“เอาล่ะ ต่อไปก็ฟรองซัวส์ล่ะนะ”
“ค่ะ จะมุ่งไปทั้งแบบนี้เลยไหมคะ?”
“……ไม่ต้องส่งคำนัดหมายล่วงหน้าก็ได้งั้นรึ?”
หลังจากออกมาจากห้องของมาริเอลที่ไม่รู้ว่าทำไมกำลังตื่นตันใจอย่างมาก เฮเลนาซึ่งตอนแรกตั้งใจจะกลับไปที่ห้องก่อนก็รู้สึกสงสัยและถามขึ้นเช่นนั้น
หลังจากเข้าวังหลังมา สิ่งแรก ๆ ที่เธอโดนบอกก็คือ “การไปเยือนโดยไม่นัดหมายล่วงหน้าก็เหมือนกับกำลังดูแคลนอีกฝ่ายอยู่” ดังนั้นการที่อเลกเซีย ซึ่งเป็นคนพร่ำบอกเรื่องนั้นจนปากเปียกปากแฉะกับเฮเลนา กลับไม่คำนึงถึงการนัดหมายล่วงหน้าเลยแบบนี้ จึงทำให้เฮเลนารู้สึกผิดปกติเล็กน้อย
ทว่าอเลกเซียก็ส่ายหัว
“โดยพื้นฐานแล้ว การนัดหมายล่วงหน้าจะทำกับคนที่มีฐานะสูงกว่าหรือเท่าเทียมกับตนเองค่ะ ในทางกลับกัน หากท่านเฮเลนาส่งการนัดหมายล่วงหน้าให้กับคนที่มีระดับต่ำกว่า จะเป็นการแสดงเจตนาว่าท่านเฮเลนาประเมินคุณค่าของคนคนนั้นไว้สูงถึงเพียงนั้น ท่านฟรองซัวส์นั้นสนิทสนมกับท่านเฮเลนา และยังเป็นศิษย์ในการฝึกวิชาด้วย จึงไม่จำเป็นต้องส่งคำนัดหมายล่วงหน้าค่ะ”
“…………………อ่า อื้ม”
อย่างน้อยที่สุดก็พอเข้าใจว่าไม่จำเป็นต้องส่งคำนัดหมายล่วงหน้าให้ฟรองซัวส์ก็ได้ เข้าใจแค่นั้นก็เหลือเฟือแล้วล่ะมั้ง
ถ้างั้นก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนกลับไปที่ห้องตัวเองก่อนรอบนึงแล้วสิ
อันดับแรกก็หันเท้ามุ่งไปทางห้องของฟรองซัวส์ก่อน
“จำตำแหน่งที่ตั้งของห้องได้แล้วหรือคะ?”
“ใช่ สถานที่ส่วนใหญ่ ถ้าได้ไปครั้งนึงแล้วก็จะจำได้ล่ะน่ะ”
“รับทราบแล้วค่ะ”
สิ่งที่เธอขัดเกลามาในสนามรบไม่ได้มีแต่ฝีมือยุทธอย่างเดียว ในการจะรู้ตำแหน่งที่ตั้งของตนเองได้อย่างแม่นยำนั้น เธอจะเป็นคนหลงทิศหลงทางไม่ได้ ดังนั้นในหัวของเฮเลนาจึงมีการสร้างแผนที่ของวังหลังแห่งนี้ไว้อย่างพอประมาณแล้ว
ถึงกระนั้น เพราะพื้นที่ปฏิบัติการของเธอมันแคบและมีสถานที่หลายแห่งที่ยังไม่เคยไป มันจึงยังเป็นแผนที่ซึ่งมีแต่ความว่างเปล่าซะส่วนใหญ่
เมื่อเดินไปได้สักพักก็มาถึงห้องของฟรองซัวส์
ถ้าจำไม่ผิด ก็ไม่ได้มาที่นี่ตั้งแต่ตอนงานเลี้ยงน้ำชาแล้วสินะ พักหลังนี้เจอกันที่สวนระหว่างอาคารตลอด ได้มาเยือนห้องแบบนี้ก็รู้สึกแปลกใหม่ไปอีกแบบ
“ขออนุญาตค่ะ”
“ค่า—”
อันดับแรก ผู้ที่ออกมารับคือนางกำนัลที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เฮเลนามีนางกำนัลติดห้องเป็นอเลกเซีย ส่วนมาริเอลกับชาร์ลอตเตแม้จะพาสาวใช้ของตนเองมาด้วย แต่พวกเธอก็ต้องมีนางกำนัลติดห้องอยู่หนึ่งคนอย่างแน่นอน
ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนางกำนัลที่ห้องของฟรองซัวส์
“อ้าว……แคลร์ อยู่ประจำที่นี่เองรึ”
“อเลกเซีย? เอ๋ อเลกเซียน่ะ ถ้าจำไม่ผิด ตอนนี้ประจำห้องของพระสนมฟ้าสุริยาอยู่นี่……”
“ใช่แล้วค่ะ”
“อย่างที่ว่านั่นแหละ เธอเป็นนางกำนัลติดห้องของข้าเอง ฟรองซัวส์อยู่ห้องไหม?”
“อ เอ๋!? พระสนมฟ้าสุริยา!?”
ทั้งที่เพิ่งพบเจอกันกับนางกำนัลคนนี้ครั้งแรก แต่เธอดูจะตกใจมากทีเดียว
ว่าไปแล้ว ตอนที่เจอคลาริสซาครั้งแรกเธอก็ตอบสนองแบบนี้เหมือนกัน คนอื่นมองเฮเลนาว่าเป็นคนยังไงอยู่กันแน่นะ
เอาเถอะ มาสนใจเอาป่านนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
นางกำนัล—หรือเด็กสาวที่ชื่อว่าแคลร์ รีบยืดหลังตรงจัดระเบียบท่าทางใหม่
“ข ขออภัยค่ะ! พระสนมฟ้าสุริยา!”
“เอ่อ ข้าก็ไม่ได้โดนทำอะไรเป็นพิเศษนะ……”
“ท ท่านฟรองซัวส์อยู่ห้องค่ะ……ทว่า เอ่อ ตอนนี้กำลังอยู่กับสหาย……”
“ที่บอกว่าสหาย หมายถึงคลาริสซารึ?”
“ค ค่ะ!”
“หากเป็นคลาริสซาก็เป็นสหายของข้าด้วยเหมือนกัน งั้นเธอคงไม่ถือสาหรอก ขอรบกวนล่ะนะ”
หากไม่ใช่คลาริสซา มันก็อาจดีกว่าที่จะมาใหม่ทีหลัง
ทว่าทั้งฟรองซัวส์และคลาริสซาต่างก็เป็นคนที่เฮเลนาฝึกปรือด้วยกันในช่วงเช้า หากเป็นการสนทนาของสองคนนั้น เฮเลนาจะเข้าไปร่วมด้วยก็คงไม่มีปัญหาอะไร
ดังนั้นเธอจึงปรายตามองนางกำนัลที่กำลังทำท่าทีแปลก ๆ ก่อนจะเข้าไปในห้อง
และในตอนนั้นเอง
เธอก็เห็นฟรองซัวส์นอนล้มอยู่
“……เอ๋”
“โธ่……ข้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือฟรอง ว่าไม่ไหวหรอกน่ะ”
“อุ……ข ข้าน่ะ! จะก้าวข้ามอุปสรรคนี้! และกลายเป็นภรรยาที่เหมาะสมคู่ควรกับท่านบาร์โตโลเมให้ได้ค่ะ!”
“ไม่เอาสิ ก็บอกว่าไม่ไหวหรอกไง……นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย”
“มันไม่เกี่ยวกับจำนวนหรอกค่ะ! ข้าน่ะ! จะขัดเกลาตนเองค่ะ!”
ฟรองซัวส์ที่กำลังลุกขึ้นมา กับคลาริสซาที่ส่งสายตาเอือมระอาไปทางฟรองซัวส์
ทั้งสองคนกำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ เฮเลนาเอียงศีรษะด้วยความฉงน
“คลาริสซา! ต่อเลยค่ะ!”
“ไม่สิ ก็บอกว่า……อ อ้าว……ท่านเฮเลนา!?”
ตอนนั้นเอง คลาริสซาก็สังเกตเห็นเฮเลนาในที่สุด
เธอก็ไม่ได้ตั้งใจลบตัวตนหรืออะไรหรอก แต่ดูเหมือนทั้งสองคนจะกำลังใจจดใจจ่อกันถึงขนาดนั้นเลยทีเดียว
“ท่านเฮเลนา!?”
“ยินดีต้อนรับค่ะ ท่านเฮเลนา มาได้จังหวะพอดีเลยค่ะ ได้โปรดช่วยบอกให้ฟรองซัวส์เลิกฝืนซะที……”
“มันเรื่องอะไรกัน?”
เฮเลนาไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์นี้ได้ จึงถามไปเช่นนั้น
พอถามแล้ว คลาริสซาก็ยักไหล่พลางกล่าวด้วยความเอือมระอาว่า
“ดูเหมือนว่าฟรองซัวส์น่ะ กำลังพยายามไปให้ถึงระดับใหม่อยู่ค่ะ……”
“ท่านเฮเลนาคะ! ได้โปรดช่วยชี้แนะด้วย! ฟรองน่ะ! อยากจะไล่ตามท่านบาร์โตโลเมให้มากขึ้นอีกค่ะ!”
“กำลังทำอะไรอยู่รึ?”
“เรื่องนั้น…..เห็นว่าจะฝึกเนตรจิตอยู่น่ะคะ……”
“หืม?”
เพราะได้ยินคำตอบที่ไม่คาดคิด ทำให้เฮเลนาต้องเลิกคิ้ว
คลาริสซาเห็นเฮเลนาดังนั้น จึงกล่าวต่อไปอีก
“เห็นบอกว่า หากเป็นนักบู๊ชั้นหนึ่ง ต่อให้หลับตาอยู่ก็สามารถรับรู้การโจมตีได้……ดังนั้นฟรองซัวส์เลยบอกให้ข้าช่วยเข้าไปต่อยฟรองซัวส์ที่กำลังหลับตาอยู่ที น่ะค่ะ……”
“แบบนี้! ต้องฝึกเนตรจิตได้แน่เลยค่ะ!”
“……แล้วก็ตามที่คาด เธอโดนการโจมตีของข้าเข้าไปทุกดอก แล้วก็ล้มลงไปทุกครั้งเลยค่ะ”
“หากทำซ้ำไปเรื่อย ๆ! ข้าก็จะทำได้เองแหละค่ะ!”
“ฮืม”
ฟรองซัวส์ที่มีเจตจำนงแรงกล้า กับคลาริสซาที่กำลังเหนื่อยหน่าย
ช่างเล่นพิเรนทร์กันจริงเชียวนะ
“ท่านเฮเลนาได้โปรดช่วยพูดด้วยเถอะค่ะ ต่อให้เป็นนักบู๊ชั้นหนึ่งจริงก็ไม่สามารถรับรู้การโจมตีด้วยเนตรจิตแบบนั้นได้หรอกใช่ไหมล่ะคะ”
“ทำได้สิ”
“ทำได้หรือคะ!?”
เมื่อได้ยินเฮเลนาตอบ คลาริสซาก็ตกใจมากทีเดียว
ทว่าเฮเลนาก็เอียงศีรษะอย่างฉงน เนตรจิตเนี่ยมันไม่ใช่ระดับสูงอะไรในวิชายุทธซะหน่อยนี่นา แค่เป็นคนที่พอจะต่อสู้ได้บ้างก็สามารถเรียนรู้กันได้แล้ว
ทว่าการที่ฟรองซัวส์จะเรียนรู้เนตรจิต เกรงว่าเธอน่าจะยังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอกระมัง
“ท่านเฮเลนาคะ! ได้โปรด! ช่วยชี้แนะด้วยเถอะค่ะ!”
“ได้สิ”
“ได้หรือคะ!?”
แม้จะยังขาดประสบการณ์ แต่การรู้พื้นฐานเอาไว้ก็น่าจะสำคัญเหมือนกัน เนตรจิตมันไม่ใช่การมองเห็นด้วยจิตจริง ๆ แต่เป็นเหมือนแขนงหนึ่งของเคล็ดวิชามากกว่า แม้ยังปฏิบัติจริงไม่ได้แต่เรียนรู้ทฤษฏีเอาไว้ก็คงไม่เสียหาย
ทว่าคลาริสซาก็ยังทำท่าตกใจมากอยู่ดี มันมีอะไรแปลกขนาดนั้นหรือไงนะ
“แทนที่จะบอกด้วยคำพูด ให้ดูของจริงเลยน่าจะดีกว่าสินะ เอาล่ะฟรองซัวส์ ต่อยเข้ามาใส่ข้าได้เลย”
เฮเลนาหลับตาลง
“อาณาเขต” ที่เธอมีนั้น แม้จะปิดหนึ่งในประสาทสัมผัสทั้งห้าคือการมองเห็นไป มันก็ยังนำพาข้อมูลเข้ามาได้ในปริมาณที่เหลือเฟือ เธอรับรู้สุ้มเสียงเพียงเล็กน้อยด้วยหู รับรู้กระแสของอากาศด้วยผิวหนัง รับรู้ตัวตนด้วยสัมผัสที่หกซึ่งขัดเขลามาจนไร้ที่ติ และผลลัพธ์ของทั้งหมดนั้นก็คือ “อาณาเขต” นี้นั่นเอง
เธอเปิดสัมผัสรับรู้และตรวจจับการเคลื่อนไหวภายในห้องทั้งหมด
รู้ได้ว่าฟรองซัวส์กำลังตั้งท่าต่อสู้อยู่ตรงหน้า
สัมผัสตัวตนของฟรองซัวส์ที่กำลังเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางเกรงกลัว และแขนขวาของเธอที่กำลังค่อย ๆ ถูกเงื้อขึ้น
คลาริสซาที่มองดูอยู่พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่
อเลกเซียที่ยักไหล่อย่างเหนื่อยใจ
แคลร์ที่เอียงศีรษะด้วยความฉงนเพราะไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
เฮเลนารับรู้ทุกสิ่งในห้องได้เช่นนั้น
และเฮเลนาก็ได้จัดการกับแขนขวาซึ่งกำลังเข้ามาใกล้
ในเสี้ยววินาทีที่เจตนาของมันมุ่งเป้ามายังเฮเลนา เธอก็ได้ฟาดมันให้ตกลงไป
“อ๊า!?”
“ช้าไปนะ ฟรองซัวส์”
เฮเลนาลืมตาขึ้น
และแน่นอนว่าที่อยู่ตรงนั้น ก็คือฟรองซัวส์ซึ่งตกใจที่การโจมตีถูกปัดตกจนเข่าอ่อนทรุดนั่งอยู่กับพื้น
“ส สุดยอดไปเลยค่ะ!”
“เนตรจิต คือเคล็ดวิชาของการอ่านทาง หากเรียนรู้ติดตัวไว้ แม้จะสูญเสียการมองเห็นไปก็ยังสามารถต่อสู้ได้ แล้วก็สามารถรับมือการจู่โจมที่เข้ามาจากมุมบอดได้ด้วย”
“ต ต้องทำอย่างไร! จึงจะสามารถเรียนรู้ได้หรือคะ!”
“อันดับแรกต้องขัดเกลาประสาทสัมผัสของตนเองเสียก่อน หยั่งรู้การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ด้วยกระแสของอากาศที่มาสัมผัสตัว ใช้หูเก็บเสียงแม้เพียงเล็กน้อยเพื่อคาดการณ์ตำแหน่งของคู่ต่อสู้ จากนั้นก็แค่คาดเดาว่าคู่ต่อสู้จะเคลื่อนไหวอย่างไร เมื่อการคาดเดานั้นถูกต้องแม่นยำอย่างแน่นอน ก็จะเรียกได้ว่ามันคือเนตรจิตนั่นเอง”
“ขอบพระคุณค่ะ! เช่นนั้นแล้ว! ข้าต้องฝึกฝนเยี่ยงไรดีคะ!”
“ฟรองซัวส์น่ะยังขาดประสบการณ์อยู่ ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นขัดเกลาพื้นฐานเท่านั้น หลังจากผ่านขั้นตอนสร้างพลังกาย เรียนรู้ทักษะ และได้สั่งสมประสบการณ์ต่อสู้แล้ว ขั้นสูงของวิชายุทธจะอยู่หลังจากนั้น ยอดเขาแห่งยุทธที่แม้แต่ข้าก็ยังไปไม่ถึง มันอยู่ห่างไกลเหนือฟ้าถึงขนาดนั้นเลยล่ะ จงรับรู้ว่ามันไม่ใช่อะไรที่เรียนรู้ได้ในวันเดียวคืนเดียว และฝึกฝนพื้นฐานก่อนเป็นอันดับแรกเถอะ”
“ค่ะ! ท่านเฮเลนา!”
เฮเลนายื่นมือขวาไปให้ฟรองซัวส์ที่กำลังนั่งอยู่
ฟรองซัวส์จับมือขวาของเฮเลนานั้นไว้ แล้วก็ยืนขึ้นมา
“จากนี้ไป! ก็ขอรบกวนให้การชี้แนะด้วยนะคะ!”
“อืม มามุ่งสู่ยอดเขาแห่งยุทธไปด้วยกันเถอะ”
“ค่ะ! ท่านเฮเลนา!”
ทั้งสองคนได้ร่วมสาบานความเป็นศิษย์อาจารย์กันอีกครั้ง
หากสถานที่ไม่ใช่วังหลัง มันคงเป็นภาพที่น่าประทับใจไม่น้อยทีเดียว
ทว่าคลาริสซาก็ถอนใจเบา ๆ และอเลกเซียก็ส่งสายตาเย็นชามาให้ ส่วนแคลร์ก็เอียงศีรษะอย่างไม่เข้าใจ
“เอ่อ อเลกเซีย……นี่เธอรับใช้คนแบบไหนอยู่กันเนี่ย?”
“กำลังรับใช้นักรบที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาอยู่ในวังหลังได้อยู่ค่ะ”
“เป้าหมายเธอมันเพี้ยนไปหลาย ๆ อย่างแล้วนะ……ฟรอง”
เพราะจากมุมของทั้งสามคนที่มีสามัญสำนึกปกติแล้ว ภาพตรงหน้านั้น
คือธิดาแห่งยุทธผู้ก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไปไกลแล้ว กับศิษย์ที่กำลังพยายามละทิ้งความเป็นมนุษย์อยู่นั่นเอง