(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 58: คั่นฉาก: คุณบาร์โตโลเมในวังหลวง ครึ่งหลัง

 

สุดท้ายแล้วบาร์โตโลเมก็ค่อย ๆ ออกมาจากห้องท้องพระโรงเข้าเฝ้า แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

แม้จักรพรรดิองค์ใหม่จะมีชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นจักรพรรดิโง่เขลา แต่เขาเคยคิดว่านั่นเป็นข่าวลือที่พูดเกินจริง ทว่าเมื่อได้มาเข้าเฝ้าเห็นกับตาแบบนี้ หากไม่เรียกว่าโง่เขลาแล้วจะให้เรียกว่าอะไรได้

เรียกข้าราชบริพารมาเองแต่กลับลืมว่าเรียกมา นั่นไม่ใช่ท่าทีที่เหมาะสมของผู้บริหารบ้านเมืองเลย ซ้ำร้ายยังกล่าวถ้อยคำขอบคุณแบบขอไปทีแล้วก็ไล่ให้กลับไปประจำตำแหน่งอีก จะเรียกว่าจักรพรรดิผู้โง่เขลายังรู้สึกว่ามันเป็นการยกยอเกินไป แบบนี้มันแค่ไอ้โง่คนนึงชัด ๆ

ทว่า—

 

“……รอสักหน่อยแล้วกัน”

 

บาร์โตโลเมได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิให้กลับไปประจำการ ความจริงแล้วเขาก็ควรจะทำตามคำสั่งนั้นและรีบกลับไปยังแนวหน้าโดยเร็ว

ทว่า มันมีเหตุผลที่เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อยู่

นั่นก็คือ ท่าทีซึ่งเกรเดียได้แสดงให้เห็นในตอนสุดท้าย

 

สิ่งที่เกรเดียทำ ซึ่งก็คือการขยิบตาพลางเอานิ้วชี้ป้องปากโดยไม่พูดอะไร มันคือสัญญาณมือที่บาร์โตโลเมเคยได้เห็นมาแล้วหลายต่อหลายครั้งในสมัยก่อน

เกรเดียผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยบัญชาการกองอัศวินในฐานะ “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” เป็นขุนศึกที่เลื่องลือในฐานะผู้มีแผนการอันชาญฉลาด ดังนั้นเขาย่อมมีการควบคุมดูแลข้อมูลของฝ่ายตนเองเป็นอย่างดี มิให้แผนการรบรั่วไหลไปถึงข้าศึกได้

ในระหว่างนั้น ก็มีบางครั้งที่จำเป็นต้องบอกแผนการเป็นการส่วนตัวกับบุคคลซึ่งเป็นแกนหลักในสนามรบอย่างเช่นบาร์โตโลเมหรือวิกเตอร์ โดยคุยเป็นการลับแบบไม่ให้มีคนอื่นอยู่ด้วย

และสัญญาณมือนั่น—ก็คือสัญญาณลับที่เกรเดียทำทุกครั้งในโอกาสเช่นนั้น

 

สรุปโดยย่อก็คือ

เกรเดียกำลังแสดงเจตนาว่า “ยังคุยกันที่นี่ตอนนี้ไม่ได้ เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน” นั่นเอง

 

“ให้ตายสิ……คนคนนั้นก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

 

คนที่แม้จะอายุพ้นหกสิบไปแล้วก็ยังทำท่าทะเล้นแบบนั้นได้อยู่อีกเนี่ย คงไม่มีคนอื่นอีกแล้วล่ะ

ในฐานะผู้บัญชาการเขานั้นมีฝีมือโดดเด่นอย่างแน่นอน ทว่านิสัยที่เหมือนเป็นคนขี้เล่นแบบนั้น ในฐานะทหารแล้วมันก็ชวนให้รู้สึกแปลกชอบกลอยู่ อย่างน้อยที่สุดบาร์โตโลเมก็คงไม่เหมาะกับท่าทางแบบนั้นแน่

จากนั้น เมื่อออกห่างจากห้องท้องพระโรงเข้าเฝ้าและเดินไปตามโถงทางเดินเล็กน้อย บาร์โตโลเมก็หยุดรอสักครู่

 

“โทษทีที่ให้รอนะ บาร์โตโลเม”

 

“ท่านเกรเดีย”

 

ไม่รู้ว่าออกมาจากประตูไหน แต่เกรเดียที่โผล่มาจากทิศตรงข้ามของห้องท้องพระโรงเข้าเฝ้าก็ได้กล่าวทักมาเช่นนั้น

ดูเหมือนจะไม่ได้ตีความสัญญาณนั่นผิดจริงด้วยสินะ

 

“……มีเรื่องจะคุยหรือครับ”

 

“ใช่ มีเรื่องลับต้องคุยกัน ช่วยมาทางนี้หน่อยสิ”

 

“ครับ”

 

แม้ปัจจุบันเกรเดียจะเกษียนไปแล้วแต่สำหรับบาร์โตโลเมเขาก็ยังเป็นบุคคลที่น่านับถือคนหนึ่ง หากต่อสู้กันตัวต่อตัวบาร์โตเลเมอาจแข็งแกร่งกว่า แต่แผนการรบอันชาญฉลาดของเกรเดียซึ่งเหมือนใยแมงมุมที่คอยไล่ต้อนทัพข้าศึกให้จนมุมนั้น เป็นสิ่งที่บาร์โตโลเมไม่สามารถเลียนแบบได้เลย

เขาคือแม่ทัพที่โดดเด่นจนมีผู้ที่เสียดายการเกษียนอยู่มากมาย—ดังนั้นบาร์โตโลเมย่อมต้องเชื่อฟังคำพูดของเกรเดีย

 

เมื่อเดินตามเกรเดียไปได้สักพัก ก็มาถึงปลายทางซึ่งเป็นห้องรับรอง

มันคือห้องที่ปกติแล้วมักใช้สำหรับให้ทูตจากต่างชาตินั่งรอ—‘ก๊อกก๊อก’ เกรเดียเคาะประตูห้องนั้น

 

“เข้ามา”

 

มีเสียงเช่นนั้นดังออกมาจากด้านใน และพร้อมกันนั้นเกรเดียก็ได้เปิดประตู

ที่อยู่ภายในนั้นก็คือ—

 

“ห……หา!?”

 

“โหวกเหวกจังเลยนะ จะให้ผู้อื่นพบเห็นไม่ได้ รีบเข้ามาแล้วก็ปิดประตูเถอะ”

 

ภายในห้องรับรองมีโต๊ะที่วางขนาบไว้ด้วยโซฟาสองตัว และผู้ที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาด้านหนึ่งนั้น

คือจักรพรรดิ—ฟาร์มาส ดีล ลูเครเซีย กันเกรฟ

 

“บาร์โตโลเม ไปนั่งเบื้องหน้าฝ่าบาทสิ”

 

“ท ท่านเกรเดีย……?”

 

“นี่เป็นความประสงค์ของฝ่าบาทเอง”

 

“ตามนั้นแหละ เดิมทีคนที่เรียกเจ้ามาก็คือเราเอง ต้องขอโทษด้วยที่สามารถพูดคุยได้แค่ในที่ลับตาคนเช่นนี้”

 

ฟาร์มาสเองก็เชิญให้นั่งลงบนโซฟาเช่นเดียวกัน

ท่าทีของเขามิใช่ท่าทีเหมือนเด็กน้อยอย่างเมื่อครู่ แต่เป็นท่าทีซึ่งดูมีความหนักแน่นในฐานะจักรพรรดิ

ทว่าก็ยังมีความใจกว้างพอที่จะก้มหัวขอโทษบาร์โตโลเมด้วย

 

“ฝ ฝ่าบาท ได้โปรดเงยหน้าขึ้นเถอะพะยะค่ะ……”

 

“งั้นรึ เช่นนั้นก็ได้ ก่อนอื่นเจ้าก็นั่งลงเถอะ บาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ด”

 

“พ พะยะค่ะ!”

 

บาร์โตโลเมย่อมมิสามารถขัดคำสั่งของฟาร์มาส เขาจึงนั่งลงบนโซฟาที่หันหน้าเข้าหาฟาร์มาส

เหตุผลที่จักรพรรดิต้องมาแอบพบกับบาร์โตโลเมอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้—บาร์โตโลเมเองก็สุดจะคาดเดา

มีธุระอะไรกันแน่นะ

 

“อันดับแรก แม่ทัพเบอร์การ์ซาร์ด”

 

“พะยะค่ะ”

 

“การที่ได้รับฝากแนวหน้ากับจักรวรรดิอัลเมดาและสามารถรักษามันเอาไว้ได้จนถึงปัจจุบันโดยเกิดความสูญเสียเพียงเล็กน้อย ก็เป็นเพราะฝีมือของเจ้ากับ ‘ขุนศึกพยัคฆ์แดง’ อย่างแท้จริง การที่รักษาแนวหน้าซึ่งคงจะมีการต่อสู้ดุเดือดที่สุดมาตลอดมาจนถึงตอนนี้ เราต้องขอขอบคุณ”

 

“น นั่น……”

 

“ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องขออภัยที่ไม่สามารถตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของ ‘ขุนศึกพยัคฆ์แดง’ ได้ แม้เขาจะเรียกร้องให้สลับตำแหน่ง ‘ขุนศึกหมีน้ำเงิน’ กับ ‘ขุนศึกอสรพิษม่วง’ อยู่ตลอด แต่ในปัจจุบันนี้เราไม่สามารถตอบรับมันได้ เพราะทั้งตัวเราและจักรวรรดิในตอนนี้ต่างก็มีเหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายกองทัพได้อยู่”

 

บาร์โตโลเมไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลย

ก่อนอื่นเลย แค่การที่จักรพรรดิมาอยู่ที่นี่ก็พ้นขีดความสามารถในการทำความเข้าใจของเขาไปแล้ว ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่จักรพรรดิคนนี้กลับดูถ่อมตนเสียจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นคนละคนกับที่เจอเมื่อครู่หรือเปล่า ไม่มีความหยิ่งผยองเลยแม้แต่นิดเดียว

ในทางกลับกัน กลับรู้สึกได้เลยว่าเขากำลังคิดว่าความรับผิดชอบทั้งหมดตกอยู่ที่ตนเอง

 

“แม้จะไม่สามารถกล่าวโดยละเอียดได้ แต่เราอยากให้เจ้ารักษาสถานการณ์ปัจจุบันเช่นนี้ต่อไป เป็นเพราะความไร้พลังของเราทำให้พวกเจ้าต้องฝืนลำบากกันเช่นนี้ ทว่าเราก็อยากให้เข้าใจเอาไว้ว่าการกระทำนี้จะเป็นรากฐานของจักรวรรดิกันเกรฟในอนาคต”

 

“ฝ่าบาท……”

 

“ด้วยความเข้าใจเช่นนั้น เราก็ขอกล่าวอีกครั้ง ว่าขอขอบคุณที่พวกเจ้าได้ต่อสู้อย่างสุดกำลังมาจนถึงตอนนี้ การที่ป้อมปราการซึ่งพวกเจ้าปกป้องมันยังไม่แตกพ่ายไป ก็เป็นเพราะกองอัศวินอันน่าภาคภูมิใจของประเทศเราที่พวกเจ้ามุมานะฝึกฝนขึ้นมาอย่างไม่ย่อท้อนั่นเอง”

 

ถ้อยคำที่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกซาบซึ้งใจ

การที่ฝ่าบาทจักรพรรดิกล่าวขอบคุณด้วยพระองค์เองเช่นนี้ บาร์โตโลเมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย

ทว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาเข้าใจ

นั่นก็คือจักรพรรดิคนนี้—คือจักรพรรดิผู้มีปัญญาที่มีคุณค่าพอให้รับใช้

 

“ขอบพระคุณฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง ตัวข้านี้คือ ‘ขุนศึกหมีน้ำเงิน’ หนึ่งในแปดยอดขุนศึกที่รับใช้จักรวรรดิกันเกรฟ หากยุทธของข้าจะกลายเป็นรากฐานให้กับจักรวรรดิได้ ข้าก็ไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากความยินดีพะยะค่ะ”

 

“อืม เราเองก็คาดหวังในการทำงานของเจ้าจากนี้ไปอยู่ เราจะไม่บอกว่าให้ทำเพื่อเราหรอก จงใช้เขี้ยวเล็บของเจ้าเพื่อชาติ และเพื่อประชาชนที่เป็นรากฐานของชาติเถิด”

 

“พะยะค่ะ หากฝ่าบาทต้องการ ‘ขุนศึกหมีน้ำเงิน’ ผู้นี้ก็จะแสดงผลงานให้ได้ชมอย่างมิเสียดายแม้ต้องร่วงโรยในสมรภูมิเลย”

 

บาร์โตโลเมตอบพลางโค้งคำนับ

คนผู้นี้แหละคือนายเหนือหัวที่ควรรับใช้—คือจักรพรรดิ

รู้สึกว่าในอกมันสั่นไหวไปด้วยความปิติยินดี

 

ทว่า—เมื่อได้ฟังคำของบาร์โตโลเมเช่นนั้น ฟาร์มาสก็ยิ้มแห้ง ๆ เหมือนลำบากใจ

 

“อืม……โทษทีนะ สำหรับเราแล้วถ้าเจ้าร่วงโรยในสมรภูมิ มันจะน่าลำบากใจน่ะ”

 

“พะยะค่ะ ขอขอบคุณในความรู้สึกของฝ่าบาท……”

 

“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น คือ……เอาเถอะ นี่มันอาจเป็นเรื่องที่ตอบยากเล็กน้อย แต่เบอร์การ์ซาร์ดเอ๋ย เราขอถามเจ้าสักสองสามข้อได้หรือไม่”

 

“เชิญถามได้ทุกอย่างพะยะค่ะ ตัวข้านี้ก็เป็นข้าราชบริพารของฝ่าบาท”

 

“เช่นนั้นก็……เจ้ามีสตรีที่ชอบพออยู่หรือไม่?”

 

……

……

……

 

“……ห้ะ?”

 

เมื่อเจอกับคำถามที่ต่างจากที่คาดการณ์ไว้เกินไปและเหนือความคาดหมายเกินไป บาร์โตโลเมจึงได้แต่ตอบไปคำเดียวอย่างเลอะเลือนเช่นนั้น

ทำไมตัวตนที่สูงเกินเอื้อมอย่างฝ่าบาทจักรพรรดิ ถึงได้มาถามเรื่องชีวิตรักของบาร์โตโลเมกัน

กับคำถามที่ไม่เข้าใจความหมายเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงดี

 

“ก็ตามที่พูดเลยนั่นแหละ ตอบมาสิว่าเจ้ามีสตรีที่ชอบพออยู่หรือไม่”

 

“……ไม่พะยะค่ะ ไม่มีใครเป็นพิเศษ”

 

เขาตอบไปตามตรง

แต่ไหนแต่ไรมา บาร์โตโลเมก็มีใบหน้าร้ายกาจขนาดที่เรียกได้ว่าอัปมงคล เด็กและผู้หญิงต่างพากันร้องไห้เมื่อได้เห็น และอัศวินหญิงก็โจมตีเข้าใส่ แค่มองเฉย ๆ ก็ถูกเข้าใจผิดว่ากำลังโกรธอยู่เสียอย่างนั้น

ดังนั้นเขาจึงได้ยอมแพ้เรื่องการแต่งงานไปตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ๆ แล้ว แต่เดิมทีบุตรชายคนรองของตระกูลวิสเคานต์อย่างบาร์โตโลเมก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องแต่งงาน ดังนั้นจึงเพลิดเพลินกับชีวิตหนุ่มโสด ออกไปยังสนามรบได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องลูกเมีย

 

“งั้นรึ งั้นรึ เช่นนั้นก็ดีแล้ว”

 

“……เอ่อ มันเรื่องอะไรหรือพะยะค่ะ”

 

“คงรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเราน่ะมีวังหลังอยู่ นางสนมที่ถูกรวบรวมมานั้นก็ล้วนเป็นบุตรีขุนนางที่งดงามทั้งนั้น ทว่าในอนาคตตอนที่ยุบวังหลังเราตั้งใจจะปล่อยตัวนางสนมเหล่านั้นไป……แต่เมื่อยังไงก็ไม่สามารถลบความจริงที่ว่าเคยได้เข้ามาอยู่ในวังหลังของเราได้ พวกนางก็คงจะหาคู่แต่งงานได้ยากลำบากอยู่น่ะนะ”

 

“……พะยะค่ะ”

 

บาร์โตโลเมฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ ก็เลยได้แต่ตอบไปแบบนั้น

เขาก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาวังหลังของฟาร์มาสเป็นพิเศษอยู่แล้ว พวกที่รู้สึกอิจฉาส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหนุ่มวัยสิบกว่ายี่สิบกว่าเสียมากกว่า สำหรับบาร์โตโลเมที่อายุใกล้จะสี่สิบ เขาก็คิดได้แค่ว่าการถูกสตรีห้อมล้อมต็มไปหมดแบบนั้นคงจะลำบากน่าดู

 

“ดังนั้น……แม้จะต้องรอหลังจากเราแต่งชายาเอกก่อนก็เถอะ แต่เราอยากจะให้เจ้าแต่งงานกับนางสนมของเราคนหนึ่งน่ะ”

 

“……เป็นข้อเสนอที่ต้องขอขอบพระคุณอย่างยิ่งพะยะค่ะ ทว่า”

 

บาร์โตโลเมไม่มีภรรยา นอกจากนี้แม้จะเป็นเพียงบุตรคนรองของวิสเคานต์ แต่บาร์โตโลเมซึ่งเป็นถึงหนึ่งในแปดยอดขุนศึกผู้บัญชาการกองอัศวินหมีน้ำเงิน ย่อมมีฐานะไม่ยากจน กลับกันเลยด้วยซ้ำ เพราะเป็นชายโสด แถมยังใช้ชีวิตกว่าครึ่งอยู่ในสนามรบ และมีนิสัยที่ไม่ชอบใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เขาจึงมีเงินเหลือเก็บมากมายจนเกินไปเลยด้วยซ้ำ

ดังนั้นแม้จะแต่งงานก็ไม่มีปัญหาเรื่องขัดสนเงินทอง

ทว่า ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น

 

“คิดว่าสำหรับสตรีแล้วใบหน้าของข้าอาจทำใจได้ยากอยู่สักหน่อยพะยะค่ะ”

 

ต่อให้เป็นคำสั่งขององค์จักรพรรดิ ก็คงไม่มีสตรีคนใดที่อยากจะแต่งงานกับบาร์โตโลเมหรอก

บางทีหากแต่งกันไปแล้ว วันแรกเธอก็อาจกลัวจนเป็นลม วันที่สองก็คงไม่กล้าเข้าใกล้ แล้ววันที่สามก็คงจะหนีไปเลยกระมัง เขาจินตนาการเรื่องราวแบบนั้นได้อย่างง่ายดาย

ซึ่งก็แปลว่า สุดท้ายแล้วนางสนมคนนั้นก็ต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องค้นหาคู่แต่งงานอีกครั้งอยู่ดี

 

“อืม เช่นนั้นแล้ว แม่ทัพเบอร์การ์ซาร์ด ขอแค่เป็นสตรีที่เห็นใบหน้าเจ้าแล้วไม่กลัวก็พอสินะ”

 

“ถ้าเป็นบุตรสาวตระกูลเรลโนตหรือเสนาธิการของกองอัศวินหมาป่าเงินก็อีกเรื่องหนึ่งพะยะค่ะ แต่บุตรีขุนนางในวังหลังที่เป็นเหมือนไข่ในหินคงไม่มีใครที่ชอบของแปลกเช่นนั้นหรอกกระมัง ควรให้แต่งงานกับวิกเตอร์หรือริกฮาร์ดที่ยังเป็นโสดและหน้าตาเพียบพร้อมน่าจะดีกว่าพะยะค่ะ……”

 

“แต่ว่านะ เรื่องนี้มันเป็นความต้องการของบุตรีขุนนางคนนั้นเองน่ะ”

 

“หา……”

 

เพราะไม่เห็นจะรู้ว่ามีบุตรีขุนนางที่ชอบของแปลกแบบนั้นด้วย บาร์โตโลเมจึงได้แต่เอียงศีรษะด้วยความฉงน

สตรีทุกคนที่เคยพบเจอมาจนถึงบัดนี้ แปดในสิบคืออัศวินหญิงของกองอัศวินหมาป่าเงิน และนอกจากนั้นส่วนมากก็จะเป็นอัศวินหญิงที่สังกัดในกองอัศวินอื่น ๆ โดยเฉพาะเฮเลนา อดีตรองผู้บังคับบัญชาของ ‘ขุนศึกพยัคฆ์แดง’ ซึ่งสำหรับบาร์โตโลเมแล้วเป็นสตรีที่คบหาด้วยง่าย

อย่าบอกนะว่าเป็นเฮเลนา—ทีแรกก็นึกไปแบบนั้น แต่เขาก็ส่ายหน้าเพราะยังไงนั่นก็เป็นไปไม่ได้ บาร์โตโลเมให้คุณค่าเฮเลนาในด้านความแข็งแกร่งเท่านั้น และทางนั้นเองก็คงคิดเหมือนกันนั่นแหละ

 

“……เอ่อ ไม่ทราบว่าบุตรีขุนนางคนนั้นคือใครหรือพะยะค่ะ?”

 

ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามออกไปเช่นนั้น

และชื่อที่ฟาร์มาสได้พยักหน้าหนึ่งครั้งใหญ่ ๆ ก่อนจะกล่าวออกมานั้นก็คือ

 

“ฟรองซัวส์ เรเวินไงล่ะ”

 

“……………………ใครหรือพะยะค่ะ?”

 

ชื่อที่ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ทำให้บาร์โตโลเมต้องเอียงศีรษะอย่างสับสน

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset