เฮเลนาเข้าวังหลังมาได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว
แม้ตอนแรกจะมีเรื่องไม่คุ้นเคยเต็มไปหมด แต่ระยะหลังมานี้เธอได้ใช้เวลาวัน ๆ ไปกับการฝึกฝนร่างกาย หลังเที่ยงไปก็ได้ฟันดาบ จึงรู้สึกพึงพอใจอยู่ไม่น้อย พอตอนกลางคืนฟาร์มาสก็มาหาแล้วก็พูดคุยกันเรื่องต่าง ๆ แม้จะถูกปั่นหัวเป็นบางครั้งแต่เธอก็ใช้ชีวิตได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร
ดังนั้นวันนี้เธอก็กำลังทำกิจวัตรประจำวันซึ่งก็คือการวิดพื้นในช่วงเช้าอยู่เช่นเคย แน่นอนว่าให้อเลกเซียขี่หลังอยู่
‘ฮึบ ฮึบ’ เธอส่งเสียงในใจและขยับร่างกายอย่างไม่หยุดยั้ง เพิ่งจะเริ่มฝึกฝนได้ไม่นานดังนั้นจึงยังห่างไกลจากคำว่าเหงื่อกำลังดี
“เอ่อ ท่านเฮเลนาคะ”
“หืม?”
“ข……ข้า ไม่ไหว แล้วค่ะ……”
วันนี้เฮเลนาคิดว่าอยากจะเพิ่มน้ำหนักถ่วงอื่นนอกจากอเลกเซียด้วย
ดังนั้นจึงให้อเลกเซียถือดาบที่ได้รับมาจากฟาร์มาสไว้
“ม มันหนักค่ะ……”
“หนักขนาดนั้นเชียวรึ?”
“โปรดเข้าใจด้วยว่าท่านเฮเลนาที่กำลังวิดพื้นทั้งที่มีข้าถือสิ่งนี้ขี่หลังอยู่น่ะเป็นสัตว์ประหลาดค่ะ ถ้าเป็นไปได้ช่วยเข้าใจเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!”
อเลกเซียกล่าวเช่นนั้นและลงจากหลังเฮเลนาก่อนจะวางดาบลง
เนื่องจากเป็นของขวัญจากองค์จักรพรรดิที่มอบให้เฮเลนา อเลกเซียจึงปฏิบัติต่อมันอย่างนุ่มนวลเลยทีเดียว เพราะแบบนั้นกระมังเธอถึงได้รีบบอกก่อนที่จะทำมันหลุดมือ
‘ฮึ่ม’ เฮเลนาทำปากบึน
“อุตส่าห์ได้น้ำหนักถ่วงกำลังดีเลยแท้ ๆ”
“โปรดเข้าใจด้วยค่ะว่าสิ่งนี้ต้องใช้นางกำนัลห้าคนช่วยกันจึงถือไหวน่ะ……”
“ไม่แรงน้อยเกินไปหน่อยรึ?”
“อย่าคาดหวังพละกำลังระดับท่านเฮเลนาจากนางกำนัลรับใช้ในวังหลังสิคะ……”
‘เฮ้อ’ อเลกเซียถอนใจเฮือกใหญ่
พูดจริง ๆ แล้ว ดาบนี้เองก็หนักสำหรับเฮเลนา ทว่าเพราะหนักเลยสามารถใช้งานแทนหอกในสนามรบได้ และเหมาะจะใช้เป็นน้ำหนักถ่วงกล้ามเนื้อยามฝึกฝน
ดังนั้นก็เลยคิดจะเอามาใช้ในการฝึกร่างกายยามปกติด้วย
น่าเสียดายแฮะ เฮเลนาถอนใจ
ในตอนนั้นเอง ‘ก๊อก ๆ’ ประตูห้องก็ได้ถูกเคาะ
เธอส่งสายตาสื่อสารกับอเลกเซียในทันที
เพียงเท่านั้นต่างคนก็ต่างเข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เฮเลนาไปนั่งที่โซฟา ส่วนอเลกเซียก็รีบรินน้ำชาใส่ถ้วย อนึ่ง เพราะชงทิ้งไว้ค่อนข้างนานมันจึงเย็นไปหมดแล้ว จากนั้นเฮเลนาก็ถือถ้วยนั้นเอาไว้ เพียงเท่านี้ภาพของบุตรีขุนนางผู้กำลังเพลิดเพลินกับน้ำชาก็เสร็จสมบูรณ์
ทว่าความจริงก็โดนเห็นว่าฝึกร่างกายอยู่ในสวนระหว่างอาคารอยู่แล้ว ไอ้ละครปาหี่แบบนี้มันอาจจะไม่จำเป็นแล้วก็ได้
“ไม่ทราบว่าใครหรือคะ”
“เรียนพระสนมฟ้าสุริยา หัวหน้านางกำนัลอิซาเบลเองค่ะ”
“เชิญเข้ามาได้ค่ะ”
โธ่เอ้ย อิซาเบลหรอกเหรอ—เฮเลนาคลายความตึงเครียดลง
หากเป็นอิซาเบลก็รู้อยู่แล้วว่าปกติเฮเลนาฝึกร่างกายแบบไหนอยู่ ไม่จำเป็นต้องแสดงอะไรแบบนี้เลย
ถึงกระนั้นการก็ได้ทดลองประสานงานกับอเลกเซียดูก็ไม่เลวเหมือนกัน
“ขออภัยค่ะพระสนมฟ้าสุริยา”
“มีธุระอะไรรึ อิซาเบล”
“ค่ะ ขออภัยที่มาเยือนห้องโดยกะทันหัน……แต่ว่ามีแขกมาเยี่ยมพระสนมฟ้าสุริยาค่ะ”
“……แขก?”
หมายความว่าไงกันนะ
นางสนมที่เข้ามายังวังหลัง โดยพื้นฐานแล้วจะถูกปิดกั้นการติดต่อกับภายนอก แม้แต่จดหมายยังต้องถูกตรวจสอบเลย ดังนั้นย่อมไม่สามารถขอพบหน้าได้โดยง่าย
ทั้งที่เป็นเช่นนั้น แต่กลับบอกว่ามีแขกมาเยี่ยม
“ข้าสามารถพูดคุยกับบุคคลจากนอกวังหลังได้ด้วยงั้นรึ?”
“พระสนมในวังหลัง โดยพื้นฐานแล้วจะถูกปิดกั้นการติดต่อกับภายนอกค่ะ ต่อให้เป็นญาติสนิทแต่หากพบกับบุรุษก็จะถือว่าเป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อฝ่าบาทองค์จักรพรรดิ ทว่าหากเป็นญาติสนิทที่เป็นสตรีก็สามารถพบหน้าได้ค่ะ แต่แน่นอนว่าต้องมีพวกเราอยู่เป็นพยานด้วย”
“เป็นเช่นนั้นรึ”
มารดาของเฮเลนา—เรย์ลา เรลโนตนั้นจากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้นสตรีที่เป็นญาติสนิทจึงมีแค่น้องสาวสองคนเท่านั้น
‘อ้อ’ ตอนนั้นเองเธอก็นึกสาเหตุขึ้นมาได้
วันนี้คือวันที่น้องสาวซึ่งได้แต่งเข้าอาณาจักรข้างเคียงจะกลับมาเยี่ยมปีละครั้ง
“……ไม่เป็นไรจริงรึ?”
“ไม่ใช่การกระทำที่แนะนำนัก……แต่ก็เป็นเรื่องที่จักรพรรดิองค์ก่อน ๆ ได้กำหนดเอาไว้ค่ะ ว่าไม่ต้องถึงกับปิดกั้นจากภายนอกโดยสมบูรณ์ อย่างน้อยก็ให้สามารถพบหน้ากับญาติสนิทที่เป็นสตรีได้บ้างน่ะค่ะ”
“อืม”
ถึงจะไม่ได้เหงาอะไรเป็นพิเศษ แต่ยังไงการได้พบหน้าครอบครัวก็เป็นเรื่องน่ายินดี
ดังนั้นจักรพรรดิรุ่นก่อน ๆ ถึงยอมให้ทำแบบนั้นได้สินะ
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือคะ?”
“คนที่มาพบคงจะเป็นน้องสาวนั่นแหละ ไม่จำเป็นต้องแต่งองค์ทรงเครื่องอะไรหรอก”
“ทราบแล้วค่ะ”
อเลกเซียกล่าวเช่นนั้นและถอยไป
ตอนที่จะไปพบ “สนมฟ้าดารา” อเลกเซียก็คอยช่วยเหลือเธอหลายเรื่อง แต่คราวนี้คนที่จะไปพบคือน้องสาว
ไม่จำเป็นต้องให้อเลกเซียช่วยเหลืออะไร
เฮเลนาอยู่ในชุดที่เคลื่อนไหวง่ายเหมือนเดิม และถือดาบที่ได้รับจากฟาร์มาสไว้ในมือขวา
“……เอ่อ พระสนมฟ้าสุริยาคะ”
“หืม?”
“ทำไมถือดาบคะ?”
อิซาเบลเผลอถามเช่นนั้นออกมาเมื่อเห็นภาพที่เธอถือดาบเหมือนกับจะไปสนามรบเช่นนั้น
มันแปลกตรงไหนหว่า เฮเลนาเอียงศีรษะด้วยความสงสัย ทว่าสักพักก็นึกออก
จะว่าไปแล้วการไปพบน้องสาวทั้งที่เหน็บดาบไว้มันก็ฟังดูแปลกจริง ๆ
“เอ่อ ตั้งใจว่าจะเอาไปอวดน่ะ”
“……อวด หรือคะ?”
“นี่คือดาบที่ดีมาก ตั้งใจจะไปอวดว่าได้รับดาบที่ดีเช่นนี้มาเป็นของขวัญเชียวนะไงล่ะ”
“……งั้นหรือคะ”
อิซาเบลเองก็ดูเหมือนจะยอมแพ้ไปแล้ว เลยไม่กล่าวอะไรมากกว่านั้นอีก
แล้วพวกเธอก็ตามเฮเลนาที่ถือดาบอยู่ในมือขวาเดินผ่านไปตามวังหลัง
เฮเลนาซึ่งยังไม่ค่อยรู้ทิศรู้ทางนักสามารถไปเองได้แค่สวนระหว่างอาคารเท่านั้น ส่วน “ห้องแปะเจียก” ก็พอจะไปได้อยู่เหมือนกัน แต่เธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปยังสถานที่นั้นซึ่งเป็นจุดรวมตัวของ “สนมฟ้าดารา”
หลังเดินมาได้สักพักจึงค่อยถึงที่หมาย—ถึงห้องเข้าเยี่ยมในที่สุด
“ห้องนี้แหละค่ะ”
“อืม อยู่ค่อนข้างไกลทีเดียวนะ”
“เพราะห้องถูกสร้างไว้ใกล้กับทางเข้าออกของวังหลังค่ะ ส่วนห้องของสามสนมฟ้าทั้งหมดจะอยู่ลึกด้านในสุดของวังหลัง”
งั้นหรือเนี่ย ไม่รู้มาก่อนเลย
แต่ด้วยความที่อยู่ลึกที่สุดเลยอยู่ใกล้สวนระหว่างอาคารด้วยนั้นก็ดีเหมือนกัน ยังไงเธอก็ไม่ได้คิดว่าอยากจะออกไปนอกวังหลังอยู่แล้ว
‘ก๊อก ๆ’ อิซาเบลเคาะประตูของห้องเข้าเยี่ยม แล้วก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยตอบกลับมาจากอีกฝั่ง “ค่า—”
เธอเปิดประตู
“ค่าค่า—……อ๊ะ ไม่เจอตั้งนานแน่ะ พี่สาว”
“ลิลิธงั้นรึ”
บุคคลที่นั่งอยู่ที่นั่นคือลูกสาวคนที่สามของบ้านเรลโนต ลิลิธ
เธอได้แต่งงานกับบุคคลสำคัญจากประเทศข้างเคียงตั้งแต่ยังสาว และปัจจุบันนี้ก็อาศัยอยู่ที่ประเทศข้างเคียงนั้น เฮเลนาเองก็เคยได้ไปร่วมงานแต่ง แล้วก็รู้สึกตกใจกับวัฒนธรรมที่แตกต่างหลาย ๆ อย่างของทางนั้นเหมือนกัน
ลิลิธนั้นมีโครงหน้าที่น่ารักน่าเอ็นดูต่างจากเฮเลนา อายุเองก็ห่างกันพอสมควร ถ้าจำไม่ผิดตอนนี้น่าจะยี่สิบสองแล้วกระมัง และยังมีขนาดตัวที่ทั้งเล็กและบางสมหญิงต่างจากเฮเลนาที่ตัวสูง มองไปแล้วก็อาจจะดูอ่อนกว่าอายุจริงอยู่เล็กน้อย
“ไม่พบกันนานเลยนะ”
“นั่นสินะ ไม่นึกเลยว่ากลับบ้านเกิดหลังจากไม่ได้กลับมานานแล้วพี่สาวจะเข้าวังหลังไปแล้วแบบนี้น่ะ”
“ข้าเองก็ไม่นึกว่าจะเข้าเหมือนกัน”
เฮเลนายักไหล่
ยังไงเสียมันก็เป็นเรื่องที่แอนตันดำเนินการไปเองตามใจชอบ ไม่ได้เป็นความตั้งใจของเฮเลนาอยู่แล้ว
จากนั้นเฮเลนาก็หลุบตา
“โทษทีนะ ลิลิธ”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่สาว”
เป็นการสนทนาที่นอกจากเฮเลนากับลิลิธแล้วไม่ว่าใครก็คงไม่เข้าใจ
ซึ่งอิซาเบลกับอเลกเซียก็ไม่เข้าใจจริง ๆ พวกเธอจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เรื่องที่ต้องทำก็ทำให้ไปหมดแล้วล่ะ”
“แต่ปีที่แล้วข้าเองก็ไม่ได้ไปเหมือนกันนะ……”
“อยู่วังหลังแบบนี้ก็คงไปไม่ได้นี่นะ ที่นี่เขาไม่ให้ออกไปข้างนอกเหรอ?”
“ออกไม่ได้ ไม่ได้รับอิสระถึงขนาดนั้นหรอก”
วันนี้
คือวันครบรอบวันตายของเรย์ลา มารดาของเฮเลนาและลิลิธนั่นเอง
“อิซาเบล”
“ค่ะ พระสนมฟ้าสุริยา”
“ลิลิธไม่สามารถเข้าไปลึกกว่านี้ได้งั้นรึ?”
“ขออภัยด้วยค่ะ ไม่สามารถให้ผู้เยี่ยมเข้าไปลึกเกินกว่าห้องเข้าเยี่ยมได้”
“อืม แล้วจำกัดระยะเวลาเข้าเยี่ยมล่ะ?”
“……ไม่มีกำหนดอะไรเป็นพิเศษในเรื่องนั้นค่ะ”
‘แหะ’ เฮเลนาแสยะยิ้ม
และลิลิธเองก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน
“โต๊ะนี่เกะกะแฮะ”
“เดี๋ยวข้าย้ายไปวางไว้ตรงโน้นให้”
“งั้นข้าย้ายโซฟาแล้วกัน……ประมาณนี้คงได้แล้วสินะ?”
“นั่นสินะ เครื่องเรือนก็ไม่ได้ดูมีราคาขนาดนั้น ประมาณนี้ก็คงได้แล้วล่ะ”
จากนั้นเฮเลนากับลิลิธก็หันหน้าเข้าหากัน
พวกเธอพี่น้องมักจะทำเช่นนี้ทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากัน แม้มันจะกินเวลาอยู่บ้างแต่ในเมื่อไม่มีจำกัดเวลาเข้าเยี่ยมก็สามารถทำได้เท่าที่ต้องการ
เฮเลนากับลิลิธ ต่างคนก็ต่างตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นมา
“ฝีมือคงไม่ได้ตกไปนะ ลิลิธ”
“พี่สาวนั่นแหละ อยู่วังหลังคงไม่ได้ทื่อไปหรอกใช่ไหม”
เมื่อเห็นทั้งสองคนตั้งท่าจ้องมองกันอยู่เช่นนั้น
“…….ก็นั่นน่ะสิน้า”
อเลกเซียจึงถอนใจออกมาเบา ๆ