(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 47: การเสียมารยาทของ “ผู้ไพเราะ”

 

“อ๊ะ!? ม ไม่สิ ข ขออภัยค่ะพระสนมฟ้าสุริยา! ไม่นึกว่าท่านจะมาอยู่ที่นี่ได้ เลยเผลอพลั้งปากไปค่ะ!”

 

“อ่า……ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”

 

บุตรีขุนนางที่น่าจะเป็นสหายของฟรองซัวส์ขอโทษขอโพยยกใหญ่ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ แถมยังก้มศีรษะต่ำจนแทบจะหมอบลงไปกับพื้นอยู่แล้ว

ความจริงเฮเลนาก็ไม่ได้ถือสาอะไรเป็นพิเศษ ไอ้คนที่เห็นหน้าเธอปุ๊บก็โผล่งออกมาว่า “กึ๋ย!” เนี่ย เธอเจอในสนามรบจนชินแล้ว เพราะวีรกรรมของเฮเลนามันโด่งดังไปถึงประเทศรอบข้างพอสมควร แค่เห็นตัวเธอทหารก็พากันสั่นสะท้านหวาดกลัวกันหมด

 

“ย อย่างน้อยได้โปรดละเว้นชีวิตด้วยเถอะค่ะ! บ บิดามารดาที่ส่งข้าเข้าวังหลังบอกว่าไม่ต้องได้รับความรักใคร่โปรดปรานก็ได้ แค่รอดกลับมาอย่างปลอดภัยก็พอค่ะ! น แน่นอนว่าข้าเองก็รู้ว่าที่กล่าวไปมันเสียมารยาทมาก แต่อย่างน้อยได้โปรดช่วยละเว้นชีวิตด้วยเถอะค่ะ!”

 

“เอ่อ……”

 

“จ จะอย่างไรข้าก็ได้รับตำแหน่ง ‘ผู้ไพเราะ’ ที่เป็นหนึ่งใน ‘เก้าสนมเอก’ มาค่ะ! น แน่นอนข้าก็รู้ดีว่ามันเป็นตำแหน่งที่เกินตัวไปมาก แต่ฟรองซัวส์ที่มีตำแหน่งเท่ากันเป็น ‘ผู้มีความสามารถ’ นั้น ไม่มีเพื่อนคนอื่นเลยนอกจากข้าค่ะ! ถ้าข้าถูกประหารเธอคนนั้นจะต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย! ได้โปรด! ได้โปรด! เมตตาด้วย!”

 

“อ่า……”

 

บุตรีขุนนางคนนี้เธอเห็นเฮเลนาเป็นตัวอะไรกันแน่นะ

ต่อให้เฮเลนามีตำแหน่งเป็น “สนมฟ้าสุริยา” ผู้มีสิทธิ์ได้เป็นชายาเอกอย่างไร ก็ไม่มีสิทธิ์จะสั่งประหารด้วยเหตุผลเพียงแค่ “นางสนมคนนี้มันเสียมารยาท” อยู่แล้ว และถึงจะมีสิทธิ์ก็ไม่ทำหรอก

ทั้งที่เป็นแบบนั้น เด็กสาวคนนี้กลับกล่าวแบบนั้นไม่หยุดด้วยท่าทีหวาดกลัว ราวกับเฮเลนาเป็นร่างจุติของยมทูตหรือปิศาจกินคนก็มิปาน

ควรจะรับมือยังไงดีเนี่ย

 

“ก่อนอื่น……เจ้าชื่ออะไรรึ?”

 

“อ๊ะ! ค่ะ! ข้าคือลูกสาวคนที่สามของตระกูลเคานต์เออร์เนมันน์ ชื่อว่าคลาริสซา เออร์เนมันน์ค่ะ! บ บิดาของข้า เคานต์อาโนลด์ เออร์เนมันน์ มีสังกัดในราชสำนักอยู่ในฝ่ายของที่ปรึกษาหลวงแอนตัน เรลโนตด้วยค่ะ!”

 

“……เออร์เนมันน์?”

 

“ค ค่า! ได้โปรด! ได้โปรดเมตตาด้วย!”

 

เริ่มรู้สึกรำคาญที่จะเสวนาด้วยขึ้นมานิด ๆ แต่นามสกุลที่ออกมาจากปากของคลาริสซานั้น เฮเลนาค่อนข้างคุ้นเคยเลยทีเดียว

ตระกูลเคานต์เออร์เนมันน์

เป็นตระกูลขุนนางข้าราชการที่ทำงานเกี่ยวกับด้านการคลังมาหลายต่อหลายรุ่น และยังอยู่ภายใต้ฝ่ายการเมืองของแอนตันอีกด้วย เฮเลนาเองก็เคยได้ยินชื่อมาจากแอนตันอยู่หลายครั้ง

ทว่าที่โด่งดังกว่านั้น คือบุรุษผู้หนึ่งที่มีวีรกรรมการต่อสู้โดดเด่นทั้งที่มาจากสายตระกูลข้าราชการพลเรือนดังกล่าว

 

“……ญาติของท่านลุดวิก เออร์เนมันน์งั้นรึ?”

 

“ค ค่ะ! ลุดวิกเป็นอาของข้าค่ะ!”

 

“โอ้ งั้นหรือเนี่ย! ท่านลุดวิกก็เคยเป็นธุระให้ข้าอยู่ ตอนนี้อยู่ในวังหลังก็เลยพบกันไม่ได้ แต่ได้พบกับเครือญาติที่นี่เช่นนี้ก็คงเป็นโชคชะตาสินะ”

 

“……เอ๊ะ?”

 

คลาริสซาอ้าปากค้างไปทั้งแบบนั้น

ทว่าเฮเลนาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจและกล่าวต่อไป

 

“ ‘ขุนศึกอาชาขาว’ ท่านลุดวิก เออร์เนมันน์คนนั้นน่ะ ข้าเคยฝึกวิชาขี่ม้าร่วมกับเขาอยู่หลายครั้งเลยล่ะ ตำแหน่ง ‘ขุนศึกอาชาขาว’ จะมอบให้กับผู้ที่เก่งกาจวิชาขี่ม้าที่สุดและเชี่ยวชาญในการนำทัพทหารม้าที่สุดเท่านั้น ท่านลุดวิกจึงเป็นผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมมากทีเดียว”

 

“ห หา……เอ่อ งั้นหรือ คะ?”

 

“ใช่ ข้าเองก็พอมั่นใจการใช้ม้าของตัวเองอยู่บ้าง แต่คนที่ไม่ว่าจะม้าเลวแบบไหนก็ขี่มันได้เหมือนกับม้าฝีเท้าเยี่ยมน่ะคงจะมีแต่ท่านลุดวิกนั่นแหละ ในการจำลองการต่อสู้ระหว่างทัพทหารม้าด้วยกันเองข้าก็ไม่เคยเอาชนะเขาได้เลยสักครั้ง คำกล่าวที่ว่า ‘คนม้ารวมเป็นหนึ่ง’ มันคงมีไว้เรียกคนอย่างเขานี่แหละ เป็นแม่ทัพที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ”

 

“อ เอ๋……ค คนคนนั้น น่ะหรือคะ……?”

 

คลาริสซาทำหน้าเบ้อย่างเห็นได้ชัด

“ขุนศึกอาชาขาว” ลุดวิกเป็นผู้มีฝีมือคู่ควรกับตำแหน่งนั้น เป็นแม่ทัพที่หากปะทะกันบนพื้นดินตัวต่อตัวเฮเลนาก็อาจจะแกร่งกว่า ทว่าหากเป็นการต่อสู้บนหลังม้าด้วยกัน แม้แต่ “ขุนศึกหมีน้ำเงิน” บาร์โตโลเมเองก็อาจจะด้อยกว่าเขาก้าวหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

แม้ลักษณะนิสัยจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ก็เก่งกาจในด้านกลยุทธ โดดเด่นในวิชาขี่ม้า โดยเฉพาะฝีมือฉกาจในการบัญชาทัพทหารม้านั้น คงเรียกได้ว่าช่างเหมาะสมกับชื่อ “ขุนศึกอาชาขาว” อย่างถึงที่สุด

 

“หืม? ไม่ค่อยรู้จักมักคุ้นกับท่านลุดวิกงั้นรึ?”

 

“ข ขออภัยค่ะ……คือว่า ตั้งแต่เกิดมา……ข้าเคยได้พบกับท่านอาแค่สองครั้งเอง”

 

“อ่า……เขาเป็นคนแบบนั้นนี่นะ”

 

เฮเลนายิ้มแห้ง ๆ

แม้ลุดวิกจะเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจ แต่ที่น่าเสียดายยิ่งกว่านั้นคือเขาขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ มักจะเข้าไปเดินเตร็ดเตร่ในกองกำลังอัศวินหมาป่าเงินที่มีแต่สตรีบ่อย ๆ และส่วนมากทุกคนก็จะบอกว่าเห็นเขากำลังไล่จีบอัศวินหญิงไปเรื่อยอยู่

บ่อยครั้งที่ก่อปัญหาเนื่องมาจากความสัมพันธ์กับสตรี จนถึงกับมีประวัติว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเคยโดนลดขั้นลงจากตำแหน่ง “ขุนศึกอาชาขาว” เพราะปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่ยังไงเสียก็ไม่มีผู้ใดโดดเด่นในด้านการบัญชาทัพทหารม้ามากไปกว่าเขาอยู่ดี สุดท้ายเขาก็เลยได้กลับมาเป็น “ขุนศึกอาชาขาว” อีกครั้ง

คลาริสซาเองก็คงไม่ได้หน้าหนาขนาดจะพูดได้อย่างเปิดเผยว่าเธอมีคนเช่นนั้นเป็นอากระมัง

 

“จะว่าไป ข้าคิดว่าที่นี่คือห้องของฟรองซัวส์นะ”

 

“ช ใช่ค่ะ! ที่นี่คือห้องของฟรองซัวส์ค่ะ!”

 

“แล้วทำไมไม่เห็นฟรองซัวส์เลยล่ะ”

 

“ค่ะ! ตอนนี้เธอกำลังไปที่โรงครัวค่ะ! เห็นเธอบอกว่าไม่มีขนมก็เลยจะขอแบ่งมาจากโรงครัวน่ะค่ะ!”

 

“……ไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยนะ โรงครัวเองก็ใช่ว่าจะมีขนมด้วย”

 

“ม ไม่มีหรือคะ!?”

 

“ก็ลองนึกดูสิ ขนาดอาหารทั้งสามมื้อยังต้องทดสอบพิษก่อนค่อยส่งมาได้เลย หากเป็นขนมซึ่งไม่ได้ทดสอบพิษอะไรก็ยิ่งไม่ยอมมอบให้โดยง่ายอยู่แล้วล่ะ”

 

เมื่อได้ฟังการกระทำของฟรองซัวส์ เฮเลนาก็อดถอนใจไม่ได้

ดูเหมือนฟรองซัวส์คงคิดว่าอุตส่าห์เชิญเฮเลนามาทั้งทีก็เลยอยากจะเตรียมขนมให้ด้วยกระมัง แค่ความรู้สึกเฮเลนาก็ดีใจแล้วล่ะ

ทว่าสายตาที่คลาริสซาส่งมาให้กับเฮเลนานั้น คือสายตาที่ค่อนข้างหวาดระแวง

 

“ค คือว่า……พระสนมฟ้าสุริยา ทำไมถึงมาที่นี่หรือคะ……?”

 

“หืม? ฟรองซัวส์ไม่ได้บอกงั้นหรือ?”

 

“ค ค่ะ! ไม่ได้บอกอะไรเลย……”

 

อืม ดูจากท่าทางตกใจเมื่อครู่แล้ว คงจะไม่รู้เรื่องอะไรจริง ๆ สินะ

บางทีฟรองซัวส์อาจจะอยากเก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์ก็ได้ แล้วก็น่าเสียดายที่เฮเลนาดันมาถึงในตอนที่เจ้าตัวฟรองซัวส์ไม่อยู่พอดี เลยกลายเป็นว่าไม่มีใครที่จะคอยแก้ไขความเข้าใจผิดให้ สถานการณ์มันน่าจะเป็นเช่นนั้น

จังหวะนี้เฮเลนาจึงได้มองดูคลาริสซาอีกครั้ง

 

ในด้านรูปลักษณ์แล้ว เธอดูอายุมากกว่าฟรองซัวส์ประมาณหนึ่งหรือสองปีได้ แม้จะมีความอ่อนเยาว์แบบเด็กหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็มีความเป็นผู้หญิงที่เริ่มแตกหน่อแล้วเช่นเดียวกัน

เค้าโครงใบหน้าหากเทียบกับฟรองซัวส์แล้วทางนั้นอาจดูครบครันกว่า แต่ทางนี้เองก็ดูดีไม่แพ้กัน หางตาของเธอชี้ขึ้นเล็กน้อย ทำให้โดยรวมแล้วสัมผัสได้ถึงความเด็ดเดี่ยวใจแข็งอยู่บ้างในแววตา แต่จะว่าไปเฮเลนาเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปวิจารณ์เรื่องตาดุกับคนอื่นล่ะนะ

และในห้องนี้ก็มีโซฟาที่คลาริสซานั่งอยู่ กับโซฟาตัวหนึ่งที่วางอยู่ตรงข้ามกัน และสุดท้ายคือเก้าอี้ไม้ที่ค่อนข้างเก่าอีกตัวหนึ่ง

ที่ฟรองซัวส์บอกว่า “จะเตรียมเก้าอี้ไว้ให้นะคะ!” คงจะหมายถึงเก้าอี้ตัวนี้แน่เลยสินะ

 

“อืม……เอาเถอะ ให้ข้าเป็นคนพูดเองก็อาจจะแปลก ๆ แต่วันนี้ข้าได้รับเชิญจากฟรองซัวส์ให้มาร่วมงานเลี้ยงน้ำชาน่ะ”

 

“ฟ ฟรอง เชิญพระสนมฟ้าสุริยาหรือคะ!?”

 

“ใช่ ข้าไม่มีธุระอื่นเป็นพิเศษก็เลยมา……แต่ว่ามันทำให้เดือดร้อนงั้นรึ?”

 

“ม ไม่มีทางเดือดร้อนหรอกค่ะ! ช เชิญนั่งได้เลยค่ะ!”

 

“อืม งั้นก็ขออนุญาต”

 

เฮเลนาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่ค่อนข้างเก่า

มันคงจะเป็นของที่ไม่ได้มีราคามากนัก เพียงแค่นั่งลงไปก็เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบา ๆ

 

“พ พระสนมฟ้าสุริยาคะ นั่งเก้าอี้เช่นนั้น!”

 

“ปกติแล้วคุณหนูคลาริสซากับฟรองซัวส์จัดงานเลี้ยงน้ำชากันสองคนใช่ไหม?”

 

“ค ค่ะ……ก็ใช่ค่ะ……”

 

“เช่นนั้นแล้ว ข้าก็ได้ฟังมาว่าพวกเจ้ามักจัดกันในห้อง แล้วข้าก็ได้รับเชิญจากฟรองซัวส์จึงได้มายังห้องนี้ โดยที่เธอได้บอกว่าจะเตรียมเก้าอี้ไว้ให้น่ะ”

 

ฟรองซัวส์อุตส่าห์ตั้งใจเตรียมให้แล้วนี่นา

อีกอย่างหนึ่ง เดิมทีเฮเลนาก็ไม่ค่อยชอบโซฟาอยู่แล้ว เพราะร่างกายมันจมลึกเกินไปทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้ทันทีในเวลาที่จำเป็น

 

“แปลว่า เก้าอี้ตัวนี้คือเก้าอี้ที่ฟรองซัวส์ได้ตระเตรียมไว้เพื่อข้านั่นเอง ก็เป็นธรรมดาที่ข้าจะนั่งไม่ใช่รึ?”

 

“……”

 

เก้าอี้ราคาถูกแบบที่ใช้กันในกระโจมสนามรบมันคุ้นชินก้นมากกว่า ดังนั้นเฮเลนาก็เลยแค่ชอบเก้าอี้ราคาถูกแบบนี้เท่านั้นเอง ชอบขนาดที่แม้ไม่รู้ว่าฟรองซัวส์ไปเอามาจากไหน แต่เฮเลนาก็ชักอยากจะขอยืมไว้สักตัวเหมือนกัน

ทว่าคลาริสซาย่อมไม่มีทางรู้ถึงความเคยชินแบบนั้นของเฮเลนา

ดังนั้นเธอจึงเบิกตากว้างด้วยความตะลึง

 

“ข้า ต้องขออภัยด้วยค่ะ”

 

“เป็นอะไรไปรึ?”

 

“เปล่าค่ะ……ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าท่านเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง ถึงขนาดยอมรับความรู้สึกของฟรองอย่างซื่อตรง และยอมนั่งบนเก้าอี้ที่ไม่คุ้นชินเช่นนั้นด้วย……”

 

“หืม……?”

 

“สิ่งที่ผู้อื่นอุตส่าห์ตระเตรียมมาเพื่อตนเอง แปลว่าไม่มีสิ่งใดจะคู่ควรกับตนเองมากไปกว่านั้นอีกแล้ว……ความคิดที่สูงส่งงดงามแบบนั้น……ดูเหมือนข้าจะมองพระสนมฟ้าสุริยาผิดมาตลอดเลยค่ะ”

 

ใจกว้างมั่งล่ะ สูงส่งมั่งล่ะ เฮเลนาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูเหมือนอะไรสักอย่างมันจะทำให้คลาริสซาซาบซึ้งใจแฮะ

หากมันช่วยให้พวกเธอลดระยะห่างระหว่างกันได้ งั้นก็ช่างมันไปละกัน

 

ทันใดนั้นเอง ประตูก็เปิดออก

 

“กลับมาแล้วค่ะ! คลาริสซา! อ๊ะ ท ท่านเฮเลนา! ขออภัยค่ะ! ปล่อยให้รอซะแล้ว!”

 

ผู้ที่มาปรากฏตัวคือฟรองซัวส์

เกรงว่าคงจะโดนโรงครัวปฏิเสธอย่างไร้เยื่อไยกลับมาแล้วกระมัง

ทีแรกก็คิดแบบนั้น—ทว่าในมือเธอมันกลับมีกล่องเล็ก ๆ อยู่

 

“ท่านเฮเลนาคะ! โปรดดีใจได้เลยค่ะ! ข้าได้รับขนมมาแล้วค่ะ!”

 

“……เอ๋?”

 

“แถมยังเป็นขนมจากร้านที่ทำหน้าที่จัดหาให้ราชวงศ์โดยเฉพาะด้วยค่ะ! ได้โปรดเชิญทานได้เลยนะคะ! อ๊ะ เดี๋ยวข้าชงชาให้ค่ะ!”

 

สิ่งที่ถูกวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้า ก็คือของจากร้านขายขนมชั้นหนึ่งในนครหลวง เป็นร้านสุดโด่งดังขนาดที่เฮเลนาผู้ไม่ค่อยได้ทานของหวานยังรู้จัก แน่นอนว่าราคาของมันก็สาหัสตามตัว

ดังนั้นนี่จึงเป็นของดีหายากที่เฮเลนาเองก็ไม่เคยได้ทานมาก่อนเลย—

 

“……ฟรองซัวส์”

 

“ค่ะ!”

 

“ทำไมถึงมีสิ่งนี้……?”

 

“ค่ะ! มีคนใจดีแบ่งมาให้ค่ะ!”

 

รอยยิ้มเจิดจ้าไร้เดียงสาของฟรองซัวส์

ทำให้เธอชะงักงันไป

 

“……งั้นรึ”

 

เฮเลนาจึงตัดสินใจหยุดซักไซ้ติดตามเรื่องราวไปกว่านี้

 

และแล้ว งานเลี้ยงน้ำชาที่มีเพียงสามคนก็ได้เริ่มขึ้นในที่สุด

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset