สายตาของเฮเลนากับสายตาของมาริเอลมาบรรจบกันกลางอากาศ
ถึงกระนั้น เฮเลนาเองก็ไม่ได้ทำสายตาข่มขู่อะไรเป็นพิเศษ ต่อให้มาริเอลจะเอาเรื่องที่เธอแกว่งดาบอยู่ในสวนไปโพนทนาเธอก็ไม่เดือดร้อนอะไร ส่วนเรื่องที่ห้ามเอาอาวุธเข้ามา ดาบเล่มนี้ก็ถูกลบคมไปแล้วและยังเป็นของขวัญจากฟาร์มาสด้วย หากอธิบายไปเช่นนั้นก็คงไม่มีใครกล่าวโทษอะไรได้
ทว่าหากมองจากมุมของมาริเอลที่ไม่รู้เรื่องนั้นจะดูยังไงมันก็คงเป็นการข่มขู่ เฮเลนาที่สามารถอ้อมไปคว้าคอเธอได้ในพริบตาเดียว ตอนนี้ได้รับอำนาจใหม่ที่ชื่อว่าดาบเพิ่มมาอีก ในด้านพลังบู๊คงไม่มีใครเหนือไปกว่าเธออีกแล้ว
“……”
“……”
ทั้งคู่ยังคงสบตากันโดยไม่มีใครเปล่งวาจาอะไรออกมา
มาริเอลรู้สึกอย่างไรหนอเมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ของเฮเลนา บางทีคงจะมีแต่ความหวาดกลัวกระมัง
และเพราะอย่างนั้นหรือไรไม่ทราบ
ผู้ที่หลบสายตาก่อนจึงเป็นมาริเอล
จากนั้นเธอก็รีบเดินฉับจากไปราวกับต้องการออกไปจากลานสายตาของเฮเลนา ไม่รู้ว่าเธอมีธุระอะไรถึงมาอยู่ตรงโถงทางเดินแบบนี้ แต่เฮเลนาจะคิดว่าโดนคนที่ยุ่งยากเห็นเข้าซะแล้วก็ได้ล่ะมั้ง
อย่างไรก็ตาม ยังไงจากนี้เธอก็จะฝึกฝนต่อไปเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ในเมื่อต่อไปนี้เธอจะมาแกว่งดาบในสวนระหว่างอาคารเช่นนี้อีกเรื่อย ๆ สักวันก็ต้องถูกเห็นเข้าอยู่ดีนั่นแหละ
พอคิดแบบนั้นแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรเป็นพิเศษ
“ท่านเฮเลนาคะ?”
“อะ อา……โทษที”
“ไม่หรอกค่ะ ข้าว่าท่านไม่ต้องกังวลเรื่องพระสนมฟ้าดาราก็ได้ ตอนงานเลี้ยงน้ำชาเธอถูกทำให้เสียหน้าถึงขนาดนั้นคงไม่คิดจะปองร้ายท่านเฮเลนาง่าย ๆ แล้วล่ะค่ะ”
จะว่าไปแล้วนั่นก็ไม่ใช่สายตาที่มีเจตนาร้ายจริง ๆ
มองไม่เห็นถึงความรู้สึกเกลียดชังเหมือนที่ได้รับจากข้าศึกในสมรภูมิเลย และมาริเอลเองก็คงไม่ใช่คนที่เก็บงำความรู้สึกเก่งด้วย หากเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่งก็คงไม่แสดงความเดือดดาลออกมาในงานเลี้ยงน้ำชาซะขนาดนั้น
แปลว่าคงมีความกลัวอยู่มากกว่าความเกลียดชังล่ะมั้งนะ เฮเลนาเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดที่จะแยกความรู้สึกละเอียดอ่อนเป็นอย่าง ๆ ได้จากแค่สายตาเท่านั้น
“จะพักสักนิดน่ะ ขอน้ำหน่อย”
“ค่ะ”
เธอรับน้ำมาจากอเลกเซีย แล้วก็กระดกดื่มจนหมด
พูดถึงการพักผ่อนของบุตรีขุนนางโดยปกติแล้วก็น่าจะต้องเป็นน้ำชา แต่ชาร้อน ๆ ย่อมไม่เหมาะที่จะดื่มระหว่างการฝึกฝน ในเมื่อเป้าหมายคือการทดแทนน้ำที่เสียไปการดื่มน้ำย่อมเหมาะที่สุด
และหากทำต่อไปเรื่อย ๆ ก็จำเป็นต้องเพิ่มน้ำตาลหรือเกลือแร่ด้วย แต่เหงื่อเธอคงไม่ได้ออกถึงขนาดนั้น
“ว่าแต่ท่านเฮเลนาเนี่ยมีพลังกายที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ นะคะ”
“หืม……งั้นรึ?”
“ก็แกว่งดาบที่ต้องใช้นางกำนัลห้าคนช่วยกันหามได้อย่างสบายเลยนี่คะ”
“……อืม ก็ไม่ได้หนักขนาดนั้นนะ”
ว่ากันตรง ๆ แล้วน้ำหนักดาบประมาณนี้เธอสามารถแกว่งมันไปมาได้ทั้งวัน และเมื่อเป็นแค่การฝึกฝนไม่ใช่ในสนามรบก็ยิ่งแล้วใหญ่
หากเป็นการต่อสู้จริงภาระมันจะหนักกว่าการฝึกหลายเท่า ดังนั้นเวลาอยู่ในสมรภูมิเธอจึงพกพาขวานศึกอันเรียบง่ายที่ใช้งานได้คล่องตัวและดาบที่สามารถใช้งานได้ด้วยมือเดียวไปด้วย การแบกดาบใหญ่มุ่งไปยังสนามรบมันไม่คล่องตัวเท่าไรนัก
ทว่าวิชาดาบสามารถประยุกต์ใช้ได้กับอาวุธทุกประเภท
ดังนั้นเวลาฝึกฝนเธอจึงใช้ดาบและอุทิศตนให้ดาบ ดาบยิ่งหนักหน่วงก็ยิ่งสามารถฝึกฝนพลังกายได้เท่านั้น พลังกายที่ผ่านการขัดเกลามาคือพลังที่พึ่งพาได้ยิ่งกว่าสิ่งใดในสนามรบ
ด้วยความที่เฮเลนาเป็นขุนศึกผู้เคลื่อนไหวตามสัญชาติญาณและเป็นตัวตนที่พุ่งทะยานข้างหน้าสุดอยู่เสมอ เธอจึงจำเป็นต้องมีพลังยุทธที่ล้ำเลิศ
“เอาล่ะ ต่อเลยละกัน”
“ต่อแล้วหรือคะ? แล้วที่ว่าจะพัก……”
“พักแค่นิดเดียวก็พอแล้ว มันต้องเหนื่อยจนขยับไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียวต่างหากการฝึกถึงจะเห็นผล”
แล้วเฮเลนาก็ยกดาบขึ้นมาอีก
รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่ถ่วงลงมาบนสองแขน ทว่าเฮเลนาก็ปล่อยตัวไปกับความรู้สึกที่คุ้นเคยนั้นและเริ่มระบำดาบอีกครั้ง
คู่ต่อสู้ที่สมมุติขึ้นเป็นรายต่อไป—คือศัตรูที่แข็งแกร่งซึ่งได้ประมือกันก่อนหน้าที่จะเข้ามายังวังหลังนี้เล็กน้อย กาเซต การิบัลดี
เฮเลนาหันดาบเข้าใส่ร่างยักษ์ที่ถือง้าวอันใหญ่โตนั้น
“ฮึบ!”
เธอโจมตีด้วยการวาดดาบขึ้นตามแรงกล้ามเนื้อและฟาดลงมา การิบัลดีปัดการโจมตีนั้นออกด้วยง้าวยาวและสะบัดอาวุธเข้าใส่เฮเลนา
ทว่าการโจมตีฟาดฟันของร่างที่แก่ชราเช่นนั้นเฮเลนาไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเลย เธอฟันกวาดแนวขวางโดยเล็งไปที่ลำคอของการิบัลดี แม้เขาจะหลบได้โดยการถอยไปด้านหลังแต่เฮเลนาก็ตามติดชนิดเผาขน
ยิ่งระยะประชิดเท่าไรก็ยิ่งเป็นระยะหวังผลของเฮเลนา
ง้าวยาวอย่างไรก็เป็นอาวุธระยะกลาง ส่วนดาบใหญ่เป็นอาวุธระยะประชิด หากคิดจะเด็ดศีรษะของการิบัลดีก็ต้องเข้าใกล้ให้มากกว่านี้
และเมื่ออยู่ในระยะประชิดจนง้าวสูญเสียพลังอำนาจ เฮเลนาก็ฟันเฉียงลงด้วยดาบใหญ่
สัมผัสของดาบที่ตัดผ่านเนื้อหนัง—ก็ไม่มีหรอก แต่การโจมตีนั้นถึงตายอย่างแน่นอน
“……ฟู่ว”
แม้จะเป็นแค่ในจินตนาการ แต่เธอก็รู้แล้วว่าสามารถโค่นการิบัลดีได้
เพราะต่อสู้ในจินตนาการของตนเองจึงไม่สามารถใช้การรับรู้ด้วยอาณาเขต นอกจากนี้เพราะเฮเลนาได้มีประสบการณ์ผ่านสมรภูมิมามากมาย จึงจำลองความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ที่ใช้ในการฝึกซ้อมได้อย่างเที่ยงตรงต่อความเป็นจริง
หากใช้ดาบนี้ไปสู้กับการิบัลดีเป็นครั้งที่สอง เธอก็คงจะเอาชนะได้จริง ๆ
“……อ่อนแอเกินไปจริงด้วยแฮะ”
เฮเลนาได้เจอกับการิบัลดีแค่ในตอนที่เธอนำทัพต้องห้ามเข้าต้านรับการรุกรานจากราชอาณาจักรริฟาลเท่านั้น
ทว่าเธอไม่เคยรู้จักกับการิบัลดีในยุครุ่งเรืองที่สุดซึ่งได้รับการยกย่องว่า “วายุคลั่ง” เพราะงั้นเขาจึงได้อ่อนแอขนาดนี้สินะ
แต่นั่นมันก็ช่วยไม่ได้นี่นา
“ก็แค่แพ้แล้วพาลล่ะนะ”
ตั้งแต่แรกจนถึงเมื่อครู่
ในช่วงแรกที่รำดาบอย่างต่อเนื่องยาวนานจนแทบยกแขนไม่ขึ้นนั้น ศัตรูที่เธอได้สมมุติขึ้นคือวิกเตอร์
และในระหว่างนั้นเฮเลนาก็ได้พ่ายแพ้ไปนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากนี้จะแกว่งดาบสักกี่ครั้งก็ไม่เห็นภาพว่าดาบของตัวเองจะโดนเป้าเลย
ดังนั้น เพื่อระบายอารมณ์สักเล็กน้อยที่แพ้ ศัตรูก็เลยกลายเป็นการิบัลดีไปซะงั้น
นี่เราอ่อนแอถึงเพียงนี้เลยหรือ
ทั้งที่เมื่อก่อนขอแค่ได้ต่อสู้อยู่ในสมรภูมิก็พึงพอใจแล้วแท้ ๆ
“……อา—”
คิดเท่าไร คิดเท่าไร คำตอบก็ไม่ออกมา
เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคิดมันตั้งแต่แรก โยนการใช้ความคิดทิ้งไปและตอนนี้เพียงกลายเป็นดาบ ตัวตนของเฮเลนาจะกลายเป็นดาบเล่มหนึ่ง เป็นนักรบคนหนึ่งที่มีดาบเป็นส่วนต่อหนึ่งเดียวกับของแขนของตน
ฟันเข้าไป
ฟันเข้าไป
ฟันเข้าไป
การร่ายรำแห่งดาบนั้น ดำเนินต่อไปจนกระทั่งยกแขนไม่ขึ้นอย่างตรงตามความหมายทุกตัวอักษร—
“ฟู่ว”
“ยากลำบากหน่อยนะคะท่านเฮเลนา”
ไม่รู้ว่าแกว่งดาบอยู่นานแค่ไหน
ล้าจนแม้การใช้ความคิดก็ไม่อยากกระทำ เฮเลนาที่มีเหงื่อพอประมาณผุดบนหน้าผากได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่อเลกเซียนำมาวางไว้เพื่อพักเหนื่อย
แม้รู้สึกว่ายังได้ขยับร่างกายไม่พอ แต่แขนมันก็กำลังร่ำร้องด้วยความเจ็บปวด หากฝืนใช้งานหนักกว่านี้คงมีผลถึงวันพรุ่งนี้สินะ
ให้ตายสิ—แค่ออกห่างจากสนามรบมาได้ประมาณสัปดาห์เดียวเองแท้ ๆ ร่างกายคนเรานี่มันไม่สะดวกเอาซะเลย
“พักสักครู่ แล้วค่อยฝึกต่อแล้วกัน”
“……ยังจะต่ออีกหรือคะ”
“ใช่ ยังไม่เพียงพอเลย ต้องแข็งแกร่งมากขึ้น มากยิ่งกว่านี้”
หากเฮเลนาแข็งแกร่ง ใจของเธอก็คงไม่หวั่นไหวกับการกลั่นแกล้งแบบนั้นของฟาร์มาส หากสามารถไปถึงปรมัตถ์ของนักบู๊ที่สูงส่งยิ่งกว่านี้ได้ เธอคงสงบจิตใจได้มากกว่านี้
การฝึกฝนร่างกายใช้ได้กับทุกเรื่อง—สำหรับเฮเลนาที่ยึดมั่นศรัทธาเช่นนั้นแล้ว การที่ความคิดมาลงเอยกับการฝึกฝนร่างกายเพื่อขัดเกลาจิตใจมันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้
แม้เจ้าตัวคงจะไม่เข้าใจ แต่นี่มันเป็นการใช้ความพยายามอย่างผิดทิศผิดทางโดยสมบูรณ์
เฮเลนาดื่มน้ำแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง
ปริมาณเหงื่อที่หลั่งไหลยังไม่เพียงพอเลย อยากจะฉีกชุดเดรสที่เคลื่อนไหวยากนี่ทิ้งชะมัด
ศัตรูในจินตนาการคนต่อไป คือผู้ได้ชื่อว่าสุดแกร่งคนนั้น— “ขุนศึกหมีน้ำเงิน” บาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ด
เฮเลนาจับดาบใหญ่เข้าประชันกับร่างใหญ่โตราวกับยักษ์ที่ถือขวานอันมหึมาตั้งท่ารออยู่
บุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในแปดยอดขุนศึก ซึ่งเธอยังไม่เคยเอาชนะได้แม้แต่ครั้งเดียว
‘แค่เขาคนเดียวก็มีค่าเทียบเท่ากองทัพนับหมื่น’ ประเทศข้างเคียงต่างพากันหวาดกลัวนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดผู้นี้
เฮเลนากระตุกมุมปากด้วยความยินดีพร้อมจับดาบให้มั่น
จากนั้น
“ฮ่า!”
ฟาดดาบขึ้นไปอย่างเต็มแรง
แน่นอนว่าการโจมตีลวก ๆ แบบนั้นบาร์โตโลเมย่อมไม่สะทกสะท้าน เขาปัดการโจมตีนั้นออกและส่งการโจมตีที่รวดเร็วแหลมคมปานดาวตกกลับคืนมา
ทว่าเฮเลนาก็ไม่ได้อ่อนหัดจนตอบสนองไม่ทัน
หากเป็นทหารดาษดื่นทั่วไปคงโดนการโจมตีนี้ผ่ากระโหลกเป็นสองซีก แต่เฮเลนาก็ได้ฟาดดาบขึ้นอีกครั้งเพื่อรับมันเอาไว้ได้
การฝืนขยับดาบใหญ่เปลี่ยนทิศทางอย่างอิสระนั้นต้องใช้พลังกายอย่างมาก
ร่างกายที่ผ่านการขัดเกลามาของเฮเลนาช่วยปลดปล่อยพลังออกมาขนาดที่จะฝืนแรงเฉื่อยและพลิกดาบใหญ่กลับมาใช้ป้องกันได้
ได้เวลาโจมตีสวนกลับใส่บาร์โตโลเมบ้าง—เธอตั้งดาบขึ้นมา และในตอนนั้นเอง
“แหม ๆ……มาทำอะไรในสวนวุ่นวายเชียวนะเจ้าคะ พระสนมฟ้าสุริยา”
เสียงที่สูงและใสเหมือนกระดิ่งของผู้มาเยือนอย่างไม่ทันตั้งตัว
“สนมฟ้าจันทรา” ชาร์ลอตเต เอียนส์เวิร์ธ ถือพัดที่ประดับด้วยขนนกไว้ตรงปาก และจ้องมองมาที่เฮเลนาราวกับกำลังดูแคลน