“ทำได้ดีมาก เฮเลนา”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ วิกเตอร์”
หลังจากเด็ดหัวของการิบัลดีผู้เป็นแม่ทัพข้าศึกได้ ทัพของศัตรูก็แตกพ่ายและถอยทัพกลับไปยังริฟาลทั้งแบบนั้น ทัพที่สูญเสียผู้นำไปย่อมเปราะบาง และขวัญกำลังใจของทหารที่เสียไปก็ย่อมส่งผลให้กำลังรบลดลงเช่นเดียวกัน
ต่อให้เป็นทัพต้องห้ามที่อ่อนแอ ก็เป็นเรื่องง่ายดายที่จะไล่ต้อนกองทัพเช่นนั้นกลับไป
และผู้ที่กำลังกล่าวชมเฮเลนาที่กลับมาถึงฐานที่มั่นของตนเองก็เป็นชายที่อายุมากกว่าเฮเลนาเล็กน้อย
เขาเป็นชายที่มีจุดเด่นคือเส้นผมสีแดงราวกับเพลิงที่กำลังลุกไหม้และใบหน้าที่ดูมีระเบียบเรียบร้อย ส่วนสูงของเขานั้นมากกว่าเฮเลนาที่นับว่าเป็นคนตัวสูงอยู่แล้วเสียอีก ซ้ำยังมีร่างกายกำยำที่ผ่านการขัดเกลามาจนเหมาะสมกับส่วนสูงนั้น เรียกได้ว่าช่างสมกับเป็นทหารหาญ แต่ใบหน้าที่กำลังยิ้มอยู่นั้นก็ยังให้ความรู้สึกว่าเป็นคนที่ดูอ่อนโยนด้วยเช่นกัน
เขาผู้นี้คือตำนานที่ยังมีชีวิต หนึ่งในแปดยอดขุนศึก “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” วิกเตอร์ ครีก
“เป็นกาเซ็ต การิบัลดีนำทัพมาด้วยตัวเองจริง ๆ สินะ ดูเหมือนริฟาลจะกำลังหย่อนยานเรื่องการฟูมฟักเลือดใหม่อยู่นะเนี่ย”
“แม้จะเคยถูกเรียกว่า ‘วายุคลั่ง’ มาก่อน แต่ดูเหมือนจะเอาชนะสังขารไม่ได้อยู่ดีสินะคะ ถ้าพลังระดับนั้นล่ะก็ ‘ขุนศึกหมีน้ำเงิน’ หรือ ‘ขุนศึกแรดทองคำ’ ยังแข็งแกร่งกว่าเยอะ”
“……เปรียบเทียบผิดคนไปหน่อยนะ เจ้าพวกนั้นน่ะมันสัตว์ประหลาดดี ๆ นี่เอง”
วิกเตอร์ได้แต่ยักไหล่ให้กับคำพูดของเฮเลนา
จริงอยู่ที่การิบัลดีแข็งแกร่ง แต่จากมุมมองของเฮเลนาแล้วเธอยังรู้จักคนที่แข็งแกร่งกว่านั้นอีกหลายคน อย่างน้อยในหมู่แปดยอดขุนศึกแล้วผู้ที่เฮเลนาเอาชนะได้ก็ยังมีแค่ครึ่งเดียว แม้แต่ผู้ที่สนิทด้วยที่สุดอย่าง “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” วิกเตอร์ผู้นี้หากสู้กันสิบครั้งเธอก็คงจะแพ้ทั้งสิบครั้ง
“แต่ยังไงก็ทำได้ดีจริง ๆ นะ เพราะจุดที่ต้องเดิมพันของแผนนี้ก็มีแค่เรื่องเดียวคือเฮเลนาจะเอาชนะการิบัลดีได้รึเปล่าแค่นั้นแหละ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ อันที่จริงวิกเตอร์ที่คุมทหารอ่อนแอต่อสู้กับกำลังทหารที่มากกว่าเป็นเท่าตัวได้อย่างสูสีต่างหากที่น่ายกย่องมากกว่า”
“งั้นเรอะ? ถ้าเธอเป็นคนชมงั้นก็ขอรับไว้ด้วยความยินดีก็แล้วกัน”
วิกเตอร์ยิ้มตอบให้กับคำพูดที่อาจจะฟังดูเป็นทางการไปในบางครั้งของเฮเลนา
จนถึงตอนนี้เฮเลนากับวิกเตอร์ก็ได้รู้จักกันมามากกว่าสิบปีแล้ว เฮเลนาได้เข้าร่วมกองทัพทันทีหลังจากที่บรรลุนิติภาวะ และหัวหน้าหน่วยของหน่วยเล็ก ๆ ที่เธอได้สังกัดในตอนนั้นก็คือวิกเตอร์นั่นเอง หลังจากนั้นมาพวกเขาก็ได้ไต่เต้าเลื่อนขั้นขึ้นมาพร้อมกันเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็มาจนถึงระดับหนึ่งในแปดยอดขุนพลกับรองหัวหน้าซะแล้ว
นอกจากนี้วิกเตอร์ยังให้เฮเลนาเป็นผู้ช่วยใกล้ตัวของเขาตลอด ดังนั้นจึงเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันดี และเรียกชื่อของขุนศึกอย่างวิกเตอร์ห้วน ๆ ได้โดยไม่มีปัญหา
ถึงกับมีข่าวลือที่แพร่กระจายกันไปทั่วว่าเป็นเพราะวิกเตอร์ไม่อยากจะปล่อยเฮเลนาไป ก็เลยไม่สามารถแต่งตั้งเธอขึ้นแทนตำแหน่งแปดยอดขุนศึก “ขุนศึกอสรพิษม่วง” ที่เพิ่งจะว่างขึ้นมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ แม้นั่นจะเป็นข่าวลือที่ไม่มีมูลใด ๆ เลยก็ตาม
“ก่อนอื่นยังไงก็ต้องรายงานให้ฝ่าบาททราบล่ะนะ คงจะไม่คิดมาก่อนว่าริฟาลที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงที่สุดจะหันมาก่อกบฎแบบนี้ จากนี้ไปคงจะยุ่งกันแน่ ๆ ล่ะ”
“จะได้กลับไปประจำการที่แนวหน้ากันซะทีนะคะ ถึงฉันจะได้คุมแค่ส่วนเล็ก ๆ ก็เถอะ แต่ทัพอ่อนแออย่างทัพต้องห้ามเนี่ยพอได้ลองคุมดูแล้ว……แทบจะทนอยากกลับไปนำกองกำลังอัศวินพยัคฆ์แดงแบบเดิมไม่ไหวแล้วค่ะ”
“ถ้าเรื่องนั้นชั้นเองก็เหมือนกันน่ะแหละ กลับไปหาทัพของเราที่ฝากไว้กับบาร์โตโลเมกันเถอะ ดูเหมือนจักรวรรดิอัลเมดาก็กำลังเคลื่อนไหวแปลก ๆ อยู่ ปล่อยให้บาร์โตโลเมรับมืออยู่คนเดียวแบบนี้รู้สึกผิดแย่”
“แต่ถ้าเป็น ‘ขุนศึกหมีน้ำเงิน’ คนนั้นล่ะก็ แค่คนเดียวก็น่าจะเด็ดหัวแม่ทัพของศัตรูได้อยู่นะคะ”
“ก็จริงนะ”
วิกเตอร์ส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อยให้กับคำพูดแกมประชดของเฮเลนา
แต่ว่าแววตานั้นกลับแหลมคมและไม่ได้หัวเราะไปด้วยแม้แต่น้อยเลย
“รู้ซึ้งเลยล่ะว่าบารมีของพระจักรพรรดิองค์ก่อนยิ่งใหญ่ขนาดไหน”
“……วิกเตอร์”
“หลังเสด็จสวรรคตได้ไม่นาน อัลเมดากับพันธมิตรสามอาณาจักรก็เคลื่อนไหวทันที แถมแม้แต่ริฟาลก็ยังเริ่มเคลื่อนไหวด้วย ประเทศอื่น ๆ เองก็คงไม่ยอมอยู่เงียบ ๆ แน่ ถึงตอนนี้พวกนั้นจะแค่กำลังสังเกตสถานการณ์ของสงครามอยู่ก็เถอะ……แต่ถ้ามีแนวรบไหนเกิดพลาดท่าขึ้นมาล่ะก็คงจะเข้ามากันเหมือนหิมะถล่มเลยล่ะ ในสถานการณ์แบบนั้นฝ่าบาทเด็กน้อยนั่นจะตัดสินใจดี ๆ ได้รึเปล่านะ”
“วิกเตอร์”
“อย่างแย่ที่สุดก็คงจะให้ขุนนางที่มีดีแต่ชื่อมานั่งแทนตำแหน่งแปดยอดขุนศึกที่ว่างขึ้นมานั่นแหละ ฝ่าบาทเด็กน้อยนั่นน่ะเชื่อใจแต่คนที่พ่นคำสวยหรูให้ฟัง หลีกหนีคำตำหนิแล้วก็รับฟังแต่คำพูดที่รื่นหู ดูท่าจักรวรรดินี้จะอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานแล้วสินะ……”
“วิกเตอร์!”
เธอตะโกนเพื่อกลบเสียงของคำพูดบ่นลอย ๆ ของวิกเตอร์
จากนั้นวิกเตอร์จึงเกาแก้มเหมือนกับกำลังลำบากใจ
“หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ระวังคำพูดด้วยค่ะ”
“……นั่นสินะ ไอ้ที่พูดไปเมื่อกี้ถ้าโดนหาว่าหมิ่นเบื้องสูงก็คงแก้ตัวอะไรไม่ได้เหมือนกัน”
“ถ้าวิกเตอร์โดนจับฐานหมิ่นเบื้องสูงล่ะก็ แม่ทัพเบอร์การ์ซาร์ดต้องลำบากแน่ ๆ ค่ะ เพราะผู้ที่คอยต้านรับทางทิศใต้น่ะมีแค่ ‘พยัคฆ์แดง’ กับ ‘หมีน้ำเงิน’ เท่านั้นนี่นา”
“ก็นั่นแหละที่แปลก……ทำไมถึงได้ให้แปดยอดขุนศึกไปทางเหนือตั้งหกคน แต่ทางใต้กลับส่งมาแค่สองคนกัน”
“ถ้ามองว่าจักรวรรดิอัลเมดาเป็นประเทศเดียวแล้วมองพันธมิตรสามอาณาจักรเป็นสามประเทศ ก็นับว่าคำนวณได้พอดีอยู่นะคะ”
“เอามามัดรวมกันแล้วก็ยังสู้อัลเมดาไม่ได้เลยนะ สามประเทศนั้นน่ะ”
วิกเตอร์ถอนหายใจดัง ‘เฮ้อ’
พลางเอาแผนที่ซึ่งน่าจะใช้สำหรับวางแผนเดินทัพต่อจากนี้มากางออกอย่างไม่ใส่ใจนักแล้วชี้นิ้วแสดงให้ดู
“ก่อนอื่นก็จะไปรายงานตามกำหนดกับฝ่าบาทให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วค่อยกลับไปที่แนวหน้าทางใต้กันเถอะ ถือว่าแทนการพักผ่อนไปในตัวละกันนะ…….วันออกเดินทางคือหลังจากนี้อีกหนึ่งสัปดาห์ บอกกับพวกทหารคุ้มกันของเธอไว้ด้วยล่ะ”
“รับทราบค่ะ ถ้างั้นฉันขอตัวกลับบ้านหลังจากที่ไม่ได้กลับมานาน ถ้ามีธุระอะไรก็มาที่บ้านได้นะคะ”
“อ้อ จะว่าไปแล้วก็นั่นสินะ”
เฮเลนาเองก็เป็นหนึ่งในขุนนางของจักรวรรดิกันเกรฟ
แต่ถึงอย่างนั้น เฮเลนาซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตก็ไม่ได้มีภาระผูกมัดอะไรจากตำแหน่งนั้น และหลังจากบรรลุนิติภาวะก็เข้าร่วมกับกองทัพทันทีจึงไม่ได้ถูกนำเข้าไปพัวพันกับเรื่องการแต่งงานทางการเมือง นอกจากนี้เดิมทีแล้วเจ้าตระกูลเรลโนตคนปัจจุบันก็มีตำแหน่งพิเศษเป็นที่ปรึกษาในราชสำนัก เป็นถึงอัครมหาเสนาบดีและรัฐมนตรีว่าการฝ่ายบุคคลากร
เพราะเป็นรัฐมนตรีฝ่ายบุคลากรจึงต้องปฏิบัติต่อทุกตระกูลอย่างเท่าเทียมกัน เลยไม่มีความจำเป็นต้องแต่งงานทางการเมือง
ดังนั้นทางบ้านจึงไม่ได้คัดค้านอะไรมากกับการที่เฮเลนาไปเข้ากองทัพ
แต่ว่า
“ค่ะ ระยะหลังมานี้ไม่รู้ทำไมถึงส่งจดหมายมาถี่ ๆ บอกย้ำหลายต่อหลายครั้งว่าให้กลับบ้านซะที”
“อืม เธอตามมาด้วยเพื่อที่จะแวะกลับบ้านนี่นะ ความจริงแล้วชั้นอยากจะฝากให้เธอคุมทัพอยู่ที่แนวหน้าด้วยซ้ำไป”
“สำหรับเรื่องนั้นต้องอภัยด้วยจริง ๆ ค่ะ”
ใช่แล้ว หัวหน้าตระกูลขุนนางมาร์ควิสเรลโนตคนปัจจุบัน ที่ปรึกษาในราชสำนัก แอนตัน เรลโนต หรือก็คือบิดาของเฮเลนา ได้สั่งมาทางจดหมายหลายต่อหลายครั้งว่าให้เธอกลับบ้าน
ถึงจะไม่ได้เขียนรายละเอียดที่ชัดเจนไว้ แต่บางทีอาจจะกำลังมีเรื่องยุ่งยากอยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อวิกเตอร์จะเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อรายงานสถานการณ์ เธอจึงร่วมทางมาด้วยและขอลาหยุดพักที่เมืองหลวง
การที่เฮเลนาบังเอิญอยู่ด้วยในตอนที่ริฟาลบุกเข้ามาก็มีเบื้องหลังเช่นนี้เอง นับว่าคนเราไม่มีทางรู้ได้จริง ๆ ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
“ไม่ต้องคิดมากหรอก รีบ ๆ ไปจัดการธุระให้เสร็จแล้วพักผ่อนให้สบายเถอะ”
“ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
เฮเลนาโค้งคำนับ ก่อนจะออกไปจากฐานที่มั่นซึ่งเป็นเต็นท์ที่สร้างขึ้นแบบง่าย ๆ
อันดับแรกต่อจากนี้ เธอต้องกลับไปที่เมืองหลวง นำทัพต้องห้ามกลับไปส่งให้ทำหน้าที่ตามปกติ แล้วเตรียมเอกสารรายงานง่าย ๆ ก็เป็นอันเสร็จสิ้น นอกจากนี้เฮเลนาก็คงต้องจัดเตรียมที่พักให้กับทหารคุ้มกันทั้งสิบนายที่เธอพามาด้วยกันจากกองกำลังอัศวินอีก เพราะคนที่มีบ้านอยู่ที่เมืองหลวงแบบเฮเลนาถือว่าเป็นคนส่วนน้อย
‘อืม’ เธอยืดตัวผ่อนคลายเล็กน้อย ก่อนที่จะตั้งสมาธิอีกครั้ง
เพราะถึงการต่อสู้จะจบแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังคงเป็นสนามรบ