“อ๊ะ!? ม ไม่สิ ข ขออภัยค่ะพระสนมฟ้าสุริยา! ไม่นึกว่าท่านจะมาอยู่ที่นี่ได้ เลยเผลอพลั้งปากไปค่ะ!”
“อ่า……ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”
บุตรีขุนนางที่น่าจะเป็นสหายของฟรองซัวส์ขอโทษขอโพยยกใหญ่ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ แถมยังก้มศีรษะต่ำจนแทบจะหมอบลงไปกับพื้นอยู่แล้ว
ความจริงเฮเลนาก็ไม่ได้ถือสาอะไรเป็นพิเศษ ไอ้คนที่เห็นหน้าเธอปุ๊บก็โผล่งออกมาว่า “กึ๋ย!” เนี่ย เธอเจอในสนามรบจนชินแล้ว เพราะวีรกรรมของเฮเลนามันโด่งดังไปถึงประเทศรอบข้างพอสมควร แค่เห็นตัวเธอทหารก็พากันสั่นสะท้านหวาดกลัวกันหมด
“ย อย่างน้อยได้โปรดละเว้นชีวิตด้วยเถอะค่ะ! บ บิดามารดาที่ส่งข้าเข้าวังหลังบอกว่าไม่ต้องได้รับความรักใคร่โปรดปรานก็ได้ แค่รอดกลับมาอย่างปลอดภัยก็พอค่ะ! น แน่นอนว่าข้าเองก็รู้ว่าที่กล่าวไปมันเสียมารยาทมาก แต่อย่างน้อยได้โปรดช่วยละเว้นชีวิตด้วยเถอะค่ะ!”
“เอ่อ……”
“จ จะอย่างไรข้าก็ได้รับตำแหน่ง ‘ผู้ไพเราะ’ ที่เป็นหนึ่งใน ‘เก้าสนมเอก’ มาค่ะ! น แน่นอนข้าก็รู้ดีว่ามันเป็นตำแหน่งที่เกินตัวไปมาก แต่ฟรองซัวส์ที่มีตำแหน่งเท่ากันเป็น ‘ผู้มีความสามารถ’ นั้น ไม่มีเพื่อนคนอื่นเลยนอกจากข้าค่ะ! ถ้าข้าถูกประหารเธอคนนั้นจะต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย! ได้โปรด! ได้โปรด! เมตตาด้วย!”
“อ่า……”
บุตรีขุนนางคนนี้เธอเห็นเฮเลนาเป็นตัวอะไรกันแน่นะ
ต่อให้เฮเลนามีตำแหน่งเป็น “สนมฟ้าสุริยา” ผู้มีสิทธิ์ได้เป็นชายาเอกอย่างไร ก็ไม่มีสิทธิ์จะสั่งประหารด้วยเหตุผลเพียงแค่ “นางสนมคนนี้มันเสียมารยาท” อยู่แล้ว และถึงจะมีสิทธิ์ก็ไม่ทำหรอก
ทั้งที่เป็นแบบนั้น เด็กสาวคนนี้กลับกล่าวแบบนั้นไม่หยุดด้วยท่าทีหวาดกลัว ราวกับเฮเลนาเป็นร่างจุติของยมทูตหรือปิศาจกินคนก็มิปาน
ควรจะรับมือยังไงดีเนี่ย
“ก่อนอื่น……เจ้าชื่ออะไรรึ?”
“อ๊ะ! ค่ะ! ข้าคือลูกสาวคนที่สามของตระกูลเคานต์เออร์เนมันน์ ชื่อว่าคลาริสซา เออร์เนมันน์ค่ะ! บ บิดาของข้า เคานต์อาโนลด์ เออร์เนมันน์ มีสังกัดในราชสำนักอยู่ในฝ่ายของที่ปรึกษาหลวงแอนตัน เรลโนตด้วยค่ะ!”
“……เออร์เนมันน์?”
“ค ค่า! ได้โปรด! ได้โปรดเมตตาด้วย!”
เริ่มรู้สึกรำคาญที่จะเสวนาด้วยขึ้นมานิด ๆ แต่นามสกุลที่ออกมาจากปากของคลาริสซานั้น เฮเลนาค่อนข้างคุ้นเคยเลยทีเดียว
ตระกูลเคานต์เออร์เนมันน์
เป็นตระกูลขุนนางข้าราชการที่ทำงานเกี่ยวกับด้านการคลังมาหลายต่อหลายรุ่น และยังอยู่ภายใต้ฝ่ายการเมืองของแอนตันอีกด้วย เฮเลนาเองก็เคยได้ยินชื่อมาจากแอนตันอยู่หลายครั้ง
ทว่าที่โด่งดังกว่านั้น คือบุรุษผู้หนึ่งที่มีวีรกรรมการต่อสู้โดดเด่นทั้งที่มาจากสายตระกูลข้าราชการพลเรือนดังกล่าว
“……ญาติของท่านลุดวิก เออร์เนมันน์งั้นรึ?”
“ค ค่ะ! ลุดวิกเป็นอาของข้าค่ะ!”
“โอ้ งั้นหรือเนี่ย! ท่านลุดวิกก็เคยเป็นธุระให้ข้าอยู่ ตอนนี้อยู่ในวังหลังก็เลยพบกันไม่ได้ แต่ได้พบกับเครือญาติที่นี่เช่นนี้ก็คงเป็นโชคชะตาสินะ”
“……เอ๊ะ?”
คลาริสซาอ้าปากค้างไปทั้งแบบนั้น
ทว่าเฮเลนาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจและกล่าวต่อไป
“ ‘ขุนศึกอาชาขาว’ ท่านลุดวิก เออร์เนมันน์คนนั้นน่ะ ข้าเคยฝึกวิชาขี่ม้าร่วมกับเขาอยู่หลายครั้งเลยล่ะ ตำแหน่ง ‘ขุนศึกอาชาขาว’ จะมอบให้กับผู้ที่เก่งกาจวิชาขี่ม้าที่สุดและเชี่ยวชาญในการนำทัพทหารม้าที่สุดเท่านั้น ท่านลุดวิกจึงเป็นผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมมากทีเดียว”
“ห หา……เอ่อ งั้นหรือ คะ?”
“ใช่ ข้าเองก็พอมั่นใจการใช้ม้าของตัวเองอยู่บ้าง แต่คนที่ไม่ว่าจะม้าเลวแบบไหนก็ขี่มันได้เหมือนกับม้าฝีเท้าเยี่ยมน่ะคงจะมีแต่ท่านลุดวิกนั่นแหละ ในการจำลองการต่อสู้ระหว่างทัพทหารม้าด้วยกันเองข้าก็ไม่เคยเอาชนะเขาได้เลยสักครั้ง คำกล่าวที่ว่า ‘คนม้ารวมเป็นหนึ่ง’ มันคงมีไว้เรียกคนอย่างเขานี่แหละ เป็นแม่ทัพที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ”
“อ เอ๋……ค คนคนนั้น น่ะหรือคะ……?”
คลาริสซาทำหน้าเบ้อย่างเห็นได้ชัด
“ขุนศึกอาชาขาว” ลุดวิกเป็นผู้มีฝีมือคู่ควรกับตำแหน่งนั้น เป็นแม่ทัพที่หากปะทะกันบนพื้นดินตัวต่อตัวเฮเลนาก็อาจจะแกร่งกว่า ทว่าหากเป็นการต่อสู้บนหลังม้าด้วยกัน แม้แต่ “ขุนศึกหมีน้ำเงิน” บาร์โตโลเมเองก็อาจจะด้อยกว่าเขาก้าวหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
แม้ลักษณะนิสัยจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ก็เก่งกาจในด้านกลยุทธ โดดเด่นในวิชาขี่ม้า โดยเฉพาะฝีมือฉกาจในการบัญชาทัพทหารม้านั้น คงเรียกได้ว่าช่างเหมาะสมกับชื่อ “ขุนศึกอาชาขาว” อย่างถึงที่สุด
“หืม? ไม่ค่อยรู้จักมักคุ้นกับท่านลุดวิกงั้นรึ?”
“ข ขออภัยค่ะ……คือว่า ตั้งแต่เกิดมา……ข้าเคยได้พบกับท่านอาแค่สองครั้งเอง”
“อ่า……เขาเป็นคนแบบนั้นนี่นะ”
เฮเลนายิ้มแห้ง ๆ
แม้ลุดวิกจะเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจ แต่ที่น่าเสียดายยิ่งกว่านั้นคือเขาขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ มักจะเข้าไปเดินเตร็ดเตร่ในกองกำลังอัศวินหมาป่าเงินที่มีแต่สตรีบ่อย ๆ และส่วนมากทุกคนก็จะบอกว่าเห็นเขากำลังไล่จีบอัศวินหญิงไปเรื่อยอยู่
บ่อยครั้งที่ก่อปัญหาเนื่องมาจากความสัมพันธ์กับสตรี จนถึงกับมีประวัติว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเคยโดนลดขั้นลงจากตำแหน่ง “ขุนศึกอาชาขาว” เพราะปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่ยังไงเสียก็ไม่มีผู้ใดโดดเด่นในด้านการบัญชาทัพทหารม้ามากไปกว่าเขาอยู่ดี สุดท้ายเขาก็เลยได้กลับมาเป็น “ขุนศึกอาชาขาว” อีกครั้ง
คลาริสซาเองก็คงไม่ได้หน้าหนาขนาดจะพูดได้อย่างเปิดเผยว่าเธอมีคนเช่นนั้นเป็นอากระมัง
“จะว่าไป ข้าคิดว่าที่นี่คือห้องของฟรองซัวส์นะ”
“ช ใช่ค่ะ! ที่นี่คือห้องของฟรองซัวส์ค่ะ!”
“แล้วทำไมไม่เห็นฟรองซัวส์เลยล่ะ”
“ค่ะ! ตอนนี้เธอกำลังไปที่โรงครัวค่ะ! เห็นเธอบอกว่าไม่มีขนมก็เลยจะขอแบ่งมาจากโรงครัวน่ะค่ะ!”
“……ไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยนะ โรงครัวเองก็ใช่ว่าจะมีขนมด้วย”
“ม ไม่มีหรือคะ!?”
“ก็ลองนึกดูสิ ขนาดอาหารทั้งสามมื้อยังต้องทดสอบพิษก่อนค่อยส่งมาได้เลย หากเป็นขนมซึ่งไม่ได้ทดสอบพิษอะไรก็ยิ่งไม่ยอมมอบให้โดยง่ายอยู่แล้วล่ะ”
เมื่อได้ฟังการกระทำของฟรองซัวส์ เฮเลนาก็อดถอนใจไม่ได้
ดูเหมือนฟรองซัวส์คงคิดว่าอุตส่าห์เชิญเฮเลนามาทั้งทีก็เลยอยากจะเตรียมขนมให้ด้วยกระมัง แค่ความรู้สึกเฮเลนาก็ดีใจแล้วล่ะ
ทว่าสายตาที่คลาริสซาส่งมาให้กับเฮเลนานั้น คือสายตาที่ค่อนข้างหวาดระแวง
“ค คือว่า……พระสนมฟ้าสุริยา ทำไมถึงมาที่นี่หรือคะ……?”
“หืม? ฟรองซัวส์ไม่ได้บอกงั้นหรือ?”
“ค ค่ะ! ไม่ได้บอกอะไรเลย……”
อืม ดูจากท่าทางตกใจเมื่อครู่แล้ว คงจะไม่รู้เรื่องอะไรจริง ๆ สินะ
บางทีฟรองซัวส์อาจจะอยากเก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์ก็ได้ แล้วก็น่าเสียดายที่เฮเลนาดันมาถึงในตอนที่เจ้าตัวฟรองซัวส์ไม่อยู่พอดี เลยกลายเป็นว่าไม่มีใครที่จะคอยแก้ไขความเข้าใจผิดให้ สถานการณ์มันน่าจะเป็นเช่นนั้น
จังหวะนี้เฮเลนาจึงได้มองดูคลาริสซาอีกครั้ง
ในด้านรูปลักษณ์แล้ว เธอดูอายุมากกว่าฟรองซัวส์ประมาณหนึ่งหรือสองปีได้ แม้จะมีความอ่อนเยาว์แบบเด็กหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็มีความเป็นผู้หญิงที่เริ่มแตกหน่อแล้วเช่นเดียวกัน
เค้าโครงใบหน้าหากเทียบกับฟรองซัวส์แล้วทางนั้นอาจดูครบครันกว่า แต่ทางนี้เองก็ดูดีไม่แพ้กัน หางตาของเธอชี้ขึ้นเล็กน้อย ทำให้โดยรวมแล้วสัมผัสได้ถึงความเด็ดเดี่ยวใจแข็งอยู่บ้างในแววตา แต่จะว่าไปเฮเลนาเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปวิจารณ์เรื่องตาดุกับคนอื่นล่ะนะ
และในห้องนี้ก็มีโซฟาที่คลาริสซานั่งอยู่ กับโซฟาตัวหนึ่งที่วางอยู่ตรงข้ามกัน และสุดท้ายคือเก้าอี้ไม้ที่ค่อนข้างเก่าอีกตัวหนึ่ง
ที่ฟรองซัวส์บอกว่า “จะเตรียมเก้าอี้ไว้ให้นะคะ!” คงจะหมายถึงเก้าอี้ตัวนี้แน่เลยสินะ
“อืม……เอาเถอะ ให้ข้าเป็นคนพูดเองก็อาจจะแปลก ๆ แต่วันนี้ข้าได้รับเชิญจากฟรองซัวส์ให้มาร่วมงานเลี้ยงน้ำชาน่ะ”
“ฟ ฟรอง เชิญพระสนมฟ้าสุริยาหรือคะ!?”
“ใช่ ข้าไม่มีธุระอื่นเป็นพิเศษก็เลยมา……แต่ว่ามันทำให้เดือดร้อนงั้นรึ?”
“ม ไม่มีทางเดือดร้อนหรอกค่ะ! ช เชิญนั่งได้เลยค่ะ!”
“อืม งั้นก็ขออนุญาต”
เฮเลนาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่ค่อนข้างเก่า
มันคงจะเป็นของที่ไม่ได้มีราคามากนัก เพียงแค่นั่งลงไปก็เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบา ๆ
“พ พระสนมฟ้าสุริยาคะ นั่งเก้าอี้เช่นนั้น!”
“ปกติแล้วคุณหนูคลาริสซากับฟรองซัวส์จัดงานเลี้ยงน้ำชากันสองคนใช่ไหม?”
“ค ค่ะ……ก็ใช่ค่ะ……”
“เช่นนั้นแล้ว ข้าก็ได้ฟังมาว่าพวกเจ้ามักจัดกันในห้อง แล้วข้าก็ได้รับเชิญจากฟรองซัวส์จึงได้มายังห้องนี้ โดยที่เธอได้บอกว่าจะเตรียมเก้าอี้ไว้ให้น่ะ”
ฟรองซัวส์อุตส่าห์ตั้งใจเตรียมให้แล้วนี่นา
อีกอย่างหนึ่ง เดิมทีเฮเลนาก็ไม่ค่อยชอบโซฟาอยู่แล้ว เพราะร่างกายมันจมลึกเกินไปทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้ทันทีในเวลาที่จำเป็น
“แปลว่า เก้าอี้ตัวนี้คือเก้าอี้ที่ฟรองซัวส์ได้ตระเตรียมไว้เพื่อข้านั่นเอง ก็เป็นธรรมดาที่ข้าจะนั่งไม่ใช่รึ?”
“……”
เก้าอี้ราคาถูกแบบที่ใช้กันในกระโจมสนามรบมันคุ้นชินก้นมากกว่า ดังนั้นเฮเลนาก็เลยแค่ชอบเก้าอี้ราคาถูกแบบนี้เท่านั้นเอง ชอบขนาดที่แม้ไม่รู้ว่าฟรองซัวส์ไปเอามาจากไหน แต่เฮเลนาก็ชักอยากจะขอยืมไว้สักตัวเหมือนกัน
ทว่าคลาริสซาย่อมไม่มีทางรู้ถึงความเคยชินแบบนั้นของเฮเลนา
ดังนั้นเธอจึงเบิกตากว้างด้วยความตะลึง
“ข้า ต้องขออภัยด้วยค่ะ”
“เป็นอะไรไปรึ?”
“เปล่าค่ะ……ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าท่านเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง ถึงขนาดยอมรับความรู้สึกของฟรองอย่างซื่อตรง และยอมนั่งบนเก้าอี้ที่ไม่คุ้นชินเช่นนั้นด้วย……”
“หืม……?”
“สิ่งที่ผู้อื่นอุตส่าห์ตระเตรียมมาเพื่อตนเอง แปลว่าไม่มีสิ่งใดจะคู่ควรกับตนเองมากไปกว่านั้นอีกแล้ว……ความคิดที่สูงส่งงดงามแบบนั้น……ดูเหมือนข้าจะมองพระสนมฟ้าสุริยาผิดมาตลอดเลยค่ะ”
ใจกว้างมั่งล่ะ สูงส่งมั่งล่ะ เฮเลนาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูเหมือนอะไรสักอย่างมันจะทำให้คลาริสซาซาบซึ้งใจแฮะ
หากมันช่วยให้พวกเธอลดระยะห่างระหว่างกันได้ งั้นก็ช่างมันไปละกัน
ทันใดนั้นเอง ประตูก็เปิดออก
“กลับมาแล้วค่ะ! คลาริสซา! อ๊ะ ท ท่านเฮเลนา! ขออภัยค่ะ! ปล่อยให้รอซะแล้ว!”
ผู้ที่มาปรากฏตัวคือฟรองซัวส์
เกรงว่าคงจะโดนโรงครัวปฏิเสธอย่างไร้เยื่อไยกลับมาแล้วกระมัง
ทีแรกก็คิดแบบนั้น—ทว่าในมือเธอมันกลับมีกล่องเล็ก ๆ อยู่
“ท่านเฮเลนาคะ! โปรดดีใจได้เลยค่ะ! ข้าได้รับขนมมาแล้วค่ะ!”
“……เอ๋?”
“แถมยังเป็นขนมจากร้านที่ทำหน้าที่จัดหาให้ราชวงศ์โดยเฉพาะด้วยค่ะ! ได้โปรดเชิญทานได้เลยนะคะ! อ๊ะ เดี๋ยวข้าชงชาให้ค่ะ!”
สิ่งที่ถูกวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้า ก็คือของจากร้านขายขนมชั้นหนึ่งในนครหลวง เป็นร้านสุดโด่งดังขนาดที่เฮเลนาผู้ไม่ค่อยได้ทานของหวานยังรู้จัก แน่นอนว่าราคาของมันก็สาหัสตามตัว
ดังนั้นนี่จึงเป็นของดีหายากที่เฮเลนาเองก็ไม่เคยได้ทานมาก่อนเลย—
“……ฟรองซัวส์”
“ค่ะ!”
“ทำไมถึงมีสิ่งนี้……?”
“ค่ะ! มีคนใจดีแบ่งมาให้ค่ะ!”
รอยยิ้มเจิดจ้าไร้เดียงสาของฟรองซัวส์
ทำให้เธอชะงักงันไป
“……งั้นรึ”
เฮเลนาจึงตัดสินใจหยุดซักไซ้ติดตามเรื่องราวไปกว่านี้
และแล้ว งานเลี้ยงน้ำชาที่มีเพียงสามคนก็ได้เริ่มขึ้นในที่สุด