเหมือนกำลังถูกทรมานเบา ๆ
‘นี่ คุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอ?’ ‘อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก ไม่เกี่ยวกับเธอน่ะ’ แล้วบทสนทนาก็จบลงตรงนั้น เฮเลนาไม่สามารถคุยกับใครได้เลยจริง ๆ นี่มันทรมานอยู่กันชัด ๆ
“เอ๋……ผู้หญิงเนี่ย ร้ายกาจกันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ท่านเฮเลนา ท่านเองก็เป็นผู้หญิงค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่เผลอหลุดออกมาของเฮเลนา สิ่งที่อเลกเซียตอบกลับไปได้ก็มีเพียงแค่การตบมุกใส่อย่างไม่ปรานีเท่านั้น