ลูเครเซีย ไฮน์ริช อัลแบร์ตินา กันเกรฟ คือมารดาแท้ ๆ ของฟาร์มาสผู้เป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน
แต่เดิมทีเธอเป็นแค่บุตรีเคานต์เท่านั้น ทว่าเธอก็ได้พบรักกับดีลจักรพรรดิรุ่นก่อนซึ่งตอนนั้นเขายังเป็นองค์ชายรัชทายาทอยู่ จากนั้นก็ได้รับการฝึกสอนในฐานะผู้ที่จะเป็นชายาเอกอย่างมากเท่าที่จะทำได้ แล้วเมื่อดีลสืบทอดบัลลังก์จักรพรรดิเธอก็ขึ้นครองตำแหน่งชายาเอกไปด้วยกัน ถึงกระนั้นสาเหตุหลักที่ทำให้ดีลโปรดปรานลูเครเซียมากที่สุดก็คือความอ่อนโยนและความเป็นแม่อันเอ่อล้นของเธอนั่นเอง การที่ดีลซึ่งเคยเป็นที่หมายปองของบุตรีขุนนางมากมายได้เลือกลูเครเซียให้เป็นชายาเอกนั้น ก็เพราะเขาประเมินว่าหากเป็นลูเครเซียต้องสามารถเลี้ยงดูจักรพรรดิรุ่นต่อไปได้เป็นอย่างดีแน่นอน
จากนั้นลูเครเซียก็พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อวางตัวให้เหมาะสมในฐานะชายาเอก ทว่าเธอก็ไม่ได้หยิ่งผยองแม้แต่น้อยและปฏิบัติกับทุกคนอย่างเปี่ยมล้นด้วยความเมตตา เธอไม่เคยใช้อำนาจที่มีในฐานะชายาเอก เอาแต่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อสนับสนุนดีลเท่านั้น
ทว่า ดีลคนนั้นกลับเสด็จสวรรคตอย่างรวดเร็วเกินไป ทิ้งเพียงลูเครเซียไว้เบื้องหลัง
ทายาทสืบสายเลือดของดีลซึ่งไม่เคยคิดจะมีสัมพันธ์ใครอื่นนอกจากลูเครเซีย ก็มีเพียงฟาร์มาสบุตรชายคนโต กับน้องสาวของเขาเพียงสองคนเท่านั้นที่ลูเครเซียได้ให้กำเนิด และเมื่อดีลสิ้นชีพอย่างรวดเร็วเกินไป ฟาร์มาสจึงต้องขึ้นครองบัลลังก์โดยที่ไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เลย
ฟาร์มาสที่สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิเช่นนั้น จึงเป็นได้แค่หุ่นเชิด
โดยเฉพาะตอนที่ฟาร์มาสเพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นาน เขาได้ถูกหลอกด้วยวาจาซับซ้อนโดยมาร์วิสอับราฮัม โนลด์ลุนด์ให้สร้างตำแหน่งมหาอำมาตย์ซึ่งเทียบเคียงกับอัครมหาเสนาบดีแอนตัน เรลโนตที่ความจริงแล้วควรจะรับผิดชอบการบริหารบ้านเมืองทั้งหมด และยังให้แต่งตั้งตนเองเข้าสู่ตำแหน่งนั้น เรียกได้ว่าฟาร์มาสถูกปฏิบัติเหมือนเป็นจักรพรรดิแค่ในนามเท่านั้นจริง ๆ
แม้แต่ในปัจจุบัน อย่างเช่นในการประชุมคณะองคมนตรี เขาถึงขนาดเริ่มการประชุมโดยที่ไม่รอให้ฟาร์มาสมาถึงก่อนด้วยซ้ำ และตัวฟาร์มาสเองก็ดูจะไม่สนใจการบริหารบ้านเมืองที่ซับซ้อนนัก จึงมีบ่อยครั้งที่เขาไม่ได้ไปเข้าร่วมในการประชุมทำนองนั้นด้วย
เรียกได้ว่า เป็นขุนนางกังฉินกับจักรพรรดิผู้โง่เขลาอย่างแท้จริง—
ในสภาวะที่รากฐานของจักรวรรดิอาจตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ มีเพียงอัครมหาเสนาบดีแอนตันคนเดียวที่มีใจใสสะอาด
“ให้ตายสิ……”
หลังออกมาจากวังหลัง ลูเครเซียก็มุ่งหน้าไปยังราชสำนักอย่างรีบร้อน
ปกติแล้ว ลูเครเซียไม่ควรออกปากคำในด้านการเมืองการปกครอง และอาศัยอยู่ในตำหนักที่แยกไปต่างหากเท่านั้น จะบอกว่างานของเธอคือใช้ชีวิตหาวิธีคลายความเบื่อไปวัน ๆ โดยมีคนรับใช้ที่รู้ใจไม่กี่คนก็ได้
สาเหตุหลักก็คือความเชื่อของลูเครเซีย—ว่า “สตรีไม่ควรออกปากคำในเรื่องการเมืองการปกครอง” นั่นเอง
เมื่อย้อนประวัติศาสตร์ดูแล้ว เมื่อใดที่พระมเหสีหรือพระพันปีมีอำนาจขึ้นมา มันก็ไม่เคยจบในทางที่ดีเลย
บางทีอาจเป็นเพราะลูเครเซียศึกษามาไม่พอจึงไม่เคยเห็นตัวอย่างที่ดีเท่านั้น แต่โดยส่วนใหญ่มันมักเกิดความวุ่นวายทางการเมืองจากจักรพรรดิที่มักมากในกามรมณ์กับสตรีที่ทำทุกอย่างเพื่อสนองความปรารถนาของตนเองนั่นเอง ดังนั้นแม้ลูเครเซียจะอยู่ในตำแหน่งพระพันปีแต่เธอก็ไม่เคยบอกสั่งอะไรกับฟาร์มาสเลย มันอาจเป็นการประเมินคุณค่าบุตรชายของตัวเองสูงเกินไปบ้าง แต่เธอเชื่อมั่นว่าอุปสรรคเพียงเท่านี้ฟาร์มาสคงจะสามารถก้าวข้ามมันไปได้ในที่สุด
ทว่า—ครั้งนี้เท่านั้นที่ต่างออกไป
ฟาร์มาสได้ทำเรื่องที่เลวร้ายที่สุดลงไปซะแล้ว ผู้ที่สามารถหยุดยั้งสิ่งนั้นได้นอกจากลูเครเซียแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก
จากมุมของลูเครเซียแล้ว เฮเลนาเป็นหญิงสาวในอุดมคติเลยทีเดียว
แม้อายุยี่สิบแปดมันจะดูมากไปเล็กน้อย แต่เดิมทีฟาร์มาสเองก็ชอบคนอายุมากกว่าอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาอะไร ยิ่งไปกว่านั้น สตรีที่แม้อายุจะใกล้สามสิบแต่กลับดูสาวและสวย รักษาสัดส่วนรูปร่างที่สมดุลเอาไว้ได้เช่นนี้หาได้ไม่ง่ายนัก
นอกจากนี้ เธอยังเป็นนักรบที่มีฝีมือยุทธเทียบเคียงแปดยอดขุนศึก มีความสามารถในการบังคับบัญชาการรบพุ่งอยู่ในแนวหน้าของสมรภูมิได้ ซึ่งก็แปลว่าน่าจะเก่งในด้านกลยุทธทางการทหารด้วยเช่นกัน
และสิ่งที่เรียกว่าสติปัญญาไหวพริบมันย่อมสามารถใช้ได้กับทุกเรื่อง หากเป็นสตรีที่เก่งกาจในกลยุทธทางการทหาร ความรู้ในเชิงวิชาการเองก็คงโดดเด่นด้วย เพราะมีสติปัญญาถึงขนาดนั้นจึงสามารถไต่เต้าในกองทัพได้ทั้งที่เกิดมาเป็นสตรีนั่นเอง
ตอนแรก ลูเครเซียตั้งใจแค่จะไปดูลาดเลา
แม้จะเคยได้ยินมาว่าลูกสาวของแอนตันสังกัดอยู่ในกองทัพ แต่ก็เคยคิดว่าเธอคงไม่ได้มีฝีมือขนาดแม่ทัพเรย์ลาซึ่งมีเรื่องเล่าเหนือมนุษย์มากมายหรอก ที่สำคัญหากมีฝีมือระดับแม่ทัพเรย์ลาจริง แทนที่จะให้อยู่ในฐานะชายาเอก สู้เอาไปใช้งานในฐานะแม่ทัพน่าจะเป็นประโยชน์ในการป้องกันประเทศมากกว่า
เพื่อตัดสินเรื่องนั้นให้แน่ชัด เธอจึงลองสนทนากับเฮเลนาดู
ผลลัพธ์ก็คือ เธอสอบผ่าน
เพราะเป็นลูกสาวของแอนตัน ชาติตระกูลจึงไม่มีปัญหา อีกทั้งยังได้รู้แล้วว่าเธอเป็นสตรีที่มีครบทั้งปัญญาและความกล้าหาญ หากเป็นเฮเลนาคงสามารถเกื้อหนุนฟาร์มาสซึ่งเกลียดการใช้หัวอยู่สักหน่อยได้ทั้งในทางราชการและชีวิตส่วนตัว ลูเครเซียเชื่อมั่นแบบนั้นเลยทีเดียว
ดังนั้น การที่ฟาร์มาสกำลังรักใคร่โปรดปรานเฮเลนาอยู่ในปัจจุบัน จึงทำให้ลูเครเซียรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยว่าลูกชายเราก็ตาถึงไม่เบา
ทว่าปัญหาก็คือ—พฤติกรรมของฟาร์มาสเมื่อคืน
“หลีกไปซะ! ฟาร์มาสอยู่ข้างในใช่ไหม!”
“ท ท่านคือ……ฝ่าบาทพระพันปีลูเครเซีย!?”
“เจ้าคือโรมุลุสใช่ไหม ฉันมาเพราะมีธุระกับฟาร์มาส เจ้าหลีกไปซะ”
“ท ทว่า ฝ่าบาทกำลัง……”
“ฉันซึ่งเป็นพระพันปีกำลังบอกว่ามีธุระ มันมีอะไรที่สำคัญกว่านั้นด้วยหรือไงกัน”
“อุ……”
ลูเครเซียกล่าวกับชายสูงอายุซึ่งยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องส่วนตัวของฟาร์มาส—เกรเดีย โรมุลุส
อันที่จริงเธอไม่อยากใช้อำนาจในฐานะพระพันปีเช่นนี้เลย แต่วันนี้เป็นกรณีพิเศษ ต่อให้ต้องใช้ทุกอย่างที่มีก็ต้องเข้าไปคัดค้านฟาร์มาสให้ได้
เกรเดียเข้าไปด้านในเพื่อยืนยัน จากนั้นก็กลับออกมาในเวลาไม่นาน
“……ฝ่าบาทกล่าวว่าสามารถเข้าพบได้ครับ”
“อืม จะเข้าไปล่ะนะ”
“ครับ เชิญครับ”
เมื่อเกรเดียเปิดประตู ลูเครเซียก็เข้าไปด้านใน
ที่นี่คือห้องส่วนตัวของฟาร์มาส เวลาที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเขามักจะอยู่ที่นี่เสมอ ไม่รู้เหมือนกันว่ามัวทำอะไรอยู่ข้างใน
ความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกของราชวงศ์มันมักจะเบาบางเช่นนี้เอง
“ฟาร์มาส”
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะครับ เสด็จแม่”
เมื่อเห็นลูเครเซียมาเยือน ฟาร์มาสก็ได้โค้งคำนับก่อนเป็นอันดับแรก
ความเป็นจริงองค์จักรพรรดิไม่ควรก้มหัวให้ผู้อื่นเช่นนี้ ทว่าที่นี่คือห้องส่วนตัว เป็นสถานที่ส่วนตัวของฟาร์มาส
ในสถานที่เช่นนั้น การก้มศีรษะให้ลูเครเซียผู้เป็นมารดาของตนเองก็คงไม่มีปัญหาอะไร
ลูเครเซียชำเลืองมองฟาร์มาสหนึ่งครั้ง
“ขอนั่งนะ”
“เชิญครับ”
เธอนั่งลงบนโซฟาที่มีอยู่ในห้อง ซึ่งน่าจะมีไว้เพื่อรับรองแขก
และในเวลาเดียวกันฟาร์มาสก็มานั่งที่ด้านตรงข้ามหันหน้าเข้าหาลูเครเซียด้วย
“รู้ใช่ไหมว่าธุระสำคัญครั้งนี้คืออะไร?”
“……ไม่ครับ ไม่ทราบเลย”
“ฟาร์มาส วันก่อนฉันบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าทำให้หนูเฮเลนาเขาเสียใจน่ะ”
“……ก็ ได้กล่าวไว้นะครับ”
ลูเครเซียนั้นรับรู้ถึงความอ้างว้างเดียวดายของเฮเลนา
แม้เฮเลนาจะปิดปากเงียบไม่พูดถึงมัน แต่ในใจเธอกำลังแบกรับบาดแผลที่ลึกซึ้งเอาไว้ ซึ่งก็เกรงว่าคงเป็นเพราะชายที่เคยเจอในอดีตคนนั้น
เพราะฉะนั้นแม้จะมีความงามและชาติตระกูลดีถึงขนาดนั้นแต่ก็ยังไม่ได้แต่งงานมาจนปัจจุบันที่อายุยี่สิบแปด ถึงจะไม่รู้โดยละเอียดนัก แต่ลูเครเซียก็พอจะเดาได้ว่าหนึ่งในสาเหตุที่เฮเลนาเข้ากองทัพต้องเกี่ยวข้องกับชายคนนั้นเป็นแน่
เฮเลนาเคยถูกทำให้เจ็บปวดถึงขนาดเลือกที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง—ลูเครเซียกำลังคิดแบบนั้นอยู่
ดังนั้นลูเครเซียจึงบอกย้ำกับฟาร์มาสซ้ำแล้วซ้ำอีก
ว่าอย่าทำอะไรให้เธอต้องเสียใจนะ
ว่าอย่าทำให้เธอต้องร้องไห้นะ
ทั้งที่ย้ำขนาดนั้น แต่ไอ้ผู้ชายคนนี้มันกลับ—!
“ถ้างั้นทำไมถึงไปเยือนห้องของสนมคนอื่นล่ะ แถมนั่นยังเป็นสหายของหนูเฮเลนาด้วยไม่ใช่รึ”
“เรื่องนั้น……”
“แถมช่วงหลายวันมานี้ดูเหมือนจะไม่ได้โผล่หน้าไปหาหนูเฮเลนาด้วยใช่ไหม กำลังเล่นสนุกกับสนมคนอื่นอยู่หรือไงกัน?”
“ม ไม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้นเลยนะครับ……”
ฟาร์มาสอ้ำอึ้ง
การที่อ้ำอึ้ง ก็แปลว่ามีความรู้สึกผิดอะไรสักอย่างอยู่นั่นเอง
หากไม่มีอะไรในใจก็แค่บอกเหตุผลออกมาตรง ๆ ก็พอ ทว่าเขากลับบอกไม่ได้—แปลว่าฟาร์มาสเองก็รู้ว่าเขากำลังทรยศต่อเฮเลนาอยู่
ลูเครเซียรู้สึกโกรธ จนเกือบอยากจะตะโกนออกมา
“ก็นึกว่ากำลังรักใคร่โปรดปรานหนูเฮเลนาอยู่ซะอีก”
“เปล่าครับ……เรื่องนั้นก็ไม่ได้ผิดหรอก ข้าน่ะ กับเฮเลนา……”
“เช่นนั้นแล้วทำไมถึงทำอะไรอย่างไปเยือนห้องของสหายของเธอกันล่ะ ไม่รู้หรือว่ามันจะทำให้หนูเฮเลนากังวลใจขนาดไหน? หรือว่าชอบสหายอะไรนั่นถึงขนาดนั้นเลย?”
“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้นเลย ทว่า คือว่า……”
ฟาร์มาสมีสีหน้าบิดเบี้ยวเหมือนพูดยาก
พอดูให้ดีแล้วก็เห็นว่าใต้ตาของเขามีรอยคล้ำบาง ๆ และดูอ้อนล้าอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่ทรงผมก็ดูไม่เป็นทรงเท่าไหร่ เป็นภาพที่แตกต่างจากฟาร์มาสในยามปกติซึ่งเปี่ยมด้วยความมั่นใจ จนรู้สึกขัดข้องไม่กลมกลืนอยู่ไม่น้อย
‘มันยังไงกันแน่นะ’ ลูเครเซียหรี่ตามอง
“……เธอคิดจะทำให้หนูเฮเลนาเป็นชายาเอกอยู่ใช่ไหม?”
“ครับ”
“แล้วทำไมถึงได้ไปหานางสนมคนอื่นล่ะ”
“นั่นก็เพราะ……เพราะมีเรื่องต้องบอกให้เธอทราบเล็กน้อยครับ แล้วก็มีเรื่องที่อยากจะถามด้วย”
“ไปบอกเรื่องอะไรกันล่ะ ฉันคิดว่าไม่น่ามีอะไรที่เธอต้องไปบอกสหายของหนูเฮเลนานะ”
“……ขออภัยด้วยครับ แม้จะเป็นคำพูดของเสด็จแม่ข้าก็ไม่สามารถตอบเรื่องนั้นได้”
แม้กล่าวด้วยวาจาสุภาพ แต่ฟาร์มาสก็ได้ปฏิเสธมาแบบนั้น
ทว่าจากท่าทางของฟาร์มาสแล้ว ดูท่าว่าคงไม่ใช่เรื่องรักใคร่เสน่หา ดังนั้นลูเครเซียจึงยิ่งรู้สึกขัดข้องไม่กลมกลืนมากขึ้นไปอีก
เขาไปสนทนาอะไรแบบไหนกับนางสนมคนอื่นกันแน่
“คือว่า……เสด็จแม่ครับ”
“อะไรรึ”
“ท่านอยู่ที่ห้องของเฮเลนาจนถึงเมื่อครู่ใช่ไหมครับ?”
“ใช่ พอได้ยินว่าเธอไปเยือนสหายของเฮเลนา ฉันก็รีบกลับมาเลยล่ะ”
“……เฮเลนา ได้กล่าวอะไรถึงข้า บ้างหรือเปล่าครับ?”
เขาพูดออกมาอย่างขาดความมั่นใจชอบกล
ราวกับว่าได้คิดกังวลแล้วกังวลอีก แต่สุดท้ายก็ยังไม่พบคำตอบ
ความแปลกประหลาดนั้น ทำให้ลูเครเซียขมวดคิ้ว
“……ก็ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษนะ”
“งั้น หรือครับ……”
“ฟาร์มาส เธอเป็นอะไรไปรึ? เกิดอะไรขึ้นหรือไง?”
เพราะท่าทางของเขาต่างจากปกติมากเกินไป ลูเครเซียจึงต้องซักถามเช่นนั้น
ทว่า ฟาร์มาสก็ส่ายหน้า
“ข้าไม่เข้าใจครับ”
“ไม่เข้าใจ อะไรรึ……?”
“ดูเหมือนว่าข้า……จะได้ทำอะไรบางอย่างที่ไม่ดีกับเฮเลนาไป ทว่าก็ไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องนั้นมันคืออะไรกันแน่……”
“……หา?”
“ข้าอาจถูกเธอเกลียดซะแล้วหรือเปล่านะ……”
เมื่อได้ฟังการพร่ำบ่นคนเดียวของฟาร์มาส ลูเครเซียก็แหงนหน้ามองเพดานอย่างไม่เข้าใจ
เฮเลนาไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับฟาร์มาสเลย ทว่าฟาร์มาสซึ่งได้พบกับเธอบ่อยที่สุดกลับมีท่าทีอ่อนแอถึงขนาดนี้ แสดงว่าคงมีอะไรสักอย่างเป็นแน่
ลูเครเซียแทบไม่เคยเห็นฟาร์มาสหดหู่ถึงขนาดนี้มาก่อน
นั่นคงเป็นเพราะ เขาให้ความสำคัญกับเฮเลนามากถึงขนาดนั้นสินะ
“ทำอะไรลงไปรึ……?”
“เรื่องนั้น ข้าก็ไม่ทราบครับ……แต่ว่าอยู่มาเช้าวันนึง เฮเลนาก็ทำตัวเย็นชามาก……”
“นั่นมันก็……คงจะเผลอทำอะไรผิดไปจริง ๆ นั่นแหละนะ”
ลูเครเซียพยักหน้าให้กับการบ่นพึมพำของฟาร์มาส
มันไม่มีทางที่อยู่มาเช้าวันนึงจะเย็นชาไปโดยไม่มีสาเหตุอยู่แล้ว แปลว่าฟาร์มาสคงจะไปทำอะไรสักอย่างให้เฮเลนาโกรธนั่นเอง
และฟาร์มาสก็ไม่รู้ว่าเรื่องนั้นมันคืออะไร ดังนั้นเขาจึงมากังวลอยู่แบบนี้
“ข้าจึงลองไปถามนางสนมที่เธอบอกว่าสนิทด้วยที่สุดดูครับ ว่าข้าอาจทำผิดอะไรสักอย่างต่อเฮเลนาไป……ทว่านางสนมคนนั้นก็บอกว่าไม่ได้ยินอะไรมาเป็นพิเศษเหมือนกัน……”
“แหม……”
ลูเครเซียได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับความเยาว์วัยอย่างไม่คาดคิดของบุตรชาย
ตั้งแต่เล็กเขาก็มักทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยและไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้เห็น ฟาร์มาสผู้ที่ทำอะไรต้องสมบูรณ์แบบเสมอคนนั้น ตอนนี้กลับดูขลาดกลัวซะเหลือเกิน
ยิ่งไปกว่านั้น ความกังวลใจที่ว่ายังเป็น “ถูกสตรีที่ชอบเกลียดเข้าแล้วหรือเปล่านะ” ซะอีก
ลูเครเซียได้รับรู้ถึงความไร้เดียงสาสมวัยของฟาร์มาสเป็นครั้งแรก
“ฉันเองก็ไม่ได้ยินอะไรมาเป็นพิเศษ……แต่ถ้าเธอทำผิดอะไรสักอย่าง การไปขอโทษซะก็น่าจะดีที่สุดนะ”
“ข้าไม่รู้เลย ว่าเฮเลนาโกรธเรื่องอะไร……”
‘ขึก’ เห็นได้ชัดว่าฟาร์มาสกำลังคบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ฟาร์มาสที่ลูเครเซียรู้จักนั้นเป็นคนหัวดี ดังนั้นเขามักจะหาคำตอบให้ปัญหาส่วนใหญ่ได้
เพราะมีความฉลาดพอที่จะหาคำตอบโดยไม่พึ่งพาคนอื่น และเป็นคนที่ทำอะไรต้องสมบูรณ์แบบนั่นเอง จึงไม่เคยคิดจะแสดงด้านอ่อนแอให้ใครเห็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับสตรีที่ตนเองชอบพอยิ่งแล้วใหญ่
ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าไปถามกับเจ้าตัวโดยตรงนั่นเอง
เพราะเป็นสาเหตุที่เล็กน้อยกว่าที่คิดไว้ ลูเครเซียจึงได้แต่ถอนใจ
“……ตั้งใจว่าจะมาตำหนิแต่หมดอารมณ์แล้วล่ะ ฉันก็ช่วยแนะนำได้เรื่องเดียว ว่ารีบไปขอโทษซะนะจ๊ะ”
“ครับ ขอบพระคุณครับ เสด็จแม่”
หลังจากคลายความกังวล ลูเครเซียก็กล่าวเช่นนั้นพลางลุกขึ้นยืน
ซึ่งลูเครเซียก็ไม่รู้เลย
ว่าสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เฮเลนามีท่าทีเย็นชา จนฟาร์มาสต้องมานั่งกังวลอยู่แบบนี้
มันก็เพราะเธอโดนบอกว่าแขนทั้งสองอ้วนหนา ก็เท่านั้นเอง