ไหงมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้
หัวใจของเฮเลนาเต็มไปด้วยคำถามเช่นนั้น ดูเหมือนว่าคืนนี้จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ฟาร์มาส ดีล ลูเครเซีย กันเกรฟ จะมาเยือนห้องแห่งนี้ และการที่จักรพรรดิมาที่ห้องหนึ่งในวังหลังมันมีความหมายเช่นไร เฮเลนาเองก็ไม่ใช่เด็กน้อยขนาดที่จะไม่รู้
แน่นอนว่าถึงแม้เธอจะไม่มีประสบการณ์อะไรเลยก็เลยได้แต่จินตนาการ แต่อย่างน้อยมันต้องเป็นอะไรที่ทำกันได้แค่ในความมืดยามค่ำคืนอย่างแน่นอน
เพื่อให้ใจสงบลง เธอจึงทำการวิดพื้นสักสองร้อยครั้งก่อน จากนั้นเฮเลนาจึงปาดเหงื่อบนแก้มของตัวเองออกอย่างลวก ๆ ด้วยมือ
“อืม……”
พอได้ขยับร่างกายแล้วก็รู้สึกโล่งขึ้นมาเล็กน้อย แต่ปัญหาตรงหน้ามันก็ไม่ได้รับการแก้ไขอะไรเลยสักอย่างเดียว
ในเมื่อฝ่าบาทองค์จักรพรรดิจะมาเยือนที่ห้อง อย่างน้อยที่สุดก็คงต้องมีการเตรียมตัวต้อนรับสินะ การต้อนรับก็จำเป็นต้องมีสิ่งของอย่างสุราหรืออาหาร โชคดีที่ตรงมุมห้องมีครัวอย่างง่าย ๆ อยู่ แค่ทำอะไรสักอย่างให้มาทานเล่นก็คงพอแล้วมั้ง
วัตถุดิบทำอาหารก็ไปขอแบ่งมาจากโรงครัว……ไม่สิ ถ้างั้นไปขอให้โรงครัวทำอะไรมาให้เลยมันไม่เร็วกว่ารึไง
ยิ่งคิดก็ยิ่งผิดที่ผิดทางขึ้นไปทุกที เฮเลนาจึงร้อง ‘ฮึ่ยย’ ก่อนจะเลิกใช้ความคิดอีกครั้ง แล้ววิดพื้นเพิ่มเข้าไปอีกร้อยครั้ง
“เอาละ”
หลังจากวิดพื้นไปเสร็จสิ้นรวมทั้งหมดสามร้อยครั้ง เฮเลนาก็ยืนขึ้น
ถึงดูเหมือนฝ่าบาทจะมาหาในคืนนี้ แต่ตอนนี้ยังเป็นช่วงกลางวันที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นสูง มัวกลุ้มใจไปตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
ดังนั้นสมควรทำเรื่องที่ทำได้ในตอนนี้ก่อน
“ก่อนอื่นก็……คงต้องไปกล่าวทักทายรอบ ๆ สินะ”
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กใหม่ก็คือการทักทาย
พวกลูกขุนนางที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบตามใจ พอเข้ามาในกองทัพก็มักจะทำตัวเย่อหยิ่งอยู่ ไม่ยอมแม้แต่จะทักทายรุ่นพี่ ในทางกลับกันลูกขุนนางระดับล่างอย่างวิสเคานต์หรือบารอนมักจะมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการสร้างผลงานในกองทัพเพื่อช่วยเหลือตระกูล จึงวางตัวรักษามารยาทอย่างดีและกล่าวทักทายรุ่นพี่อยู่ไม่เคยขาด
ถ้ามีเด็กใหม่แบบนั้นอยู่สองคน แค่มองทีเดียวก็รู้ชัดแล้วว่ารุ่นพี่จะเอ็นดูใครมากกว่ากัน
แม้แต่เฮเลนาเองก็เคยกลั่นแกล้งลูกขุนนางที่ไร้มารยาท แล้วก็เอ็นดูพลทหารที่ว่านอนสอนง่ายมาเหมือนกัน ในแง่ของมนุษย์สัมพันธ์แล้วการไม่วางตัวเย่อหยิ่งนับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากขนาดนั้นทีเดียว
เพราะฉะนั้น อันดับแรกจึงควรไปกล่าวทักทายรอบ ๆ ก่อน
“งั้นก็เริ่มวนไปจากห้องข้าง ๆ ก็แล้วกัน”
การกล่าวทักทายรอบ ๆ คือการแนะนำตัวตนของตัวเองให้เป็นที่รู้จักพร้อมกับแสดงท่าทีเป็นมิตรให้เห็น เพื่อให้อีกฝ่ายคลายความระแวงลง
เฮเลนาประจำการอยู่ในกองทัพมานานมาก จึงย่อมห่างจากสังคมชนชั้นสูงไปนานมากเช่นกัน คิดว่าพวกขุนนางน่าจะแทบจำเฮเลนากันไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่างน้อยไปแนะนำตัวคราวนี้ให้พอรับรู้ว่า “มีบุตรีขุนนาง (ฮา) แบบนี้อยู่ด้วยนะค้า—” ก็ยังดีล่ะมั้ง
ความจริงแล้วปกติน่าจะต้องพาสาวใช้ไปด้วยอย่างน้อยสักหนึ่งคน แต่เมื่อตอนนี้มีเฮเลนาอยู่คนเดียวก็เลยตัดสินใจไปมันตัวเปล่า ๆ นี่แหละ
และแล้วเมื่อออกจากห้องมาได้ไม่ไกล เฮเลนาก็เจอกับประตูอีกบานที่ลักษณะเหมือนกับประตูทางเข้าห้องเธอ
“ฮู่ว—”
เธอปรับลมหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะเคาะประตู
ไม่นานนักก็มีหญิงสาวคนหนึ่งโผล่ออกมาจากอีกฟากของประตู
“ไม่ทราบว่าท่านคือใครหรือคะ”
“ขออภั……อะแฮ่ม ข้าคือคนที่จะมาอยู่ห้องข้าง ๆ นับตั้งแต่วันนี้ไปน่ะ เจ้าของห้องอยู่ไหม”
ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วเธอคนนี้คงจะเป็นสาวใช้
เครื่องแบบแตกต่างจากหัวหน้านางกำนัลรับใช้ที่เห็นเมื่อกี้ ซึ่งก็แปลว่ามีลำดับศักดิ์ต่ำกว่าเฮเลนา จะพูดจาลดตัวไปสั่ว ๆ ไม่ได้ ตามที่หัวหน้านางกำนัลบอกไว้
เพราะฉะนั้นเฮเลนาก็เลยปรับน้ำเสียงสำเนียงการพูด โดยคำนึงว่าตัวเองคือ ‘สนมฟ้าสุริยา’ ผู้สมควรได้รับการปฏิบัติเสมือนเป็น ‘พระชายา’
สาวใช้ได้ยินถ้อยคำเช่นนั้นของเฮเลนาก็สะดุ้งตัวสั่นไปชั่วขณะ จากนั้นจึงกล่าวว่า ‘กรุณารอสักครู่นะคะ!’ และปิดประตูไป
เธอยืนรออยู่หน้าประตูสักครู่หนึ่งพลางคิดว่า ‘นี่เราทำอะไรผิดไปรึเปล่านะ’
“ท่านชาร์ลอตเตบอกว่าให้เข้าพบได้ค่ะ! เรียนเชิญด้านในนะคะ!”
ไม่นานนักประตูก็เปิด สาวใช้คนเดิมออกมาอีกครั้งก่อนจะบอกเช่นนั้นกับเฮเลนา
ด้านในคือห้องที่ค่อนข้างกว้างขวาง แปลนห้องไม่แตกต่างจากห้องของเฮเลนา ภายในห้องก็มีโต๊ะที่วางขนาบไว้ด้วยโซฟาแบบนั่งคนเดียวซึ่งหันหน้าเข้าหากัน เหมือนกับห้องของเฮเลนาไม่มีผิด
ถ้าจะให้ไล่เรียงจุดที่แตกต่างออกมาดูล่ะก็
คงจะเป็นการที่มีสาวสวยคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟาพลางถือถ้วยชาอยู่อย่างสง่างาม
กับการที่รอบกายเธอคนนั้นรายล้อมไปด้วยสาวใช้ถึงสิบคนด้วยกัน
“ยินดีต้อนรับสู่ห้องของดิฉันค่ะ บุตรีมาร์ควิสเรลโนต……หรือควรเรียกว่า ‘พระสนมฟ้าสุริยา’ ดีคะ?”
“ตามที่สะดวกค่ะ”
“ยังไงก็เชิญนั่งก่อนนะคะ ใครก็ได้ไปเอาชามาเสิร์ฟพระสนมฟ้าสุริยาทีสิ”
เธอเชื้อเชิญให้เฮเลนานั่งลงตรงโซฟาจากนั้นจึงออกคำสั่งกับสาวใช้ กิริยาท่าทางนั้น เรียกได้ว่าช่างสมกับเป็นบุตรีขุนนางเสียจริง ทุก ๆ อิริยาบถล้วนมีความสง่างามซึมซาบออกมา
ทว่า
“รู้จักชื่อของข้าด้วยหรือคะ?”
“รู้สิคะ ท่านเฮเลนา เรลโนตใช่ไหมล่ะ? บุตรีของที่ปรึกษาหลวงแอนตัน เรลโนต แล้วก็ได้ยินมาว่าเป็นทหารด้วย ไม่เคยเห็นท่านในงานเลี้ยงต่าง ๆ มาก่อนเลย เราเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกสินะคะ”
“งั้นหรือคะ กล่าวไปแล้วก็น่าเสียดาย แต่ข้าเพียงแค่มาทักทายเพื่อนบ้านเท่านั้น จึงยังไม่รู้ชื่อของท่านเลย ได้โปรดช่วยบอกทีได้ไหมคะ?”
‘กึก’ คิ้วของบุตรีขุนนางตรงหน้ากระตุกเบา ๆ
ทั้งที่แค่บอกไปตามตรงว่าไม่รู้แท้ ๆ แต่เหมือนเธอจะเริ่มระแวงทางนี้ขึ้นมา แถมยังมีท่าทีที่เปลี่ยนไปแสดงความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน
“นั่นสินะคะ ทางนี้ก็แค่รู้จักอยู่เอาเองฝ่ายเดียว เพราะเรื่องที่ว่าใครจะได้ครองตำแหน่ง ‘สนมฟ้าสุริยา’ เพิ่งจะเป็นหัวข้อสนทนาในปาร์ตี้น้ำชาเมื่อไม่นานมานี้น่ะค่ะ นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่มาจะเป็นถึงบุตรีของที่ปรึกษาหลวงเองแบบนี้”
“อืม”
“ขอเสียมารยาทนะคะ แต่ได้ยินมาว่าท่านอายุยี่สิบแปดแล้ว เข้ามายังวังหลังด้วยวัยเช่นนั้น ท่านมาร์ควิสเรลโนตไม่ได้ห้ามปรามท่านหรือคะ? ฝ่าบาททรงมีพระชนมายุสิบแปดปี พระสนมที่อายุมากกว่าตั้งสิบปีเนี่ยมันออกจะ……”
บุตรีขุนนางใช้ชายเสื้อของชุดเดรสที่ดูอ่อนพลิ้วปิดบังริมฝีปากของตนพลางหัวเราะคิกคัก
‘เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่างมันดิ รีบ ๆ บอกชื่อมาซะที’ เฮเลนาคิดแบบนั้นแต่พูดออกไปไม่ได้ก็เลยได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ กลับคืนไป
ไม่รู้จะยังไงต่อดีก็เลยยกชาขึ้นจิบซักอึกก่อนละกัน และน่าเสียดายว่าเฮเลนานั้นแยกไม่ออกสักนิดว่าชาดีไม่ดีมันเป็นยังไง
“ชานั่นเป็นอย่างไรบ้างคะ? ที่จริงแล้วดิฉันได้มันมาจากท่าเรือพาณิชย์อัลมาโรสน่ะค่ะ ความหวานที่มาพร้อม ๆ กับรสฝาดนี้กำลังเป็นที่นิยมในปาร์ตี้น้ำชาช่วงนี้เลยทีเดียว อ้อ แล้วก็……”
“อยากให้ช่วยกรุณาบอกชื่อมาสักทีจะได้ไหมคะ”
เฮเลนาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อยกับหัวข้อสนทนาไร้สาระที่เรียงต่อกันมาไม่หยุดหย่อน จึงกล่าวเช่นนั้นกับบุตรีขุนนาง
เธอผสมรังสีฆ่าฟันออกไปด้วยเล็กน้อย โดยตั้งใจแค่จะบอกว่าคำขอนี้ห้ามปฏิเสธ แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้ริมฝีปากที่ช่างพูดของบุตรีขุนนางตรงหน้าหุบลงแล้ว
เฮเลนานั้นไม่รู้ตัว ว่ารังสีฆ่าฟันของเธอผู้อยู่ในสนามรบมามากกว่าสิบปีมันแหลมคมขนาดทำให้คนขวัญอ่อน ๆ หมดสติไปได้เลย
“……น นั่นสินะคะ ลืมพูดไปซะได้ ดิฉันคือลูกสาวคนที่สามของเคานต์ฟิลิป เอียนสเวิร์ธ ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของอำมาตย์แผ่นดินมาร์ควิสอับราฮัม โนลด์ลุนด์ นามว่าชาร์ลอตเต เอียนสเวิร์ธค่ะ หรือก็คือเป็นหลานสาวของมาร์ควิสโนลด์ลุนด์น่ะค่ะ”
“โฮ่ คุณคือท่านชาร์ลอตเตเองหรือคะ”
“ใช่ค่ะ แต่ว่ากับพระสนมฟ้าสุริยาแล้ว แนะนำตัวแบบนี้น่าจะดีกว่ากระมัง? ดิฉันคือผู้ได้รับตำแหน่ง ‘สนมฟ้าจันทรา’ ยังไงล่ะค่ะ”
ท่าทางตอนยิ้มและหัวเราะเบา ๆ นั้นช่างสมกับที่ได้ชื่อว่าโฉมงามอันเลื่องลือแม้แต่ในสังคมชั้นสูง
ถ้าจำไม่ผิดตามที่แอนตันเคยบอกไว้ เธอมีอายุเพียงแค่สิบหกปี แต่กลับมีความงดงามเช่นนี้แล้ว ต่อให้เป็นฝ่าบาทจักรพรรดิเองก็คงจะตกหลุมรักในทันทีแน่ ๆ
แต่ถึงกระนั้นก็ยังเยาว์วัยเป็นเด็กน้อยนัก
ตัวเฮเลนาไม่ได้ใส่ใจโกรธเคืองอะไรเป็นพิเศษ แต่นั่นก็เพราะเฮเลนามีความเป็นนักรบคนหนึ่งมากกว่าความเป็นบุตรีมาร์ควิส ถ้าสมมุติเป็นบุตรีขุนนางทั่วไป ขืนอีกฝ่ายทำอะไรที่เหมือนกับเมินไม่ยอมตอบคำถามแบบเมื่อกี้ล่ะก็ เธอคงจะต้องโกรธแน่ ๆ
ในฐานะที่อาวุโสตั้งสิบปีกว่า การว่ากล่าวตักเตือนเบา ๆ ก็นับว่าเป็นความหวังดีแบบหนึ่งเช่นกัน
“งั้นหรือคะ งั้นจากนี้ไปก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ พระสนมฟ้าจันทรา”
“ค่ะ ทางนี้ก็ฝากเนื้อฝากตัวเช่นกันค่ะ พระสนมฟ้าสุริยา”
“แต่ขออนุญาตว่ากล่าวอะไรสักคำค่ะ……อย่างน้อยที่สุด ท่าทีแบบเมื่อสักครู่เนี่ยไม่ดีเลยนะคะ การกระทำที่โฉ่งฉ่างแบบนั้นน่ะ คนบางคนอาจจะรู้สึกไม่ดีกับมันก็ได้”
ตำแหน่งคือ “สนมฟ้าสุริยา” กับ “สนมฟ้าจันทรา”
ฐานันดรศักดิ์คือบุตรีมาร์ควิสกับบุตรีเคานต์
อายุคือยี่สิบแปดกับสิบหก
ไม่ว่าด้านไหนเธอก็ทัดเทียมหรือสูงกว่าทั้งหมด ดังนั้นว่ากล่าวตักเตือนสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรมั้ง
ทว่า—–ชาร์ลอตเตกลับขมวดคิ้วอย่างเปิดเผย
“แล้วอีกอย่าง ดูเหมือนว่าจะมีสาวใช้เยอะมากเลยนะคะ……ถ้าจำไม่ผิดกฎของวังหลังอนุญาตให้มีผู้ติดตามได้หนึ่งคนเท่านั้น ไม่ใช่หรือคะ?”
“……เป็นสาวใช้ที่ใต้เท้าอำมาตย์แผ่นดินส่งมาเพราะคิดว่าเพียงแค่คนเดียวคงปกป้องดิฉันไม่ได้น่ะคะ”
“ฟังดูแปลก ๆ นะคะ ในวังหลังที่เป็นเหมือนสิ่งแสดงพระบารมีของฝ่าบาทย่อมไม่มีอันตรายใดถึงชีวิตอยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าเกิดจะบอกว่าฝ่าบาทพึงพอใจหญิงสาวที่เกียจคร้านไม่มีปัญญาแม้แต่จะดูแลตัวเอง แบบนั้นมันก็ช่วยไม่ได้สินะคะ”
“……! ต แต่ว่า การมายังวังหลังโดยไม่มีสาวใช้ติดตามแม้แต่คนเดียวมันก็ไม่งาม”
“ข้ามีคติว่าตัวของตัวเองก็ต้องปกป้องดูแลด้วยตัวเองได้น่ะ……เอาล่ะ งั้นก็ขอตัวก่อนนะคะ จากนี้ไปเราจะมาเป็นเพื่อนข้างห้องกันแล้ว เพราะงั้นฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ”
‘โธ่เอ้ย’ เฮเลนาได้แต่แลบลิ้นเสียดายอยู่ในใจ
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากญาติดีกันไว้ แต่ดูเหมือนที่ตักเตือนไปตอนสุดท้ายจะทำพลาดไปซะแล้ว เด็กผู้หญิงที่เพิ่งจะอายุสิบหกคงจะยังแยกแยะระหว่างการตักเตือนกับการถากถางไม่ได้ล่ะมั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น ทำผิดกฎชัดแจ้งซะขนาดนั้นมันสะดุดตาสุด ๆ เลยนี่นา เลยตั้งใจจะบอกว่า ‘ถ้าหัวหน้านางกำนัลมาเห็นเข้าจะแย่เอาน้า—’ แต่ก็ไม่รู้มันสื่อไปถึงรึเปล่าแฮะ
จนกระทั่งออกมาพ้นจากห้องของ ‘สนมฟ้าจันทรา’
ในใจของเฮเลนาก็ยังเต็มไปด้วยความคิดไร้สาระพวกนั้น โดยไม่ได้รู้สึกถึงแววตาอันแหลมคมแฝงด้วยจิตอาฆาตที่ส่งมาจนกระทั่งเธอออกไปจากห้องแม้แต่น้อย