(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 2 สถานการณ์อันยุ่งเหยิง

 

“……หมายความว่ายังไงกันคะ”

 

“หมายความตามที่เขียนนั่นแหละ”

 

หลังจากเฮเลนาได้จัดการหน้าที่อย่างงานเบ็ดเตล็ดหลังสงครามหรือการจัดเตรียมที่พักของทหารคุ้มกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ได้กลับมาที่บ้านซึ่งอยู่ส่วนทิศใต้ของเมืองหลวง หรือก็คือบ้านตระกูลมาร์ควิสเรลโนต

หลังจากกลับมาถึงก็ถูกแอนตัน เรลโนต ผู้เป็นบิดาเรียกตัวเข้าพบทันทีเหมือนกับว่ากำลังรอเธออยู่ และสิ่งที่เธอได้รับมอบในห้องทำงานของแอนตันที่อยู่ในบ้านก็คือกระดาษที่ทำมาจากหนังแกะแผ่นหนึ่ง

และนั่นก็คือสิ่งที่เฮเลนากล่าวออกมาหลังจากได้เห็นถ้อยคำที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ซึ่งเขียนอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น

 

“ไม่เข้าใจสักนิดเลยค่ะ”

 

“เสียใจด้วยนะ แต่ช่วยเข้าใจซะเถอะ”

 

“ทำไม ข้าถึงต้อง-!”

 

กระดาษนั้นมีการลงตราประทับของราชวงศ์อย่างเป็นทางการ เป็นคำสั่งจากราชวงศ์อย่างไม่ต้องสงสัย

ดูจากคุณภาพของกระดาษหนังแกะที่ใช้แล้ว โอกาสที่มันจะเป็นของปลอมแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือคนที่คิดจะปลอมแปลงเอกสารขึ้นมาด้วยเนื้อหาแบบนี้คงจะยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่

กระดาษแผ่นนั้นสำหรับเฮเลนาแล้วจะคิดว่ามันเป็นการกลั่นแกล้งกันแบบหนึ่งก็ไม่ผิดนัก เพราะคำสั่งที่เขียนอยู่มันเหมือนกับเป็นการปฏิเสธตัวตนทั้งหมดในปัจจุบันของเธอเลยก็ว่าได้

 

“ทำไม! ทำไมข้าถึงต้องเข้าไปในวังหลังด้วย!”

 

สิ่งนั้นลงนามโดยบุคคลสามคน คือพระจักรพรรดิรุ่นที่สี่แห่งจักรวรรดิกันเกรฟ ฟาร์มาส ดีล ลูเครเซีย กันเกรฟ, อำมาตย์แผ่นดิน มาร์ควิสอับราฮัม โนลด์ลุนด์, และอัครมหาเสนาบดี แอนตัน เรลโนต เป็นหนังสือคำสั่งของแท้ไม่ผิดแน่นอน

ส่วนเนื้อหาที่เขียนไว้ก็คือหนังสือคำสั่งถึงบุตรีของตระกูลมาร์ควิสเรลโนต หรือก็คือเฮเลนา เรลโนต ว่าจงมาเข้าวังหลัง

 

“ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะ”

 

“แต่ว่าตอนนี้ข้าเป็นทหารนะ! เป็นถึงรองผู้บังคับบัญชาของ ‘ขุนศึกพยัคฆ์แดง’ เชียวนะ! ถึงจะเป็นราชวงศ์ก็ไม่น่ามีสิทธิ์มาแทรกแซงเรื่องของกองทัพนี่!”

 

“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิองค์ก่อนคือเมื่อไหร่……ถ้าเป็นเจ้าก็น่าจะรู้ใช่ไหม”

 

“……หา? เรื่องแค่นั้นไม่รู้สิถึงแปลก วันที่สิบห้าของเดือนหน้าจะมีการจัดพิธีครบรอบหนึ่งปีนี่นา”

 

“ ‘ในกรณีที่จักรพรรดิที่ยังไม่แต่งงานขึ้นครองราชย์ ตระกูลขุนนางตั้งแต่ระดับเคานต์ขึ้นไปจะต้องส่งบุตรีที่ยังไม่แต่งงานเข้าวังหลังภายในระยะเวลาหนึ่งปี’……นี่เป็นกฎหมายห่วย ๆ ที่จักรพรรดิรุ่นที่สองบัญญัติขึ้นเอาเองตามใจชอบ แต่ถึงอย่างไรกฎก็ต้องเป็นกฎอยู่ดี”

 

ฮึ่ย

เฮเลนากัดริมฝีปากอย่างเคร่งเครียด นั่นเป็นกฎหมายของจักรวรรดิกันเกรฟจริง ๆ และมีเขียนอยู่ในประมวลกฎหมายด้วย

ด้วยความที่เป็นเชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิก็ย่อมต้องมีแพทย์หลวงชั้นยอดที่สุด การที่จักพรรดิจะมาด่วนจากโลกไปอย่างกระทันหันนั้นจึงแทบไม่เคยเกิดขึ้น และโดยปกติแล้วการแต่งงานของรัชทายาทมักจะถูกจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่จะสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิองค์ต่อไปให้ด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นหากกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นจริง จักรพรรดิก็อาจสามารถเลือกเอาบุตรีของเหล่าขุนนางมาเป็นนางสนมได้ มันเป็นกฏหมายบ่มเพาะความหวังอันหอมหวานแบบนี้ไว้นี่เอง

และแล้วในตอนนี้กฎหมายห่วย ๆ อันนั้นก็ได้กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้วจากการด่วนสวรรคตไปของจักรพรรดิองค์ก่อน

ฟาร์มาสที่ขึ้นครองราชย์ด้วยอายุเพียงสิบเจ็ดปีนิด ๆ ต้องมารับช่วงต่อตำแหน่งจักรพรรดิอย่างกระทันหันทั้งที่เพิ่งจะอยู่ระหว่างเข้ารับการศึกษาเพื่อเป็นจักรพรรดิเท่านั้นเอง เพราะอย่างนั้นเลยไม่มีทั้งคู่หมั้นหรือผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่เลือกไว้ก่อน ตำแหน่งพระชายาจึงยังคงเป็นตำแหน่งที่ว่างเปล่าอยู่

เหล่าขุนนางเองก็คงยินดีกับกฎหมายห่วย ๆ ข้อนี้ของจักรพรรดิรุ่นที่สอง

การได้เข้าไปวังหลัง ก็หมายความว่าบุตรสาวของตนเองมีโอกาสที่จะได้รับความรักจากฝ่าบาท ยิ่งไปกว่านั้นหากให้กำเนิดผู้สืบทอดได้ ก็ย่อมหมายถึงการกลายเป็นสายตระกูลของมารดาของแผ่นดินและคงส่งผลให้ฐานะของตนเองมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็คงพอสามารถออกปากออกคำเกี่ยวกับเรื่องการเมืองการปกครองได้ในฐานะญาติฝ่ายมารดานั่นเอง

จากมุมมองของขุนนางแล้ว นี่เป็นสถานการณ์ที่ชวนน้ำลายหกซะเหลือเกิน

ถ้าเกิดไม่ได้นับรวมความรู้สึกของเฮเลนาเข้าไปด้วยล่ะก็นะ

 

“บุตรีที่ยังไม่แต่งงานในตระกูลของเราก็มีแค่เจ้าเท่านั้น……เฮเลนา”

 

ตระกูลมาร์ควิสเรลโนตนั้นมีบุตรีอยู่สามคนด้วยกัน

ลูกสาวคนโต เฮเลนา, ลูกสาวคนรอง อัลเบรา และลูกสาวคนที่สาม ลิลิธ

แต่ทว่าอัลเบรานั้นได้แต่งงานและอยู่กินร่วมกับคู่หมั้นที่หมั้นหมายกันเอาไว้ตั้งแต่เล็กแล้ว ส่วนลิลิธเองก็ได้ตกหลุมรักกับชายหนุ่มจากประเทศเพื่อนบ้านที่มาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนแล้วก็แต่งงานตั้งแต่ยังสาวเช่นเดียวกัน

บุตรีที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่คนเดียวคือเฮเลนาที่ปัจจุบันอายุยี่สิบแปดปี ผู้ที่ต่อให้โดนใครมาเรียกว่าขึ้นคานก็ไม่ได้สนใจ

เธอเป็นบุตรีขุนนาง (ฮา) ผู้ที่ไม่ได้รับการมองเห็นจากสังคมชั้นสูงว่าเป็นบุตรีขุนนางอีกแล้ว

 

“……ท่านพ่อ รู้ตัวไหมคะว่ากำลังพูดอะไรออกมา?”

 

“แน่นอน รู้สิ”

 

“ข้าน่ะ ไม่รู้มารยาททางสังคมเลยแม้แต่นิดเดียว เต้นรำก็ไม่เป็น ชุดเดรสสวย ๆ ก็ไม่มี ไม่มีคนรู้จักที่เป็นบุตรีขุนนางด้วยกัน หรือเส้นสายกับตระกูลอื่นก็ไม่มีเลยสักนิด แกว่งดาบแกว่งทวนอยู่ในสนามรบมาตลอดตั้งแต่อายุสิบห้า บัดนี้อายุยี่สิบแปดก็เรียกได้อย่างภาคภูมิว่าเลยวัยที่จะแต่งงานมาแล้ว มาตอนนี้กลับมาบอกให้ข้าเข้าวังหลังอย่างงั้นเหรอคะ?”

 

“……ก็เพราะเจ้าทำอะไรไม่ได้นอกจากเรื่องนั้นนี่แหละ มันถึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”

 

แอนตันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

แน่นอนว่าแอนตันเองก็รู้ว่านี่มันเป็นการเข้าวังหลังที่ฝืนเอามาก ๆ อย่างน้อยสำหรับเฮเลนาแล้ว แทนที่จะสั่งให้เข้าวังหลัง สู้สั่งให้ไปล้างบางทหารสักกองพันหนึ่งให้สิ้นซากด้วยตัวคนเดียวซะยังจะเป็นไปได้มากกว่า

แต่ทว่า นั่นก็เป็นเหตุผลที่แอนตันต้องผลักดันเฮเลนาเข้าสู่วังหลังด้วยเช่นกัน-

เฮเลนาวางมือที่คางอย่างครุ่นคิด ก่อนจะมองไปที่แอนตัน

 

“ท่านพ่อ……”

 

“……เข้าใจสาเหตุแล้วสินะ?”

 

แอนตันยักไหล่ให้กับคำพูดของเฮเลนา

 

“แต่เดิมทีผู้ที่แต่งตั้งข้าให้เป็นอัครมหาเสนาบดีก็คือจักรพรรดิองค์ก่อน และข้าก็เคยกล่าวทูลตำหนิฝ่าบาทไปหลายครั้งอยู่ นอกจากนี้……ผู้ที่แต่งตั้งมาร์ควิสอับราฮัม โนลด์ลุนด์เป็นอำมาตย์แผ่นดินก็คือฝ่าบาทองค์ปัจจุบันเอง”

 

“อ่า……อาจจะเป็นเพราะข้าไร้การศึกษาเองนะคะ แต่ว่า……ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีกับอำมาตย์แผ่นดินเนี่ยมันแตกต่างกันยังไงเหรอคะ?”

 

“ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย ไม่ว่าตำแหน่งไหนก็เป็นข้าหลวงที่มียศทางการเมืองสูงสุดทั้งคู่ ในทางการปกครองแล้วก็คือผู้ที่มีหน้าที่คอยช่วยเหลือจักรพรรดิน่ะ……หรือก็คือจะนึกซะว่าในตอนนี้ราชสำนักมีผู้มีตำแหน่งสูงสุดอยู่สองคนก็ได้”

 

แอนตันทำหน้าบูดเบี้ยวราวกับเพิ่งจะกัดแมลงขม ๆ เข้าไปพลางส่งเสียง ‘ชิ’

ราชสำนักก็คือสถานที่อันสำคัญที่สุดในการปกครองประเทศ ถึงสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะอยู่ที่องค์จักรพรรดิ แต่อำนาจของเหล่าขุนนางผู้ติดตามภายในนั้นเองก็ไม่อาจดูแคลนได้เช่นกัน

อย่างน้อยที่สุด แอนตันผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีก็ยังจัดการบุคคลากรโดยมีความรู้สึกรับผิดชอบอยู่เสมอว่าตนเองเป็นตัวตนที่มีหน้าที่ดูแลการเมืองของจักรวรรดิ เขามักจะคิดหาวิธีให้บุคคลที่มีความสามารถสูงที่สุดได้มาทำงานเพื่อประเทศชาติ ซึ่งนั่นก็เป็นวิธีคิดที่เหมาะสมกับการเป็นข้าหลวง

แต่ใช่ว่าขุนนางทุกคนจะคิดแบบเดียวกับแอนตันเสมอไป

ราชสำนักก็เหมือนกับรังของมารร้ายที่เป็นศูนย์รวมของผลประโยชน์จำนวนนับไม่ถ้วน เพียงการแต่งตั้งบุคลากรแค่คนเดียวก็สามารถทำให้เงินตราเคลื่อนไหวได้เป็นจำนวนมหาศาล ในหมู่ขุนนางจึงย่อมมีผู้ที่อยากได้ตำแหน่งนั้นมาแม้ว่าจะต้องจ่ายเงินออกไปมากมายก็ตาม

แม้ไม่รู้ว่าอำมาตย์แผ่นดินโนลด์ลุนด์เป็นคนแบบไหน แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็เป็นผู้แต่งตั้งให้เขาเป็นอำมาต์แผ่นดินซึ่งเป็นตัวตนที่ทัดเทียมกับอัครมหาเสนาบดีด้วยพระองค์เอง นั่นจึงชวนให้คิดได้ว่าเขาน่าจะเป็นคนประเภทที่เฝ้ากล่าวถ้อยคำระรื่นหูให้กับฝ่าบาทจักรพรรดิฟาร์มาสผู้ไม่โปรดปรานคำติเตียนนั่นเอง

ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่น่าจะเป็นคนที่ดีนัก

 

“มีตำแหน่งสูงสุดสองคนงั้นเหรอคะ”

 

“ใช่ ถ้าเป็นเฮเลนาก็น่าจะเข้าใจว่าแบบนี้ก็เหมือนกับการสั่งให้ราชสำนักเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายนั่นแหละ ความจริงแล้วถ้าทำได้ฝ่าบาทน่าจะอยากปลดข้าแล้วก็ให้โนด์ลุนด์ขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดีแทนล่ะมั้ง”

 

“แต่ว่า……”

 

“ใช่ ข้าน่ะได้รับคำสั่งเสียของจักรพรรดิองค์ก่อนว่าให้ดูแลฝ่าบาทฟาร์มาสหลังจากที่พระองค์สวรรคตไปแล้ว”

 

เป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่วในราชสำนักว่าจักรพรรดิองค์ก่อน ผู้มีพระนามว่า ดีล ได้ฝากฝังให้แอนตันเป็นผู้ดูแลบ้านเมืองหลังจากที่ตนเองตายไป

ในตอนนั้นที่จักรพรรดิองค์ก่อนกำลังใกล้จะตาย เขาได้เรียกให้ฟาร์มาสซึ่งตอนนั้นเป็นผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่ง กับแอนตันผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีเข้าพบ

 

‘ได้โปรด คอยช่วยชี้แนะฟาร์มาสด้วยนะ ฟาร์มาสเอ๋ย หลังจากที่ข้าตายไปเจ้าก็จึงพึ่งพาแอนตันเข้าไว้ซะ นี่คือคำสั่งสุดท้ายก่อนตายของข้า……ในช่วงระยะเวลาสิบปีแรกหลังจากที่ข้าตาย ยังคงให้แอนตันอยู่ในตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีเถอะ’

 

คำพูดนี้ถูกยอมรับให้เป็นคำสั่งเสียอย่างเป็นทางการ และเป็นคำสั่งสุดท้ายก่อนตายของจักรพรรดิองค์ก่อนอีกด้วย แม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันอย่างฟาร์มาสเองก็ไม่สามารถฝ่าฝืนมันได้

ดังนั้นในบางครั้งแอนตันจึงได้กล่าวถ่อยคำที่เข้มงวดต่อฟาร์มาสเพื่อให้เขาสามารถปกครองบ้านเมืองได้อย่างดียิ่งขึ้นไป

แต่ฟาร์มาสที่ยังเด็กนักคงไม่สามารถอดทนต่อถ้อยคำพวกนั้นได้

 

“……ข้าเองก็รู้สึกผิดต่อเจ้าจริง ๆ”

 

“ท่านพ่อ……”

 

“ต่อให้เป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็เถอะ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าจะทำแบบนี้ไปทำไม การที่แบ่งอำนาจออกเป็นสองส่วนย่อมเป็นการแบ่งราชสำนักออกเป็นสองส่วนด้วยเช่นเดียวกัน ถึงขนาดที่ว่าจะเรียกราชสำนักเป็นรังของมารร้ายยังรู้สึกว่ามันน้อยไปเลยด้วยซ้ำ”

 

สำหรับแอนตันที่อยู่ ณ จุดศูนย์กลางของอำนาจแล้ว สถานการณ์การเมืองปัจจุบันนี้มันเหมือนกำลังเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ ตัวเขารู้ซึ้งด้วยร่างกายของตัวเองว่ามันน่าหวาดเสียวขนาดไหน

ตอนนี้ราชสำนักถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือ “ฝ่ายอัครมหาเสนาบดี” กับ “ฝ่ายอำมาตย์แผ่นดิน” แล้วก็กำลังเกิดการปะทะกันระหว่างฝักฝ่าย ข้างที่มีอำนาจออกปากคำมากกว่าจะได้กลายเป็นฝ่ายที่ควบคุมการจัดการบุคลากรในราชสำนักในที่สุด ถึงในตอนนี้แอนตันจะยังได้เป็นคนจัดการเรื่องบุคลากรอยู่ แต่ถ้าอำนาจนั้นเกิดย้ายไปอยู่กับ “ฝ่ายอำมาตย์แผ่นดิน” เมื่อไรล่ะก็ ประเทศนี้คงถึงคราวแย่แล้ว

 

“ซ้ำร้ายไปกว่านั้น โนลด์ลุนด์เองก็กำลังวางแผน……จะส่งโฉมงามที่เลื่องลือนามว่าชาร์ล็อตเตเข้าไปยังวังหลังด้วย”

 

“……ใครคะนั่นไม่รู้จัก”

 

“เป็นเครือญาติคนหนึ่งของโนลด์ลุนด์น่ะ แม้แต่ในแวดวงสังคมเองก็เรียกว่าเธอคือโฉมงามที่เลื่องลือ อายุสิบหกปี……ใกล้เคียงกับฝ่าบาทพอดีน่ะนะ ทางฝั่งเราเองก็มีส่งโฉมงามของตัวเองเข้าไปบ้างอยู่เหมือนกัน แต่ว่า……”

แอนตันทำหน้าอึดอัดใจเหมือนกับกินแมลงขมเข้าไปอีกแล้ว ก่อนจะมองมาที่เฮเลนา

เฮเลนาก็เลยตามน้ำไปก่อน

 

“อย่างนี้นี่เอง……”

 

“เจ้าเข้าใจหน้าที่ของตัวเองแล้วสินะ?”

 

“ค่ะ……แต่ก็ไม่รู้ว่าข้าจะวางตัวได้อย่างที่ท่านพ่อหวังไว้รึเปล่านะคะ”

 

สิ่งที่แอนตันเล็งไว้

นั่นก็คือการที่เบื้องหน้าราชสำนักมีตัวแอนตันเป็นศูนย์รวมของ “ฝ่ายอัครมหาเสนาบดี” กับมาร์ควิสโนลด์ลุนด์เป็นศูนย์รวมของ “ฝ่ายอำมาตย์แผ่นดิน” ส่วนเบื้องหลังราชสำนักก็จะมีตัวเฮเลนาเป็นศูนย์รวมของ “ฝ่ายอัครมหาเสนาบดี” กับบุตรีขุนนางชาร์ล็อตเตเป็นศูนย์รวมของ “ฝ่ายอำมาตย์แผ่นดิน” สร้างให้เป็นสภาพการณ์ที่มีความสมดุลกันขึ้นมา

 

“ใช่ เกรงว่าเจ้าคงจะไม่ได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากฝ่าบาทหรอก อายุมันต่างกันเกินไป แต่ว่า……ทั้งชื่อเสียงในฐานะทหารและฝีมือการต่อสู้ของเจ้าจะต้องช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของพวก ‘ฝ่ายอำมาตย์แผ่นดิน’ ในวังหลังได้อย่างแน่นอน”

 

สำหรับแอนตันแล้วนี่เป็นเรื่องที่เขาหนักใจกว่าแค่การส่งลูกสาวไปแต่งงานมากมายนัก

ทั้งที่รู้แน่ชัดอยู่แล้วว่าคงไม่มีทางได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากจักรพรรดิ แต่ก็ยังส่งเฮเลนาเข้าวังหลังเพียงเพื่อต้องการจะรักษาสมดุลทางการเมืองเอาไว้

 

หรือก็แปลว่าเขากำลังใช้ประโยชน์จากลูกสาวในฐานะนักการเมืองคนหนึ่ง ไม่ใช่ในฐานะพ่อ

 

“……เข้าใจแล้วค่ะ”

 

ทว่า เฮเลนาก็รับปากไปเช่นนั้น

แอนตันจึงวางใจได้ในที่สุด บางทีลูกสาวของเขาคงจะเข้าใจได้แล้วกระมังว่าถึงจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ก็เปลี่ยนอนาคตไม่ได้อยู่ดี

ถึงจะรู้สึกผิดต่อผู้บังคับบัญชาของเฮเลนา ต่อวิกเตอร์อยู่บ้างก็เถอะ

 

“ท่านพ่อคะ ถ้างั้นเรื่องการเตรียมตัวเพื่อเข้าวังหลัง ข้าขอร้องให้ท่านพ่อช่วยจัดการด้วยนะคะ”

 

“ได้”

 

“แล้วก็อีกเรื่อง จะเป็นคำสั่งของท่านพ่อเองก็ได้ แต่ช่วยส่งวิกเตอร์……ส่ง ‘ขุนพลพยัคฆ์แดง’ กลับไปที่แนวหน้าเถอะค่ะ เรื่องที่เข้าวังหลังเดี๋ยวข้าจะส่งจดหมายไปแจ้งข่าวเอง”

 

‘ขอตัวก่อนนะคะ’ เฮเลนากล่าวก่อนจะออกจากห้องทำงานของบิดา

จากนั้นใบหน้าที่ดูมีระเบียบนั้นก็คิ้วขมวดเป็นปมพลางเอียงคอด้วยความฉงน

ถึงเมื่อกี้จะตามน้ำทำท่าเหมือนพอจะเข้าใจก็เถอะ แต่เรื่องศูนย์กลางของอำนาจอะไรเนี่ยเธอฟังไม่รู้เรื่องเลยสักอย่างเดียว

 

“……หน้าที่ที่ข้าทำได้ อืม ก็อย่างเช่นสอนวิชาดาบให้กับฝ่าบาท รึเปล่านะ?”

 

และแล้ว

เธอผู้ที่แม้แต่สมองก็ถูกกล้ามเนื้อยึดครองไปแล้วก็ได้เข้าสู่วังหลัง

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset