(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 43: คั่นฉาก: ความหดหู่ของ “สนมฟ้าดารา”

 

“เฮ้อ……”

 

ณ วังหลัง—ภายในห้องหนึ่งซึ่งได้รับมาในฐานะ “สนมฟ้าดารา” มาริเอล รีเวียร์ผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังถอนใจอย่างแผ่วเบา

สายตาเธอล่องลอยเท้งเต้งในความว่างเปล่า เหมือนกับกำลังเป็นไข้อยู่อย่างไรอย่างนั้น แม้ในปัจจุบันบนโซฟาตรงหน้าของเธอจะมีแขกนั่งอยู่ แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปเลย

ผู้ที่กำลังมองดูมาริเอลมีอาการเช่นนั้นจากโซฟาฝั่งตรงข้ามก็คือเพื่อนของเธอ—“ผู้งดงาม” เลทีเซีย เชอวาลีเย ซึ่งก็กำลังถอนใจเช่นเดียวกัน

เลทีเซียนั้นรู้ดีว่ามาริเอลกำลังกลุ้มใจเรื่องอะไร แม้มันจะเป็นความกลัดกลุ้มที่ตัวเธอเองไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยก็ตามที

 

“ท่านมาริเอล หากถอนใจมากเข้าความสุขจะหนีไปนะคะ”

 

“ขอแค่เงินไม่หนีไปก็ไม่เป็นไรค่ะ”

 

“ปัญหามันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิคะ……”

 

มาริเอลที่เลทีเซียรู้จัก คือบุตรสาวจากตระกูลซึ่งควบคุมบริษัทการค้าใหญ่ที่ชื่อว่าบริษัทการค้าแอน-มาโลว์โดยแท้จริง อย่างน้อยที่สุดเธอก็คงไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทองไปชั่วชีวิตนั่นแหละ

ในด้านอำนาจทางการเงินแล้ว ไม่มีใครในวังหลังแห่งนี้เทียบเคียงเธอได้

ตระกูลของเลทีเซียเองก็ทำการค้าขายเหมือนกัน แต่ก็มีฐานะเป็นแค่คู่ค้ารายย่อยรายหนึ่งของบริษัทแอน-มาโลว์เท่านั้น พูดให้เหมาะสมกว่านั้นก็คือ สำหรับผู้ที่ทำการค้าขายแล้วบริษัทแอน-มาโลว์ก็คือตัวตนที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเมินเฉยได้อย่างแน่นอน

 

แต่เริ่มเดิมที ในกรณีที่จักรพรรดิขึ้นครองบัลลังก์และยังไม่มีพระชายา ผู้ที่จำเป็นต้องส่งบุตรสาวที่ยังไม่แต่งงานเข้าวังหลังมีเพียงขุนนางระดับเคานต์ขึ้นไปเท่านั้น ตระกูลรีเวียร์แม้จะมีอำนาจหนุนหลังอันยิ่งใหญ่ที่ชื่อว่าบริษัทการค้าแอน-มาโลว์ แต่ก็มีบรรดาศักดิ์เป็นเพียงบารอนเท่านั้น ความจริงแล้วมาริเอลไม่ได้มีความจำเป็นต้องเข้าวังหลังเลย

ทว่าบิดาของมาริเอลนั้น มีความฝักใฝ่ในอำนาจอิทธิพลถึงขนาดยอมบริจาคเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้รับยศขุนนางมาครอบครอง ดังนั้นความตั้งใจของเขาน่าจะเป็นการใช้งานลูกสาว ซึ่งก็คือมาริเอล เพื่อผูกสัมพันธ์เกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับราชวงศ์ และได้รับบรรดาศักดิ์ที่สูงส่งขึ้นไปในฐานะตระกูลของมารดาแห่งแผ่นดินในอนาคตนั่นเอง

มาริเอลไม่สามารถต่อต้านแนวทางเช่นนั้นของบิดาได้ และได้เข้าวังหลังมาตามที่ถูกสั่ง อย่างไรเสียแม้เธอจะไม่เข้าวังหลัง บิดาผู้หิวอำนาจก็คงกำหนดให้เธอต้องแต่งงานกับขุนนางคนอื่นอยู่ดี

 

ดังนั้นมาริเอลจึงได้ยอมรับการเข้าวังหลัง

เธอคิดว่าแทนที่จะถูกส่งไปให้ลุงแก่ตัณหากลับที่ไหนก็ไม่รู้ สู้ยอมตบแต่งกับจักรพรรดิที่แม้แต่ประชาชนทั่วไปก็กล่าวกันว่าเป็นคนรูปงาม มันยังจะดีกว่าไม่รู้กี่เท่า เพราะบิดามองว่ามาริเอลเป็นแค่เครื่องมือเพื่อยกระดับอำนาจอิทธิพลของตนเองขึ้นไป ส่วนมาริเอลเองก็มองว่าบิดาเป็นแค่กระเป๋าที่มีเงินออกมาให้ใช้เท่านั้น จึงเรียกได้ว่าทั้งคู่เป็นเหมือนขนมผสมน้ำยา

 

“เฮ้อ……”

 

ด้วยเหตุผลเช่นนั้น มาริเอลจึงต้องได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากฟาร์มาสให้ได้

ความรู้เกี่ยวกับวิธีการแต่งหน้าหรือการแต่งกายเพื่อยั่วยวนบุรุษนั้น เธอได้ฟังผ่าน ๆ มาหมดแล้วจากนางคณิกาที่ทำงานในโรงคณิกาอันเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทการค้าแอน-มาโลว์ซึ่งค้าขายในทุกวงการอย่างกว้างขวาง

สำหรับวิชาความรู้ในห้องนอนก็ได้รับการสอนมาแบบปากเปล่าเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยมีประสบการณ์จริงแม้แต่ครั้งเดียว

ทั้งที่เธออุตส่าห์เผชิญหน้าเข้าสู้มุ่งสู่วังหลังด้วยการเตรียมพร้อมอย่างเต็มร้อยเช่นนั้นแท้ ๆ ทว่าฟาร์มาสกลับยังไม่เคยมาเยือนมาริเอลเลย

 

ในจังหวะนั้นเองก็มีผู้มาปรากฏตัวยังห้องข้างเคียง—ศัตรูคนใหม่ที่ได้เข้าวังหลังมาสู่ห้องของ “สนมฟ้าสุริยา”

เฮเลนา เรลโนต

บุตรสาวของที่ปรึกษาหลวงแอนตัน เรลโนต ซึ่งหลังจากบรรลุนิติภาวะก็อยู่ในกองทัพมาตลอด จึงเป็นคู่ต่อสู้ที่เธอไม่เคยพบหน้าในสังคมชั้นสูงมาก่อน แม้จะพอรู้ข้อมูลอยู่บ้าง แต่ก็รู้แค่ว่าเป็นอดีตทหาร และเป็นสตรีอายุยี่สิบแปดที่เลยวัยออกเรือนไปแล้วเท่านั้น

วัยยี่สิบแปด หากมองจากมาริเอลที่ตอนนี้อายุสิบหกปี ก็มองได้แค่ว่าเป็นคุณป้าเท่านั้น

และที่สำคัญที่สุดคือฟาร์มาสนั้นอายุเพียงสิบแปดปี เขาไม่มีทางรักใคร่โปรดปรานนางสนมที่อายุแก่กว่าตั้งสิบปีอยู่แล้ว เธอได้ประเมินไว้อย่างดูแคลนเช่นนั้น

ทว่า เมื่อเฮเลนาผู้นั้นได้มาเยือนห้องของมาริเอลเป็นครั้งแรก

มาริเอลไม่อาจหยุดตัวเองไม่ให้รู้สึกสั่นสะท้านสันหลังได้เลย

 

แรงกดดันจากตัวตนที่มากมายอย่างท้วมท้น อีกทั้งร่างกายที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดีจนรับรู้ได้ชัดเจนแม้มองผ่านเสื้อผ้า

และเหนือสิ่งอื่นใด

คือความงดงามนั้น ที่แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเป็นของบุคคลอายุยี่สิบแปด

 

ทว่า—

 

—เอ่อ……ฝ่าบาทเคยเสด็จมาเยือนที่ห้องของพระสนมฟ้าดาราบ้างหรือเปล่าคะ?

 

พอถูกถามเช่นนั้นพลางหลบตา เธอก็รู้ได้ทันทีว่าฟาร์มาสคงจะไปเยือนห้องของเฮเลนาในอีกไม่ช้ากระมัง

เวลาคนเรารู้สึกด้อยในเรื่องอะไรสักอย่าง มันจะมีสัญชาติญาณที่ไม่กล้ามองตาคนอื่นอยู่

การที่ฟาร์มาสจะมาเยือนห้องของตนซึ่งอายุยี่สิบแปด เฮเลนาคงจะรู้สึกว่ามันเป็นปมด้อยอยู่เป็นแน่ เธอจึงได้แสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา

ทว่าความจริงข้อนั้นมันกลับทำให้มาริเอลสั่นสะท้าน

ฟาร์มาสที่ไม่เคยมาเยือนห้องของมาริเอลแม้แต่ครั้งเดียว ทำไมถึงจะไปเยือนห้องของหญิงสูงอายุเช่นนี้กัน—

 

เพราะรู้สึกไม่สบอารมณ์ เธอจึงได้สอนเรื่องโกหกไป

เธอคิดว่าหากทำเช่นนี้แล้วเฮเลนาได้รับการประเมินค่าตกต่ำลง เขาอาจหันมามองนางสนมคนอื่นบ้างก็ได้

จากนั้นมาริเอลก็มองดูเฮเลนาที่พยักหน้านั่งฟังคำแนะนำอย่างตั้งอกตั้งใจ และหัวเราะเยาะในใจ ว่าเธอมันโง่เง่าถึงเพียงนี้เชียวหรือ

 

โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าความคิดเช่นนั้นจะถูกบดขยี้เป็นผุยผงในงานเลี้ยงน้ำชา

 

งานเลี้ยงน้ำชาที่เธอได้จัดขึ้นมาเพื่อสั่งสอนเฮเลนาให้รู้สำนึกถึงจุดยืนของตน

ทว่ามันกลับเหมือนถูกอ่านขาดหมดทุกอย่าง มาริเอลกลายเป็นผู้ถูกไล่ต้อนจนตกที่นั่งลำบากเสียเอง

เพราะโมโหมากจึงเผลอสาดน้ำชาใส่ไป ถึงกระนั้นเฮเลนาก็ยังไม่แสดงความโกรธต่อการกระทำนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

เธอถูกทำให้รู้ซึ้งถึงความต่างชั้นกันอย่างมหาศาลในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

 

และในบทสรุปสุดท้าย

 

—หากอยากจะทำสงครามกับข้า คิดว่าน่าจะต้องเอามาสักหนึ่งกองพันนะคะ

 

เธอกล่าวเช่นนั้น และเอานิ้วมือมาแตะลำคอของมาริเอลและเลทีเซียโดยไม่ทันส่งเสียงเลยแม้แต่น้อย

เกรงว่านั่นคงจะเป็นการข่มขู่อย่างตรงไปตรงมา ว่าลำคอเช่นนี้เธอสามารถใช้มือเปล่าหักมันได้ทุกเมื่อ

มาริเอลตัวสั่นสะท้าน สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เรียกว่าอันตรายถึงชีวิต แล้วก็รู้ซึ้ง

 

ว่าไม่สามารถต่อกรได้

 

ต่อให้รวบรวมกำลังพลมาได้หนึ่งกองพันจริง เฮเลนาก็คงจะเป็นฝ่ายชนะอย่างท่วมท้นอยู่ดี

ด้วยพลังยุทธนั้นที่เหนือชั้นเกินไปจนเทียบไม่ติด

ด้วยจุดยืนในฐานะบุคคลเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับความรักใคร่โปรดปรานของจักรพรรดิ

และเหนือสิ่งอื่นใด คือความงดงามนั้น

 

เพราะอย่างนั้นเอง

 

“เฮ้อ……”

 

มาริเอลถอนใจเฮือกใหญ่

ใช่แล้ว ในวันนั้น—ในตอนจบของงานเลี้ยงน้ำชา หลังจากได้สัมผัสถึงอันตรายต่อชีวิตครั้งนั้น

เธอก็ไม่อาจหยุดเสียงร่ำร้องที่ดังกังวานในอกนี้ได้เลย

 

“ขอเรียกว่าท่านพี่หญิงได้ไหมนะ”

 

“แบบนั้นน่าจะแย่นะคะ”

 

“ถ้าเชิญมางานเลี้ยงน้ำชา เธอจะยอมมาไหมนะ”

 

“ก็คราวก่อนทำเสียมารยาทไปซะขนาดนั้นนี่นะ……”

 

มาริเอล

ได้ถูกตัวตนที่เหนือกว่าอย่างท่วมท้นนั้น กลืนกินไปจนหมดสิ้นซะแล้ว

 

หากทำได้ ก็อยากจะไปคุกเข่าสวามิภักดิ์ต่อหน้าซะเดี๋ยวนี้

หากสั่งให้เธอเลียเท้า เธอก็จะทำมันอย่างไม่ลังเล ไม่สิ จะทำมันด้วยความยินดีเลยด้วยซ้ำ

หากบอกว่าจำเป็น มาริเอลก็จะยอมรวบรวบเงินตราทั้งหมดที่เธอหาได้มามอบให้

มาริเอลได้ถูกเฮเลนาช่วงชิงหัวใจไป—จนถึงขนาดนั้น

 

“อยากจะถวายตำแหน่ง ‘สนมฟ้าดารา’ อะไรนี่คืนแล้วล่ะ”

 

“แบบนั้นมันก็……”

 

“ก็คนที่ฝ่าบาทรักใคร่โปรดปรานคือท่านพี่หญิงนี่นา พระชายาเอกน่ะยังไงก็ต้องเป็นท่านพี่หญิงอยู่แล้ว ดิฉันเองก็เป็นลูกสาวของพ่อค้านะ คิดว่าหากจะขายสินค้าก็ควรจะขายมันในช่วงเวลาที่เหมาะสมสิ”

 

“มันก็ยังไม่แน่นอนหรอกนะคะ อย่างไรก็มี ‘สนมฟ้าจันทรา’ อยู่”

 

“ไม่ว่าดูยังไงเด็กน้อยแบบนั้นก็เอาชนะท่านพี่หญิงไม่ได้หรอก”

 

‘เฮ้อ’ เธอถอนหายใจอีกครั้ง

เกรงว่าภาพลักษณ์ในใจของเฮเลนาที่มีต่อมาริเอลมันคงจะเลวร้ายที่สุดไปเสียแล้วล่ะมั้ง

ดังนั้น ตอนที่เห็นเห็นชาร์ลอตเตกับเฮเลนากำลังทะเลาะกันอยู่ในสวนระหว่างอาคาร มาริเอลจึงรีบรวบรวมพรรคพวกฝ่ายตนเองแล้วก็มุ่งหน้าไปช่วยเหลือ อย่างน้อยให้เฮเลนามองเธอดีขึ้นมานิดหนึ่งก็ยังดี เธอมุ่งไปในขณะที่ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เช่นนั้น

หลังจัดการกดดันชาร์ลอตเตให้ถอยไปด้วยฝีปากแล้ว เธอก็คิดว่าเฮเลนาน่าจะมองเธอดีขึ้นมาบ้างนิดหน่อยแล้ว แม้ว่าหากดูจากความชาญฉลาดที่เฮเลนาได้แสดงให้เห็นในงานเลี้ยงน้ำชา เธอก็น่าจะสามารถจัดการชาร์ลอตเตได้อย่างง่ายดายด้วยตัวเองอยู่แล้วก็เถอะ

 

เฮเลนาผู้เอ่อล้นไปด้วยความงดงาม เข้มแข็ง และไหวพริบสติปัญญา

กับคู่ต่อสู้เช่นนั้น เด็กน้อยอย่างชาร์ลอตเตไม่มีทางเอาชนะได้อยู่แล้ว

 

“……ทำอย่างไรจึงจะใกล้ชิดสนิทสนมกับท่านพี่หญิงได้นะ”

 

‘เฮ้อ’ เสียงถอนหายใจร้อนแรงไหลผ่านริมฝีปาก

ไม่มีคำตอบให้แก่คำถามนั้น เลทีเซียที่นั่งอยู่ด้วยกันเองก็ไม่พูดอะไรเลย

บางทีเธอคงจะไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ของมาริเอลกระมัง

เพราะหากคิดโดยสามัญสำนึกแล้ว ก็ไม่ควรเฉียดไปใกล้อีกเลยจะดีกว่า

 

ทันใดนั้นเอง

 

“ค คือว่า พระสนมฟ้าดาราคะ”

 

“อะไรรึ?”

 

จู่ ๆ สาวใช้ที่เพิ่งเดินไปทางประตูเมื่อครู่ก็ส่งเสียงเรียกมา

ในมือของเธอนั้น ถือกระดาษหนังแกะแผ่นหนึ่งอยู่

 

“คือว่า……มีกระดาษแบบนี้สอดเข้ามาทางใต้ประตูค่ะ”

 

“มันคืออะไรล่ะ?”

 

“อ เอ่อ ก็……ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันค่ะ”

 

มาริเอลรับเอากระดาษแผ่นนั้นมาจากสาวใช้

ดูเหมือนจะไม่ใช่กระดาษหนังแกะที่คุณภาพดีนัก เป็นของราคาถูกที่หาซื้อได้ทั่วไปในเมือง

บนกระดาษแผ่นนั้น มีข้อความอันเป็นปริศนาที่ถูกเขียนไว้ด้วยลายมือ

 

“……สิ่งนี้ ใครเป็นผู้นำมา?”

 

“อ เอ่อ ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ……”

 

“จงให้สาวใช้ทุกคนออกไปตามหาผู้ที่นำกระดาษแผ่นนี้มาสอดไว้ซะ เหลือนางกำนัลติดห้องไว้รับใช้ดิฉันแค่คนเดียวก็พอแล้ว”

 

“ค ค่ะ!”

 

เมื่อได้ยินคำสั่งของมาริเอล เหล่าสาวใช้ทั้งห้าที่จ้างมาก็พากันออกไปจากห้อง

จากนั้น มาริเอลก็แสยะยิ้มมุมปาก

 

“นี่คงจะเป็น……บัญชาสวรรค์สินะ”

 

ข้อความที่ถูกเขียนไว้บนกระดาษหนังแกะซึ่งมาริเอลถืออยู่นั้นก็คือ

 

[เฮเลนา เรลโนตแฟนคลับ “สมาคมผู้ตามหลังท่านเฮเลนา” กำลังเปิดรับสมัครสมาชิก]

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset